Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 3 การช่วยเหลือ
กระบวนสังหารที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์มากมายของโลกอสนีบาตนั้นสีหน้าแปรเปลี่ยน
ขณะนี้กระบวนท่าถูกสำแดงออกไป
สิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนแล้วตนเล่าที่บุกสังหารเข้ามาอย่างอำมหิตนั้นแต่ละตนรู้สึกได้ว่าโลกลวงขนาดใหญ่มหึมาแห่งหนึ่งกำลังฉุดลากวิญญาณของพวกเขา เป็นถึงสิ่งมีชีวิตคละถิ่น วิญญาณของพวกมันก็ย่อมแข็งแกร่งกว่าบรรดาผู้บำเพ็ญที่ยังไม่ถึงระดับคละถิ่นอย่างมากมายมหาศาลเหลือเกิน! แต่ว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ธรรมดาสามัญที่สุด ปณิธานกลับห่างชั้นกับเหล่าผู้ล้ำเลิศในบรรดาสิ่งมีชีวิตระดับล่างเหล่านี้อยู่มากมายนัก!
“ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ”
ภายในอาณาบริเวณเขตพลังของตงป๋อเสวี่ยอิง ขณะนี้มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่หกสิบเอ็ดตน ในชั่วพริบตาก็ร่วงหล่นลงไปแปดตนแล้ว
แปดตนนี้ก็คือตนที่อ่อนแอที่สุดในบรรดานั้น แต่ละคนมีพลังยุทธ์ราวๆ ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางเท่านั้น! เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ววิญญาณของพวกมันก็อ่อนแอที่สุด อีกทั้งยังเป็นแปดตนที่ปณิธานอ่อนแอที่สุดอีกด้วย ต่างก็ไม่สามารถต้านทานกระบวนสังหารของวิถีเขตลวงโลกเทียมได้ แต่ละตนถูกผลาญในชั่วพริบตา!
แต่ตนอื่นๆ กลับสามารถต้านทานเอาไว้ได้ทั้งหมด!
รวมถึงพวกที่สามารถแสดงพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายออกมาได้ ต่างก็สามารถต้านทานกันเอาไว้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นพลังรบระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์เลย
“ความสามารถในการรักษาชีวิตรอดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนั้นแข็งแกร่งกว่าประชากรโลกเทพอยู่มากเลยจริงๆ ยังแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง เขารู้ในจุดนี้ดีอยู่ก่อนแล้ว อยากจะสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดสักตนหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างยิ่ง ที่โลกอสนีบาต ถ้าหากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดสามารถมี ‘พลังรบระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์’ ได้ อย่างเช่นจักรพรรดิเทพหงส์อัคคีและจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วเป็นต้น ก็คงมีเพียงแค่บรรพเทวะคละถิ่นสามท่านเท่านั้นที่สามารถสังหารได้
พื้นฐานของพวกมันหนาแน่นเหลือเกิน
ร่างกายของพวกมันก็แข็งแกร่งเหนือธรรมดาโดยกำเนิด วิญญาณก็กล้าแกร่งโดยกำเนิดเช่นกัน
มีเพียงระดับขั้นปณิธานเท่านั้นที่มีจุดบกพร่อง
“ผู้บำเพ็ญผู้นี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน”
“เคล็ดวิชาวิญญาณนี้…”
บรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นกึ่งโปร่งแสงตนแล้วตนเล่าเหล่านี้ถ่ายเสียงสนทนาระหว่างกัน
พลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย ถึงแม้ว่าจะยังคงรักษาสติอันแจ่มชัดเอาไว้ได้เช่นเดิม แต่ต่างก็ต้องแบ่งพลังจิตเจ็ดแปดส่วนไปต้านทาน พลังยุทธ์ก็ลดต่ำลงอย่างมหาศาลเช่นกัน พวกมันชะลอความเร็วลงชั่วคราว
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! สิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนแล้วตนเล่าที่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์กลับมิได้ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย ยังคงพุ่งตรงเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิง
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยัดซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ตายไปแล้วสองตนที่ตนพบบนเส้นทางเก็บเข้าไปภายในคลังสมบัติล้ำค่าอย่างลวกๆ พลางมองดูสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนอื่นๆ ที่ไล่ล่าสังหารเข้ามารอบๆ แล้วเคลื่อนผ่านเส้นโค้งเส้นหนึ่ง พยายามหลีกเลี่ยงอย่างสุดความสามารถ เหินบินอย่างบ้าคลั่ง มุ่งหน้าไปยังเมืองเมฆาแดงที่อยู่ไกลออกไป
……
บนกำแพงเมืองเมฆาแดง
ก็มีผู้แกร่งกล้าคอยรักษาการณ์อย่างระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา บนกำแพงเมืองด้านหนึ่งในนั้นก็มีผู้แกร่งกล้าสองท่านยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับเขยื้อนราวกับรูปปั้นก็มิปาน พวกเขารับผิดชอบรักษาการณ์ที่นี่มาเป็นระยะเวลาเนิ่นนานแล้ว
“หืม”
พวกเขาสองคนหันหน้าไปเล็กน้อยแทบจะพร้อมกัน หันมองไปยังทิศทางหนึ่งนอกเมือง ที่นั่นมีระลอกคลื่นอันแรงกล้าระเบิดออกมาในทันใด!
“มีการต่อสู้!”
พวกเขาทั้งสองสะดุ้งคราหนึ่งแล้วก็ดูกันต่อไป
เห็นเพียงแค่ว่าบริเวณที่การต่อสู้ดำเนินอยู่มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นกึ่งโปร่งแสงลายจุดสีม่วงตนแล้วตนเล่าไล่สังหารชายหนุ่มอาภรณ์ขาวคนหนึ่งอยู่ ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นั้นกำลังหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกันนั้นยังถูกกดดันให้พยายามต้านทานการล้อมโจมตีของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นด้วย
“เป็น ‘เทพมรณะเงาทะมึน’ ฝูงหนึ่ง”
“คนผู้นั้นดูเหมือนจะมิใช่คนของเมืองเมฆาแดงของพวกเรา เป็นผู้ที่บินทะยานขึ้นมาใหม่อย่างนั้นหรือ” พวกเขาสองคนประสานสายตากันปราดหนึ่ง ในใจขมวดรัด
ผู้มาใหม่!
ผู้มาใหม่ที่เพิ่งบินทะยานขึ้นมา จะมาถึงสถานที่รวมตัว นี่ก็คือการทดสอบขั้นแรก เห็นได้ชัดว่าผู้มาใหม่ผู้นี้โชคมิใคร่จะดีสักเท่าใดนัก จำนวนสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่เผชิญก็มากพอสมควรเลยทีเดียว
“ทัพแรก รีบไปช่วยคนเร็วเข้าสิ! มีผู้มาใหม่มาแล้ว! เร็วเข้า!” ผู้แกร่งกล้าสองคนที่รับผิดชอบรักษาการณ์อยู่บนกำแพงเมืองต่างก็ถ่ายเสียงตะโกน
“ผู้มาใหม่หรือ”
เพราะว่าสถานที่รวมตัวทั้งห้ากระจายอยู่ ณ บริเวณที่แตกต่างกันของโลกแห่งนี้ ระยะทางก็ล้วนห่างไกลเป็นอย่างยิ่งทั้งสิ้น
นอกจากตอนที่เพิ่งบินทะยานขึ้นมาใหม่ ตำหนักชี้นำก็จะช่วยส่งตัวพวกเขาไปยังด้านนอกใกล้ๆ สถานที่รวมตัวสักแห่ง อยากจะไปยังสถานที่รวมตัวแห่งอื่นในเวลาอื่นอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย! เพราะว่าระยะทางห่างไกลเกินไป เคลื่อนผ่านระยะทางอันไกลโพ้นเช่นนั้นไปถึงยังเมืองอีกแห่งหนึ่ง…ช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกิน น้อยนักที่จะมีผู้แกร่งกล้าทำเช่นนี้
ดังนั้นเมื่อผู้แกร่งกล้าแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้น โดยทั่วไปแล้วล้วนเป็นผู้มาใหม่ที่เพิ่งบินทะยานขึ้นมาใหม่ทั้งสิ้น!
“เร็วสิ”
“รีบช่วยคนเร็วเข้า”
สวบ สวบ สวบ…
เงาร่างกลุ่มหนึ่งพุ่งตัวออกไป จากนั้นสายฟ้าขนาดมหึมากลุ่มหนึ่งก็ห่อหุ้มเงาร่างเหล่านี้เอาไว้เปรี้ยง!
สายฟ้าขนาดมหึมาพุ่งตรงไปยังทิศทางของตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่น พูดถึงความเร็วในการเคลื่อนที่ มันก็รวดเร็วเป็นแปดเท่าของความเร็วในการเคลื่อนที่ของตงป๋อเสวี่ยอิงเลยทีเดียว! แน่นอนว่านี่ก็คือเหตุผลที่ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงเป็นเพียงแค่กายหยาบระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางเท่านั้น แต่ความแตกต่างที่มากถึงแปดเท่า ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไปถึงระดับร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น… ลำพังแค่ความเร็ว เกรงว่าคงจะช้ากว่าสายฟ้ากลุ่มนี้อยู่มากมายเลยทีเดียว
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองเห็นสายฟ้าขนาดมหึมากลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป แหวกผ่านท้องฟ้าพุ่งมาอย่างรวดเร็ว
ตำแหน่งที่เขาถูกส่งตัวมาอยู่ห่างจากเมืองเมฆาแดงไม่ไกลสักเท่าใดนัก เขาเหินทะยานมาถึงเกือบครึ่งทางแล้วจึงพบเข้ากับการจู่โจมของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เพียงแต่ว่าจำนวนมีมากอยู่สักหน่อยเท่านั้น!
“พรึ่บๆ”
ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะหวาดผวาอยู่บ้าง แต่กลับฝืนต้านทานการจู่โจมของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนแล้วตนเล่าเอาไว้
สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์เหล่านี้ ถึงอย่างไรก็ยังได้รับผลกระทบของวิถีเขตลวงโลกเทียมจนพลังยุทธ์เหลืออยู่เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น! ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงยังสามารถหลบหนีอย่างต่อเนื่องได้และพยายามประวิงเวลา
“ผู้มาใหม่ หยุดก่อน” น้ำเสียงสายหนึ่งดังขึ้นข้างหู
“เปรี้ยง…”
ทันใดนั้นก็มีเงาร่างโปร่งแสงขนาดมหึมาสายหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางสายฟ้ากลุ่มนั้น เงาร่างโปร่งแสงนี้ราวกับฟองอากาศ ห่อหุ้มอาณาบริเวณล้านลี้โดยรอบสนามรบเอาไว้ในทันใด ฟองอากาศโปร่งแสงขนาดมหึมานี้กลับกระจายตัวออกไปแล้วแทรกเข้าไปภายในร่างกายสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนแล้วตนเล่า ทำให้สิ่งมีชีวิตคละถิ่นเหล่านั้นแต่ละตนพากันส่งเสียงคำรามอย่างเดือดดาลออกมา พลังคุกคามที่กระบวนท่าของพวกมันแสดงออกมามิได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายสักเท่าใดนัก แต่กระบวนท่าหยาบกระด้างขึ้นมาพอสมควรอย่างเห็นได้ชัด พวกมันแต่ละตนล้วนกระสับกระส่ายและเดือดดาลขึ้นมา
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ…
สายฟ้ากลุ่มนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเงาร่างแปดสายแล้วบุกสังหารเข้ามาทั้งหมด
คนหนึ่งในนั้นยื่นมือขวาออกมา มือขวาของเขาลอยออกมาในทันใดแล้วแยกสลายกลายเป็นแมลงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วพุ่งตรงไปยังบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเหล่านั้น
“ตายเสียให้หมด” ยังมีผู้ที่ร่างกายสูงใหญ่บึกบึนผู้หนึ่ง ตลอดร่างราวกับสร้างขึ้นมาจากก้อนหิน ห้ำหั่นตัวต่อตัวกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเสียงดังโครมคราม
“พรึ่บ” ทั้งยังมีที่แปลงกายเป็นไอหมอก ไอหมอกอันหนาแน่นแผ่ปกคลุมสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทุกตนในทันใด
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอย่างตกตะลึง
เขามองออกว่าเหล่าผู้แกร่งกล้ากลุ่มนี้ถือครองความได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง จากนั้นก็ค่อยๆ เก็บเคล็ดวิชาวิถีเขตลวงโลกเทียมขึ้นแล้วดูอยู่ข้างๆ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีอยู่เพียงแค่แปดคนเท่านั้น แต่ก็มีผู้ที่เชี่ยวชาญเขตพลัง มีผู้ที่เชี่ยวชาญการห้ำหั่นซึ่งหน้า มีผู้ที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาอันเจ้าเล่ห์บางอย่าง เคล็ดวิชามากมายผสานรวมกันขึ้นมา… บรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเหล่านั้นกลับเริ่มร่นถอยไปในทันใดเสียแล้ว หรือแม้กระทั่งพวกที่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายที่อ่อนแอบางส่วนต่างก็เริ่มสังหารแล้ว
เพียงไม่นาน
สิ่งมีชีวิตคละถิ่นกลุ่มนี้ก็ร่นถอยไปอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างไรเมื่อเข้าใกล้สถานที่อย่างเมืองเมฆาแดง จำนวนของพวกเขาก็มิได้มากมายสักเท่าใดนัก
“แปดคนนี้ ทุกคนล้วนเป็นระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ทั้งสิ้น นอกจากนี้ก็ยังผสานรวมกันได้เป็นอย่างดีเหลือเกิน แปดคนผสานรวมกันขึ้นมา เกรงว่าเจ้าเมืองหงส์เมฆาก็คงต้านทานได้ไม่นานสักเท่าไรนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอุทาน “เพียงแต่มีการบำเพ็ญหลายประเภทเหลือเกินที่ข้าดูไม่เข้าใจ”
อย่างเช่นยักษ์ที่ราวกับประกอบขึ้นจากก้อนหินนั้น
ร่างกายแข็งแกร่งเสียจนเหนือธรรมดา ตาต่อตา ฟันต่อฟันกันจนสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเหล่านั้นลอยกระเด็นกลิ้ง แข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าเมืองมังกรเหล็กเป็นอันมาก! นอกจากนี้ตนยังมิอาจสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายมีกลิ่นอายสายโลหิตคละถิ่นอยู่เลยแม้แต่น้อย
‘สายโลหิตคละถิ่น’ กลิ่นอายนั้นเด่นชัดเป็นอย่างยิ่ง กลิ่นอายที่ระเบิดออกมายามต่อสู้ก็ย่อมสามารถสัมผัสรับรู้ได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว
“การบำเพ็ญหยั่งรู้วิถีธรรมดาอย่างนั้นหรือ ร่างก็ก็สามารถเหนือธรรมดาได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงออกจะไม่เชื่ออยู่บ้าง
“ผู้มาใหม่ เข้ามานี่สิ”
“จากไปให้เร็วที่สุดเถิด อย่าได้รั้งอยู่ที่ดินแดนรกร้างให้เนิ่นนานเกินไปนักเลย”
คนทั้งแปดนั้นต่างก็มองดูตงป๋อเสวี่ยอิง
รูปลักษณ์ของพวกเขาก็แปลกประหลาด
มีผู้ที่ตลอดร่างห่อหุ้มด้วยอาภรณ์สีดำ มือถือคทา มีผู้ที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยแผ่นเกล็ดและมีหางขนาดใหญ่ กลิ่นอายไม่ธรรมดา ระลอกคลื่นที่พวกเขาแผ่ออกมา…ล้วนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสังเกตได้ว่าเป็นไปได้ว่าจะเป็นผู้แกร่งกล้าของระบบการบำเพ็ญที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“พรึ่บ” สายฟ้ากลุ่มหนึ่งห่อหุ้มทุกคนในที่นั้นเอาไว้ในทันที และห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ด้วย แล้วลอยไปทางเมืองเมฆาแดงอย่างรวดเร็ว
“นอกเมืองอันตรายกว่า รีบเข้ามาในเมืองเร็ว ผู้มาใหม่ โชคชะตาของเจ้ามิใคร่จะดีสักเท่าใดนักเลย การทดสอบแรกสุด… ก็แค่บินจากนอกเมืองกลับเข้ามาภายในเมือง ระยะทางแค่นี้เจ้าก็เผชิญกับเทพมรณะเงาทะมึนเกือบร้อยตนแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ถ้าหากพวกเราช้าลงอีกหน่อย เทพมรณะเงาทะมึนทำการล้อมโจมตีด้วยอาณาบริเวณขนาดใหญ่ เช่นนั้นเจ้าก็จบเห่แล้ว”
บรรดาผู้บำเพ็ญเหล่านี้แต่ละคนพูดพลางหัวเราะฮ่าๆ
พวกเขาก็ยังต้อนรับขับสู้ผู้มาใหม่เป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่มีคุณสมบัติพอจะบินทะยานมาถึงโลกแห่งนี้ได้ก็มีอยู่น้อยนัก
“ใช่แล้ว เจ้าชื่ออะไรหรือ ข้าชื่อ ‘เทพอสรพิษอินทรี’” ชายหนุ่มที่มีหางขนาดใหญ่ผู้นั้นพูด
“ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยชีวิตข้า ข้าชื่อหิมะเหิน เพิ่งจะมาถึงยังโลกแห่งนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถ่ายเสียงพูด
……………………………