Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 43 กายตนก็คือโลก
“ยินดีกับบรรพชนงูเก้าเศียรด้วย ที่สำเร็จเป็นคละถิ่น”
“พวกเราบำเพ็ญกันนับล้านล้านปี ต่างก็ไขว่คว้าการหนีออกจากกรงขังไปถึงระดับชีวิตขั้นที่สูงกว่า อยากจะลองรับประสบการณ์โลกใหม่ดู ในที่สุดก็มาถึงยังโลกทิพย์นี้ พียงแต่ว่าเส้นทางสายนี้ยากเย็นเกินไป เพื่อนร่วมงานคนแล้วคนเล่าต่างก็ล้มเหลว วันนี้ได้เห็นบรรพชนงูเก้าเศียรสำเร็จเป็นคละถิ่น ก็ทำให้พวกเรามองเห็นความหวังในเส้นทางข้างหน้า”
เหล่าผู้บำเพ็ญในที่นั้นแต่ละคนต่างก็เอ่ยปากพูดอย่างต่อเนื่องด้วยอารมณ์อันซับซ้อนอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าในอดีตจะยังเรียกหากันเป็นพี่น้อง แต่ขณะนี้ทุกคนต่างก็เข้าใจว่าบรรพชนงูเก้าเศียรกลายเป็นระดับชีวิตอีกระดับหนึ่งแล้ว!
“ข้าสามารถมีวันนี้ได้ก็เพราะความช่วยเหลือจากทุกท่าน” บรรพชนงูเก้าเศียรกวาดสายตามอง แล้วหยุดชะงักบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงเล็กน้อย “หากไม่มีการร่วมแรงร่วมใจจากทุกท่าน ก็ไม่มีทางฆ่าเจ้าภูเขาน้ำแข็งเงียบงันผู้นั้นตายได้ ตอนนั้นข้าเคยพูดว่าถ้าหากข้าสามารถสำเร็จเป็นคละถิ่นได้ ก็ย่อมไม่มีทางละเลยทุกท่านอย่างแน่นอน การสั่งสมของข้าตลอดระยะเวลาอันยาวนานในโลกทิพย์ ตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์สำหรับข้าแล้ว ก็ขอมอบให้กับทุกท่านทั้งหมดเลย”
พูดแล้วคลังสมบัติล้ำค่าอันแล้วอันเล่าก็ลอยไปทางผู้บำเพ็ญทั้งหลายที่อยู่โดยรอบ ต่างก็เป็นสมาชิกกองกำลังผู้บำเพ็ญที่เข้าร่วมการสังหารเจ้าภูเขาน้ำแข็งเงียบงันในตอนนั้น จึงจะได้รับของกำนัล
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รับมาแล้วตรวจดู ภายในมีสมบัติล้ำค่าวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่จำนวนหนึ่งวางเอาไว้ ทั้งยังมีตำราเล่มหนึ่งด้วย สติรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงแทรกผ่านเข้าไปแล้วก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา…“น้องหิมะเหิน ข้าอาศัยสายโลหิตผู้บัญชาการสายโลหิตเก้าชนิดของเจ้าภูเขาน้ำแข็งเงียบงัน บรรลุในคราวเดียว ข้าก็มีความรู้ของตัวเองเกี่ยวกับห้วงอากาศอยู่พอสมควร หวังว่าบันทึกนี้จะสามารถช่วยอะไรเจ้าได้บ้างนะ”
……
ทุกคนในกองกำลังผู้บำเพ็ญในตอนนั้นพากันตรวจดูของกำนัลที่บรรพชนงูเก้าเศียรมอบให้ มีจำนวนไม่น้อยที่เผยสีหน้ายินดี
ถึงอย่างไรบรรพชนงูเก้าเศียรก็ศึกษาสายโลหิตสิบชนิด สายโลหิตที่ถูกเขาทอดทิ้งไปจำนวนหนึ่งก็เคยศึกษาอย่างลึกซึ้งมาก่อนแล้วเช่นกัน ทางด้านสายโลหิต บรรพชนงูเก้าเศียรก็ล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง! สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเหล่านั้น ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกา การรับรู้ที่มีต่อสายโลหิต เกรงว่าคงมิอาจเทียบได้กับ ‘บรรพชนงูเก้าเศียร’ ท่านนี้ เขาคิดค้นเผ่าพันธุ์ใหม่เผ่าพันธุ์หนึ่งออกมาด้วยตนเอง อีกทั้งหลังจากผสานรวมสายโลหิตสิบชนิดแล้วก็สร้างเป็นสายโลหิตใหม่เอี่ยมขึ้นมาด้วย
เขามีพรสวรรค์เป็นอย่างยิ่งโดยแท้จริง
มนุษย์สามัญคนหนึ่งสามารถสำเร็จเป็นคละถิ่นได้! ช่างล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมา ผู้ที่โดดเด่นจับตาที่สุดในโลกทิพย์ก็คือใบเมฆาวายุ! ส่วน ‘บรรพชนงูเก้าเศียร’นั้นก็มิได้มีผู้แกร่งกล้าคละถิ่นให้ความสำคัญกับเขาสักเท่าใดนัก เพราะว่าก่อนหน้านี้ภายในร่างกายเขาก็มีสายโลหิตเก้าชนิดแทรกซึมอยู่แล้ว ก็ไม่มีผู้แกร่งกล้าคละถิ่นเห็นดีเห็นงามในตัวเขาเลย ทว่าเขากลับบุกเบิกวิถีของตนเองท่ามกลางความเป็นไปไม่ได้! คิดค้นเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเผ่าพันธุ์ใหม่ชนิดหนึ่งออกมา ตอนนี้ระดับความโดดเด่นจับตาของเขา… ถึงขนาดที่เหนือกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงในขณะนี้เสียอีก
ถึงแม้ว่าวิถีวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงจะน่ากลัว แต่ถึงอย่างไรก็ยังมิได้สำเร็จเป็นคละถิ่นเสียหน่อย!
ในสายตาของผู้แกร่งกล้าคละถิ่นจำนวนมาก เกรงว่าบรรพชนงูเก้าเศียรคงจะมีความเป็นไปได้ในการไปถึงสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกามากที่สุด ไม่แน่ว่าอาจยังสามารถพุ่งขึ้นไปสูงกว่านั้นได้อีก
ขณะนี้
เขามอบตำราบันทึกการหยั่งรู้ให้กับผู้บำเพ็ญจำนวนหนึ่ง ซึ่งทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนมากพอสมควรปิติยินดี
“ขอบคุณบรรพชนงูเก้าเศียร”
“ขอบคุณพี่เก้าเศียร”
แต่ละคนพูดอย่างต่อเนื่อง ต่างก็ซาบซึ้งกันเป็นอย่างยิ่ง
“แต่ข้าให้ความช่วยเหลือแก่พวกท่านเล็กน้อยแค่นี้ การสำเร็จเป็นคละถิ่นจะง่ายดายถึงเพียงนี้เสียที่ไหนกัน ในที่สุดก็ต้องอาศัยตัวทุกท่านเองอยู่ดี” บรรพชนงูเก้าเศียรพูด
อูเสี่ยวได้ฟังแล้วก็พยักหน้า เขามีภูมิหลังความเป็นมาเช่นนั้น แต่ก็ค้างอยู่ที่ระดับร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนี้เช่นเดียวกัน
“ทุกท่าน ข้าหยุดยั้งอยู่ที่นี่ได้ไม่นานเท่าไหร่ รอต้อนรับเทวทูตครั้งหนึ่ง ข้าก็จำเป็นต้องจากไปแล้ว” บรรพชนงูเก้าเศียรมองไปรอบๆ “ข้าก็เคยห้ำหั่นพร้อมกันกับทุกท่านในโลกทิพย์แห่งนี้เพื่อสำเร็จเป็นคละถิ่น ตอนนี้ทุกท่านมีสิ่งใดอยากถามข้า ก็สามารถพูดมาได้ทั้งหมดเลย ข้าก็จะตอบเป็นข้อๆ ไป”
เหล่าผู้บำเพ็ญในที่นี้ได้ฟังแล้วหลายคนก็พากันตื่นเต้นยินดีขึ้นมา
“บรรพชนงูเก้าเศียร การตื่นรู้สายโลหิตขั้นสุดยอดนี้ ท่านพอจะมีสิ่งใดสามารถชี้แนะพวกเราได้หรือไม่ว่าทำเช่นไรจึงจะสามารถตื่นรู้ได้สำเร็จ” มีผู้บำเพ็ญเอ่ยถามขึ้นมาในทันใด ทุกคนล้วนสงบลงมา เพราะว่าที่เมืองเมฆาแดงก็มีสายโลหิตคละถิ่นอยู่เป็นจำนวนมาก! อย่างเช่นผู้ตระหนักวิถี ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนน้อย
“ตื่นรู้ได้สำเร็จอย่างนั้นหรือ” บรรพชนงูเก้าเศียรลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยว่า “สำเร็จเป็นคละถิ่น นี่ก็ไม่มีทางชี้แนะได้เลย ต้องบอกว่า… นั่นก็คือเหตุผลที่ง่ายที่สุด…สั่งสมให้มากแล้วปลดปล่อยออกมาน้อยๆ อย่างเช่นข้า ศึกษาสายโลหิตคละถิ่นมากมาย สั่งสมอย่างแน่นหนายิ่งขึ้น หรือแม้กระทั่งสายโลหิตสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูง ข้าก็เคยศึกษารวบรวมมาก่อน มีการสั่งสมมากพอ จึงค่อยๆ เห็นหนทางข้างหน้าอย่างกระจ่างมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นพวกเจ้า มีจำนวนมากที่เกิดมาก็มีสายโลหิตคละถิ่นแล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นเพียงแค่พลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ แต่มีบางส่วนที่กลับสามารถแสดงได้ถึงพลังยุทธ์ระดับสุดยอดผู้แกร่งกล้า นี่ก็คือการสั่งสมพลังยุทธ์ที่แตกต่างกัน”
“สั่งสมถึงแล้ว บางทีสักวันอาจจะตระหนักรู้บรรลุโดยตรงเลยก็เป็นได้” บรรพชนงูเก้าเศียรพูดยิ้มๆ
ทุกคนในที่นั้นพยักหน้า
สั่งสมให้มากแล้วปลดปล่อยออกมาน้อยๆ…
พูดง่าย แต่กลับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!
“บรรพชนงูเก้าเศียร” เสียฝานเอ่ยถามต่อไป “สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูงนี้กับพวกเราร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเหล่านี้ ที่แท้แล้วมีความแตกต่างกันอย่างไรแน่ พวกเราก็สังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นธรรมดาสามัญ ที่โลกทิพย์ไปมากมายเหลือเกินแล้ว ก็ย่อมมิได้รู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นธรรมดาสามัญเหล่านั้นมีความพิเศษแต่อย่างใดเลย”
“ถูกต้อง พี่เก้าเศียร ที่แท้แล้วมีความแตกต่างกันอย่างไรแน่”
“บอกพวกเราหน่อยเถิด”
ทุกคนพากันถาม ผู้บำเพ็ญมากมายต่างก็รอคอยอย่างใคร่รู้
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตั้งใจฟังโดยละเอียด
“อย่าได้เห็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นธรรมดาสามัญเป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่น” บรรพชนงูเก้าเศียรส่ายศีรษะ “พวกเจ้าก็คงจะรู้ว่าเริ่มจากระดับขั้นของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูงนี้เป็นต้นไป…จึงจะมีคุณสมบัติพอจะนับได้ว่าเป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่น! เพราะว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพอย่างหนึ่ง สิ่งมีชีวิตคละถิ่
ธรรมดาสามัญเหล่านั้นก็คือมดปลวกท่ามกลาง ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’! ข้าโบกมืออย่างลวกๆ ก็สามารถผลาญสังหารได้เป็นล้านล้านตนแล้ว ย่างก้าวเดียวก็สามารถเหยียบย่ำตายได้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันช่างอ่อนแอเสียเหลือเกิน พวกมันเพียงแค่โชคดีเท่านั้น เกิดมาก็เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด แต่ก็ไม่มีทางขุดค้นเอาพลังของสายโลหิตออกมาได้มากมายสักเท่าใดนัก ถ้าหากขุดค้นไปได้ลึกพอ วิวัฒน์สายโลหิต จึงจะมีสิทธิ์ไปถึงชีวิตคละถิ่นระดับสูงได้”
“สำหรับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นธรรมดาสามัญเหล่านั้นแล้ว สามารถวิวัฒน์สายโลหิตให้เปลี่ยนแปลงสักครั้งหนึ่ง สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูงได้ นั่นก็คือความสำเร็จอย่างก้าวกระโดดแล้ว”
บรรพชนงูเก้าเศียรมองดูทุกคนในที่นั้น “สำหรับความแตกต่างระหว่างร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูง…”
“อืม”
บรรพชนงูเก้าเศียรเงียบงันไปชั่วครู่
ทุกคนในที่นั้นตั้งใจฟังโดยละเอียด
“เหล่าผู้บำเพ็ญล้วนถือกำเนิดขึ้นจากการฟูมฟักของโลก” บรรพชนงูเก้าเศียรพูด “มีบางส่วนที่ถือกำเนิดขึ้นภายในโลกกำเนิด มีบางส่วนที่ถือกำเนิดขึ้นภายในโลกแห่งอื่นๆ”
ทุกคนต่างก็พยักหน้า
โลกาภิวัตน์ ฟูมฟักสรรพชีวิต พวกเขาก็คือหนึ่งในบรรดาผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้น
“ผู้บำเพ็ญต่างก็ฟูมฟักมาจากพื้นฐานของโลก” บรรพชนงูเก้าเศียรพูด “พลังของผู้บำเพ็ญก็มาจากพื้นฐานของโลกเช่นเดียวกัน”
พลังของตน มาจากพื้นฐานของโลกอย่างนั้นหรือ
มาถึงระดับขั้นอย่างพวกตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ต่างก็เข้าใจในจุดนี้ดี อย่างเช่น ‘เคล็ดร่างแยก’ อย่างเช่นการบำเพ็ญร่างแยกใหม่หลายร่าง แต่ละคนต่างก็สามารถไปถึงพลังยุทธ์ระดับสุดยอดได้ เพียงครู่เดียวพลังยุทธ์ทั้งร่างก็แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า แต่ถ้าหากถือกำเนิดที่โลกอย่าง ‘โลกอสนีบาต’ ก็ไม่มีทางบำเพ็ญเคล็ดร่างแยกได้
พัฒนา…
หยั่งรู้กฎเกณฑ์…
ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากพื้นฐานของโลกทั้งสิ้น
“ผู้บำเพ็ญ สามารถดูดซับพลังภายในโลกได้อย่างไม่หยุดหย่อน” บรรพชนงูเก้าเศียรพูด “พลังเหล่านี้ก็คือสิ่งที่พื้นฐานโลกมอบให้กับพวกเรา”
“แต่ถ้าหากสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูงแล้ว”
บรรพชนงูเก้าเศียรพูดเสียงเบา “เช่นนั้นความรู้สึกก็ไม่เหมือนกันแล้ว ก็เหมือนกับว่าตัวข้าก็คือโลกแห่งหนึ่ง โลกกำเนิดขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าความแน่นหนาของพละกำลังของข้าจะห่างชั้นกับพื้นฐานของโลกกำเนิดขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ว่าทางด้านระดับชีวิต ข้าก็อยู่ในระดับเดียวกันกับโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง!”
“ตนเองก็คือโลกใบหนึ่งอย่างนั้นหรือ” พวกตงป๋อเสวี่ยอิงแต่ละคนดูเหมือนกำลังคิดสิ่งใดอยู่
“ก็เหมือนกับเคล็ดร่างแยก ก่อนหน้าที่ยังมิได้สำเร็จเป็นคละถิ่น สามารถอาศัยพื้นฐานโลกสร้างเป็นร่างแยกมากมายได้ในเวลาเดียวกัน ร่างแยกทุกร่างต่างก็คงพลังยุทธ์ขั้นสุดยอดเอาไว้ มีร่างแยกเพิ่มมาอีกร่างหนึ่งอย่างนั้นหรือ ก็สามารถมีพลังยุทธ์ขั้นสุดยอดเพิ่มขึ้นมาได้อีกส่วนหนึ่ง พลังยุทธ์ที่เพิ่มขึ้นมาจากไหนน่ะหรือ ก็เกิดขึ้นจากความช่วยเหลือของกฎเกณฑ์โลก” บรรพชนงูเก้าเศียรพูด “แต่ตอนนี้ถ้าหากข้าต้องการจะสำแดงเคล็ดร่างแยก นั่นก็เป็นการตัดแยกร่างของข้าเอง”
“ร่างของข้าก็คือร่างสมบูรณ์ร่างหนึ่ง! ก็คือโลกใบหนึ่งนั่นเอง”
“ข้าแบ่งออกเป็นร่างแยกสองร่างที่พลังยุทธ์เทียบเท่ากัน เช่นนั้นพลังยุทธ์ของร่างกายก็จะแบ่งจากหนึ่งเป็นสอง ทุกร่างล้วนอ่อนแอทั้งสิ้น”
“ทุกร่างแยกที่แบ่งเพิ่มขึ้นมา ก็ย่อมต้องแบ่งส่วนพลังยุทธ์ออกไป”
บรรพชนงูเก้าเศียรมองดูเหล่าผู้บำเพ็ญในที่นั้น “เข้าใจแล้วใช่หรือไม่ ยามเป็นผู้บำเพ็ญยังสามารถมีโลกเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้ แต่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูงก็ทำได้เพียงแค่อาศัยตนเองเท่านั้น! แน่นอนว่าระดับชีวิตก็ไม่เหมือนกัน อย่างเช่นตอนนี้ในสายตาของข้า เมื่อสังเกตดูโลกทิพย์แห่งนี้ ก็คล้ายกับมองดูสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอีกตนหนึ่ง ข้ามองปราดเดียวก็สามารถมองพื้นผิวของมันได้อย่างกระจ่างชัดเจนแล้ว สรรพชีวิตทั่วทั้งโลกทิพย์ นักโทษคละถิ่นที่ซ่อนตัวอยู่ทุกหนแห่ง ข้าล้วนสามารถ ‘มองเห็น’ ได้ทั้งสิ้น”
“สามารถมองเห็นได้ทั้งหมดเลยหรือ”
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็รู้ว่าเคล็ดวิชาเช่น ‘การสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกา’ นั้น อันที่จริงแล้วก็มีมุมมองของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่ด้วยบางส่วน
และสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูงที่แท้จริง มองดูโลกแห่งหนึ่ง ก็คล้ายกับมองม้วนภาพวาดขนาดใหญ่ภาพหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกระจ่างชัดเจนอยู่บนม้วนภาพวาด
……
การสนทนานี้ดำเนินไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ แม้กระทั่งหลังจากที่เมืองอื่นๆ อีกสี่แห่งล่วงรู้ว่า ‘บรรพชนงูเก้าเศียร’ สำเร็จเป็นคละถิ่นแล้วก็ตื่นเต้นหาใดเปรียบเช่นเดียวกัน แต่ละคนต่างก็อาศัยวัตถุส่งสาร ส่งคำถามจำนวนหนึ่งมา
บรรพชนงูเก้าเศียรก็ตอบได้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
เพราะว่าเขาก็เพิ่งสำเร็จเป็นคละถิ่นเช่นเดียวกัน!
การสนทนาของทุกคน ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นการพูดถึงทางด้านการบำเพ็ญ
“มาแล้ว” บรรพชนงูเก้าเศียรเงยหน้าขึ้นมอง
เห็นเพียงว่ากลางอากาศมีลำแสงสายหนึ่งกะพริบวาบ แล้วก็มีชายชราจมูกแดงท่านหนึ่งปรากฏตัวที่ท้องฟ้าเบื้องบนของเมืองเมฆาแดง
บริเวณเอวของชายชราจมูกแดงผู้นี้มีน้ำเต้าสุราใบหนึ่งแขวนอยู่ เขาเหยียบย่างอากาศเดินลงมา
สายตาของเขากวาดมองคราหนึ่งก็ทำให้ผู้บำเพ็ญที่อยู่เบื้องล่างทั้งหมด ต่างก็รู้สึกว่าสติรับรู้เนิบช้าลง หูก็ฟังไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย
“เก้าเศียร” ชายชราจมูกแดงเดินมาถึงยังข้างกายบรรพชนงูเก้าเศียร เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ทำได้เพียงแค่มองเห็นเท่านั้น แต่ไม่ได้ยินเสียงของพวกเขาเลย
“ข้าคือ ‘นักพรตฉื้อเฟิง’ ผู้ลาดตระเวนเขตที่เจ็ดใต้อาณัติของเจ้าดินแดน” ชายชราจมูกแดงพูดยิ้มๆ ด้วยเสียงเบา “ท่านสามารถผสานสายโลหิตสิบชนิดด้วยตัวเอง ทั้งยังสามารถผสานรวมแล้วสร้างเป็นสายโลหิตใหม่ กลายเป็นสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตคละถิ่นพันธุ์ใหม่ขึ้นมา ตอนนี้เหล่าผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่ล่วงรู้เรื่องนี้ต่างก็ยกย่องนับถือท่านเป็นอย่างยิ่ง ความเข้าใจของท่านที่มีต่อสายโลหิตนี้ย่อมต้องลึกล้ำอย่างยิ่งเป็นแน่ มีความหวังที่จะไปถึงสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาได้ในอนาคตเสียด้วยซ้ำ”
“ข้าเพิ่งบรรลุ ยังห่างจากระดับโลกาเป็นอย่างยิ่ง” บรรพชนงูเก้าเศียรพูด
“เจ้าดินแดนของพวกเราคือผู้ที่บรรลุเป็นคนสุดท้ายในบรรดาเจ้าดินแดนแปดท่านในตอนนี้ แต่พลังยุทธ์กลับแข็งแกร่งหาใดเทียม ทำให้เขตแดนจำนวนนับไม่ถ้วนพรั่นพรึง ตอนนี้ท่านเจ้าดินแดนเห็นดีเห็นงามในตัวท่านเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ให้ข้ามาพาตัวท่านไปพบเขาน่ะขอรับ” ชายชราจมูกแดงพูด
“รบกวนท่านผู้ลาดตระเวนแล้ว” บรรพชนงูเก้าเศียรพูด
“เรียกข้าว่าฉื้อเฟิงก็พอแล้ว” ชายชราจมูกแดงพูด ด้วยสสถานะผู้ลาดตระเวนของเขา เขาก็มิใคร่จะเห็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูงโดยทั่วไปอยู่ในสายตาสักเท่าใดนัก แต่บรรพชนงูเก้าเศียรนั้นไม่เหมือนกัน มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ เขาจึงได้รักษามารยาทถึงเพียงนี้
“ท่านพี่ฉื้อเฟิง” บรรพชนงูเก้าเศียรถ่อมตนเป็นอย่างยิ่ง
“ไปๆๆ” ชายชราจมูกแดงโบกมือคราหนึ่งแล้วพาตัวบรรพชนงูเก้าเศียรแหวกอากาศไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กะพริบวาบคราหนึ่งแล้วหายไปจากโลกทิพย์แห่งนี้
……
รอจนชายชราจมูกแดงท่านนั้นและบรรพชนงูเก้าเศียรจากไปพร้อมกันแล้วพวกตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้ยินเสียงบริเวณรอบๆ อีกครั้ง สติรับรู้ที่เนิบช้าก็ค่อยฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
แต่ละคนล้วนเงยหน้าขึ้นมองทิศทางที่ชายชราจมูกแดงและบรรพชนงูเก้าเศียรจากไป
ทุกคนต่างก็เข้าใจว่าการที่บรรพชนงูเก้าเศียรไปในครั้งนี้ ก็คือการเข้าไปสู่โลกอันกว้างใหญ่แห่งใหม่ นั่นคือโลกของผู้แกร่งกล้าคละถิ่นนั่นเอง
……………………………