Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 4 อาหาร
คนกลุ่มหนึ่งภายใต้การห่อหุ้มของสายฟ้ากลุ่มหนึ่งนั้นลอยมาถึงบนกำแพงเมือง
“ช่วยผู้มาใหม่กลับมาแล้วหรือ”
“ดูท่าทางเหมือนจะเป็นผู้ตระหนักวิถี” ผู้แกร่งกล้าสองคนที่รับผิดชอบรักษาการณ์อยู่บนกำแพงมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างอยากรู้อยากเห็น
“น้องหิมะเหิน เมื่อครู่ก็คือพวกจวินกานสองคนนั้นนั่นแหละที่ค้นพบความเคลื่อนไหวแล้วแจ้งให้พวกเราทราบ” คนร่างยักษ์ที่ราวกับสร้างขึ้นมาจากก้อนหินผู้นั้นพูดยิ้มๆ
“ฮ่าฮ่า หน้าที่ต้องมาก่อนสิ! ข้าชื่อจวินกาน ส่วนเขาคือฟูซ่าน” กลิ่นอายของจวินกานยิ่งใหญ่อลังการ นัยน์ตาทั้งคู่มีเปลวเพลิงกำลังลุกโชนรางๆ ส่วนอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่าฟูซ่านก็คือชายชราผู้หนึ่ง เขาสวมห่วงทองอันหนึ่ง บนห่วงทองมีอัญมณีหลากสีอยู่ถึงห้าเม็ด
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยว่า “ข้าน้อยหิมะเหิน คารวะพี่จวินกานและพี่ฟูซ่าน”
จวินกานอมยิ้มพยักหน้า
ฟูซ่านก็เผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมาจากโลกที่แตกต่างกัน แต่ละคนต่างก็เป็นบุคคลที่เป็นเจ้าผู้ทรงอำนาจซึ่งยืนอยู่ที่จุดสูงสุดในโลกของตน หลังจากที่อยู่อย่างเดียวดายตามลำพังแล้วจึงเลือกที่จะมายังที่แห่งนี้! แต่ว่า ถึงแม้จำนวนผู้แกร่งกล้าใน ‘โลกทิพย์’ แห่งนี้จะมีอยู่ไม่มากนัก แต่พวกเขาก็เป็นเพียงแค่ระดับกลางในบรรดาคนเหล่านี้เท่านั้นเอง
“ไม่รบกวนท่านทั้งสองแล้ว” เทพอสรพิษอินทรีที่มีหางขนาดมหึมาเอ่ยว่า “น้องหิมะเหิน ไปๆๆ เจ้าเพิ่งมาถึงเมืองเมฆาแดง ยังไม่รู้เรื่องราวอะไรอีกมากมาย พวกเราจะพาเจ้าไปเดินเล่นสักหน่อยก่อน”
“ไปด้วยกัน”
“สงสัยน้องหิมะเหินคงจะไม่มีอาหารแล้ว วันนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงเอง”
กองกำลังย่อยคราวนี้มีอยู่ทั้้งสิ้นแปดคน มีห้าคนที่จากไปแล้ว มีอยู่สามคนที่ยังคงอยู่เคียงข้างตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างกระตือรือร้น
สามคนที่มาเป็นเพื่อนตงป๋อเสวี่ยอิง… แบ่งออกเป็น ‘เทพอสรพิษอินทรี’ ผู้มีหางขนาดมหึมา ‘มารแดง’ ยักษ์ศิลาที่ร่างกายแกร่งกล้าที่สุด การต่อสู้อหังการที่สุดในกองกำลัง และ ‘เหลยเซียว’ ที่แปลงกายเป็นสายฟ้าพาตัวทุกคนเดินทางไป
“น้องหิมะเหินอย่าได้ถือสา ผู้ที่สามารถมาถึงยังโลกทิพย์แห่งนี้ได้ แต่ละคนล้วนมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา ตอนอยู่ที่โลกเดิมก็ได้ชื่อว่าเป็นจักรพรรดิเป็นบรรพชนกันทั้งสิ้น มีบ้างที่เย็นชา มีบ้างที่สันโดษ ก่อนหน้านี้เพียงเพราะว่ามีภาระหน้าที่จึงค่อยลงมือ ช่วยเหลือเจ้ากลับมาแล้วก็ย่อมกระจายตัวกันไป ต่างคนต่างแยกย้ายกลับไปแล้ว” เทพอสรพิษอินทรีเอ่ยอธิบาย
“ข้าเข้าใจแล้ว เข้ามาในเมืองเมฆาแดงให้ได้ก็ไม่มีอันตรายแล้ว อันที่จริงทั้งสามท่านก็ไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นเพื่อนข้าหรอกนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ฮ่าฮ่า… ผู้บำเพ็ญของเมืองเมฆาแดงทั้งหมดมีอยู่มากมายถึงเพียงนี้ มีผู้มาใหม่มาคนหนึ่งก็ย่อมต้องต้อนรับขับสู้อยู่แล้ว” มารแดงที่ร่างกายสูงใหญ่ตระหง่านเป็นที่สุดพูดยิ้มๆ
“ไปที่ตำหนักเมฆาแดงก่อน จัดการเรื่องจิปาถะให้เสร็จสิ้นไป” เหลยเซียวพูด “จัดการที่พักเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปประทับรอยประทับส่งสารเสีย”
“ใช่แล้วๆ ไปที่ตำหนักเมฆาแดงก่อน”
……
ภายใต้การนำทางของพวกเขาเทพอสรพิษอินทรีทั้งสาม ก็มาถึงยังโถงตำหนักของ ‘ตำหนักเมฆาแดง’ อันเป็นศูนย์กลางของเมืองเมฆาแดง
ทั่วทั้งเมืองเมฆาแดง กำแพงเมืองโอ่อ่าสูงตระหง่าน แต่ว่าพื้นที่ของตัวปราการเมืองเองก็ไม่นับว่าใหญ่โตนัก เพียงแค่หนึ่งแสนลี้กว่าๆ เท่านั้นเอง!
“มิตรแห่งวิถีผู้นี้ โปรดเลือกที่พำนัก คูหาที่มืดมิดเหล่านี้ล้วนไร้ซึ่งเจ้าของทั้งสิ้น” ผู้ที่รับผิดชอบเรื่องจิปาถะภายในตำหนักเมฆาแดงก็คือหุ่นเชิดสาวงามตนหนึ่ง หุ่นเชิดสาวงามชี้ปราการเมืองที่หดเล็กลงซึ่งแขวนลอยอยู่กลางอากาศ คูหาแต่ละแห่งที่เรียงรายกันอยู่อย่างแน่นขนัดภายในปราการเมืองมีอยู่กว่าหมื่นแห่ง ส่วนใหญ่ในนั้นล้วนมืดมิดทั้งสิ้น
ขนาดของคูหาเท่ากันหมด ต่างก็มีพื้นที่ราวๆ พันลี้
คูหากว่าหมื่นแห่ง กระจายตัวอยู่ภายในเมืองราวกับกลุ่มดาว
“ถึงแม้ว่าเมืองเมฆาแดงจะมีคูหาอยู่มากมายถึงเพียงนี้ แต่ภายในเมืองก็มีผู้แกร่งกล้าอยู่ทั้งสิ้นเพียงแค่สามพันกว่าคนเท่านั้น” เทพอสรพิษอินทรีที่อยู่ข้างๆ เอ่ยยิ้มๆ “ส่วนอื่นๆ ล้วนยังว่างอยู่ทั้งหมด”
“เลือกหลังนี้ก็แล้วกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดตามองปราดหนึ่งแล้วเลือกคูหาแห่งหนึ่งมาอย่างลวกๆ แล้วรับเอาอักขระยันต์ของคูหานั้นมา
ไม่ว่าพลังยุทธ์จะสูงหรือต่ำ คูหาก็เหมือนกันทั้งหมด
จากนั้นก็ทำการตรา ‘รอยประทับส่งสาร’
“มีเรื่องสำคัญอยู่มากมาย ตำหนักเมฆาแดงก็จะส่งสารให้กับมิตรแห่งวิถีหิมะเหิน” หุ่นเชิดสาวงามพูด
“ไปกันเถิด รีบไปกินอาหารเลิศรสกันดีกว่า” ยักษ์ศิลามารแดงอดรนทนไม่ไหวแล้วเอ่ยเร่งเร้า
“ไปๆๆ”
“ไปสวนฝู”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงยังสถานที่ที่จัดวางอาหารเลิศรสเอาไว้แห่งหนึ่งในเมืองเมฆาแดงภายใต้การนำทางของทั้งสามท่าน…สวนฝู!
ตลอดทาง เทพอสรพิษอินทรียังได้อธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “ทั้งเมืองเมฆาแดงมีผู้แกร่งกล้าอยู่ทั้งสิ้นเพียงสามพันท่านเท่านั้น ผู้ที่เต็มใจจะทำธุรกิจอาหารเลิศรสก็มีอยู่ทั้งสิ้นเพียงสามท่านเท่านั้น สวนฝูเป็นที่ที่ฝีมือทำครัวล้ำเลิศที่สุดในนั้น เจ้าก็รู้ว่าเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเหล่านั้น อยากจะนำมาทำเป็นอาหารเลิศรสนั้นยากเย็นเพียงใด เปลวเพลิงทั่วๆ ไปไม่มีทางทำให้สุกได้ เปลวเพลิงที่ร้ายกาจสักหน่อย หากไม่ระวังก็จะทำลายอาหารเลิศรสเสียสิ้น การจะพยายามคงสภาพพลังงานของเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเหล่านั้น ทั้งยังต้องทำให้มีรสชาติอันโอชะ ช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งนัก”
“จะต้องลองสัมผัสประสบการณ์ดูสักหน่อย ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยกินอาหารเลิศรสที่ทำจากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดมาก่อนเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ดวงตาเป็นประกายอย่างค่อนข้างคาดหวัง
ร่างกายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแข็งแกร่งเพียงใด
ทั่วทุกอณูล้วนเปลี่ยนแปรมาจากกฎเกณฑ์
อยากจะนำมันมาปรุงอาหารเลิศรสอย่างนั้นหรือ เทพจักรวาลขั้นสุดยอดธรรมดาทั่วไปก็ยังยากที่จะทำได้ ก็มีเพียงแค่ในเมืองเมฆาแดงแห่งนี้เท่านั้น ผู้ที่อ่อนแอที่สุดโดยทั่วไปแล้วต่างก็ต้องมีพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายทั้งสิ้น บวกกับความน่าอัศจรรย์ของกฎเกณฑ์ของโลกทิพย์แห่งนี้ บีบให้พวกตงป๋อเสวี่ยอิงแต่ละคนจำเป็นต้องบริโภคอาหารในปริมาณมาก มิฉะนั้นก็อาจจะหิวตายทั้งเป็นได้! การถูกบีบบังคับให้บริโภคเลือดเนื้อสิ่งมีชีวิตคละถิ่นในปริมาณมาก ผ่านไปนานๆ ผู้แกร่งกล้าที่เชี่ยวชาญการปรุงอาหารตามธรรมชาติก็ย่อมขัดเกลาวิธีการปรุงต่างๆ ออกมาได้
……
สวนฝูก็คือสวนที่ค่อนข้างเงียบสงบแห่งหนึ่ง
ภายในสวน ชายชราร่างอ้วนพีท่านหนึ่งกำลังเอนกายหลับใหลอยู่บนเก้าอี้ ด้านข้างยังมีหุ่นเชิดสองตนคอยปรนนิบัติอยู่
“ปีศาจเฒ่าฝู พวกเรามาแล้ว”
“ปีศาจเฒ่าฝู รีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้าเถิด มาหาท่านที่นี่สิบครั้ง ก็ต้องมีแปดครั้งที่เจ้าหลับอยู่ ไม่ยอมบำเพ็ญให้ดีๆ สักที”
หลังจากที่ยักษ์ศิลามารแดงผู้มีร่างกายสูงตระหง่านเดินเข้ามาแล้วก็ตะโกนเสียงดังลั่น พร้อมกันนั้นมารแดงก็จัดแจงอย่างคุ้นเคยยิ่ง “น้องหิมะเหิน นั่งได้ตามสบายเลยนะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิง เทพอสรพิษอินทรี เหลยเซียว และมารแดง พวกเขาทั้งสี่คนแยกกันนั่งลง
หุ่นเชิดสองตนนั้นรีบวิ่งเข้ามาแล้วรินสุราชั้นเลิศให้
ชายชราร่างอ้วนพีจึงค่อยตื่นขึ้นมาแล้วเหลือบมองทั้งสี่คนด้วยสายตาอันสะลึมสะลือพลางเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ไปถึงระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์กันตั้งนานแล้ว อยากจะก้าวหน้าขึ้นอีกสักเล็กน้อยนั้นยากเย็นเพียงใด ตอนนี้สิ่งที่ต้องการมิใช่การตรากตรำบำเพ็ญ แต่เป็นการตระหนักรู้ต่างหาก มารแดง เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“อย่าได้เปลืองน้ำลายอีกเลย รีบเตรียมอาหารมาเร็วเข้า ใช้แรงของสภาพแก่ชราของเจ้าให้หมดเลย” มารแดงเอ่ยเสียงสูง
แต่สายตาของชายชราผู้นี้กลับจับอยู่บนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงพลางพูดยิ้มๆ ว่า “โอ้ ผู้มาใหม่หรือ ข้าชื่อฝูอั้น พบหน้ากันครั้งแรก วันนี้ข้าจะเลี้ยงอาหารเจ้าเอง แต่เจ้าพวกมารแดงทั้งสามคน…ก็ยังต้องจ่ายเองอยู่นะ!”
“เจ้าปีศาจเฒ่าผู้นี้ เหตุใดจึงใจแคบเช่นนี้เล่า”
“จะกินอีกแค่มื้อเดียวเท่านั้นแหละ”
มารแดงและเทพอสรพิษอินทรีต่างก็ตะโกน เห็นไดชัดว่าเหลยเซียวพูดน้อยกว่ามากพอสมควร เขาหัวเราะหึๆ อยู่ข้างๆ
“ข้าชื่อหิมะเหิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “คราวนี้พี่มารแดงกับทุกท่านช่วยเหลือข้ากลับมาจากนอกเมือง บุญคุณช่วยชีวิตเช่นนี้ แล้วจะให้พวกพี่มารแดงเลี้ยงข้าได้อย่างไรเล่า คราวนี้ข้าควรจะเลี้ยงทุกท่านต่างหาก!”
พูดแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็โบกมือคราหนึ่ง สัตว์ร่างใหญ่มหึมาร่างหนึ่งก็ร่วงหล่นลงมา
ซากของเทพมรณะเงาทะมึนขนาดความยาวราวๆ สามร้อยเมตรตนหนึ่งร่วงหล่นลงมาภายในสวน พื้นที่ของสวนฝูแห่งนี้เกือบๆ ร้อยลี้ มีพื้นที่ว่างผืนใหญ่ ซากของเทพมรณะเงาทะมึนนี้ตกลงมาบนพื้นที่ว่างก็เป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง
“พลังยุทธ์ของน้องหิมะเหินไม่ธรรมดาเลย ถึงกับสามารถจัดการกับซากเทพมรณะเงาทะมึนได้” มารแดงดวงตาเป็นประกายแล้วเอ่ยต่อไปว่า “พวกเราหลายคนนี้กินกันมื้อหนึ่งก็คงหมดไปไม่เท่าไหร่ แต่ระยะเวลาต่อไปภายภาคหน้าที่เมืองเมฆาแดงยาวนานเป็นอย่างยิ่ง! กินไปเป็นระยะเวลายาวนาน เลือดเนื้อที่จำเป็นต้องกินก็มากมายมหาศาลแล้ว น้องหิมะเหิน ข้าแนะนำว่านอกจากเจ้าจะเลี้ยงพวกเราเหล่านี้แล้ว ส่วนที่เหลือก็แลกเปลี่ยนให้เป็น ‘เนื้อย่าง’ เสีย เนื้อย่างเป็นวิธีปรุงที่ง่ายที่สุดของสวนฝู เนื้อที่แลกได้ก็มากที่สุด รสชาติก็ดียิ่งนัก”
“ได้ เอาตามที่พี่มารแดงว่าก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้ายิ้มๆ
พร้อมกันนั้นเขาก็สะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ถ้าหากอยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ร่างกายก็ใหญ่โตหาใดเปรียบ ยาวได้ถึงกระทั่งร้อยล้านลี้!
แต่ที่โลกอสนีบาต เพราะว่ากฎเกณฑ์กดดันเป็นเหตุ ร่างกายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่อยู่ข้างนอกก็เล็กกว่าเป็นอันมากเลยทีเดียว
ที่โลกทิพย์แห่งนี้ แรงกดดันยิ่งน่าหวาดหวั่น ร่างกายสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็ยิ่งเล็กลง!
เหมือนก่อนหน้านี้ที่อาณาบริเวณเขตลวงของตนตรวจตราเป็นอาณาบริเวณล้านลี้ ก็ค้นพบเทพมรณะเงาทะมึนฝูงใหญ่ นอกจากนี้ในบรรดานั้นยังมีพลังรบระดับ ‘จักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์’ อยู่ไม่น้อย อย่างเช่นซากทั้งสองที่ตนจับเอามา ต่างก็เป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางที่อ่อนแอที่สุดในบรรดานั้น ร่างกายก็เล็กเป็นที่สุด
ร่างกายและพลังยุทธ์ของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างเช่นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นสองตนที่สามารถทำให้ ’หยวน’ ได้รับบาดเจ็บได้ในตอนนั้น… ความใหญ่โตของร่างกายก็ราวๆ หนึ่งในสิบส่วนของโลกกำเนิดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเลยทีเดียว! ซากศพสองซากก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นโลกหุบเขาเขี้ยวหักขนาดมโหฬารได้
“ช่างหอมเสียจริง” พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสี่คนดื่มสุราไปพลาง สนทนากันไปพลาง ทันใดนั้นก็ได้กลิ่นอันหอมหวน
เห็นได้ชัดว่า ‘ฝูอั้น’ ชายชราผู้นั้นกำลังปรุงอาหารเลิศรสอยู่
………………………