Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 47 สงวนท่าทีรอคอย
โลกทิพย์กว้างใหญ่ไพศาล
เจ้าทะเลหุบเหวลึกสูงหนึ่งพันแปดร้อยลี้ ส่วนร่างกายอยู่เหนือชั้นเมฆ เขาเหินทะยานไป แม้จะช้ากว่ากองกำลังย่อยทั้งสามของเมืองยามเที่ยงที่ร่วมแรงกันสร้างเป็นค่ายกลรบเพื่อหลบหนีอยู่บ้าง แต่ก็ยังเร็วเสียจนน่าตกใจอยู่ดี
“ไล่ตามไม่ทันแล้ว”
เจ้าทะเลหุบเหวลึกไล่ตามกองกำลังย่อยกองหนึ่งอยู่ราวชั่วจอกชา ก็ทิ้งห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็เลิกไล่ตาม
เขาเพียงแค่เปลี่ยนทิศทางเล็กน้อยแล้วเหินทะยานต่อไป รุกไล่เป็นแนวตรงไปทาง ‘เมืองเมฆาแดง’ ทันที!
“เขาไม่ไล่ตามแล้ว”
“ถอดใจจากพวกเราแล้ว”
กองกำลังย่อยซึ่งมีผู้บำเพ็ญนับพันคนที่ถูกไล่ล่าอยู่นี้พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก
“พวกเราสำแดงวิธีการตรวจตราออกไปมากมาย เพื่อตรวจดูทุกทิศทาง ต่อให้มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นกลุ่มใหญ่เข้ามาขัดขวาง พวกเราก็จะอ้อมไปก่อนตั้งแต่เนิ่นๆ! ถึงจะอ้อมไม้พ้น ก็จะเลือกสกัดกั้นจุดที่อ่อนแอแล้วทะลุไปโดยเร็ว! เดิมทีความเร็วของเจ้าทะเลหุบเหวลึกก็ช้ากว่าพวกเราอยู่แล้ว ไล่ตามต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าคงจะตามไม่ทันไปตลอดกาล” ผู้บำเพ็ญเหล่านี้เริ่มแลกเปลี่ยนกัน
“หากเขาไล่ตามต่อไป แม้โอกาสไล่ตามพวกเราทันจะต่ำมาก แต่หากไล่ทันขึ้นมาพวกเราก็คงต้องจบเห่แน่”
“เอาล่ะ อย่าพูดเรื่องพวกนี้กันอีกเลย ทุกท่าน ดูจากทิศทางที่เจ้าทะเลหุบเหวลึกกำลังมุ่งหน้าไปตอนนี้แล้ว เขาน่าจะมุ่งหน้าไปยังเมืองเมฆาแดงซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด” รองเจ้าเมือง ‘สวินอี้’ ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในกองกำลังถ่ายเสียงพูด “แม้ความเร็วของเขาจะช้ากว่าพวกเราเล็กน้อย แต่เขาเดินทางตรงดิ่งไปอย่างไร้อุปสรรค แต่พวกเรากลับต้องหลบหลีกรังนักโทษคละถิ่นทั้งหลาย! นอกจากนี้เมื่อได้รับผลกระทบจากสิ่งมีชีวิตคละถิ่น คาดว่าเจ้าทะเลหุบเหวลึกไปถึงเมืองเมฆาแดงแล้ว พวกเราก็คงจะยังไปไม่ถึงเลย”
“อื้ม”
“ถูกต้อง ลำพังแค่อ้อมรังของนักโทษคละถิ่น พวกเราก็คงจะต้องอ้อมเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยห้าส่วน”
หากไม่มีภัยคุกคามถึงตาย พวกเขาแต่ละคนก็ล้วนอยากจะมีส่วนร่วมในสงคราม ‘สังหารเจ้าทะเลหุบเหวลึก’ แต่ตอนนี้ เห็นทีเจ้าทะเลหุบเหวลึกคงจะไปถึงเมืองเมฆาแดงก่อนพวกเขาเสียอีก
“เมืองเมฆาแดงมีจ้าวหิมะเหิน จะต้องมั่นใจมากแน่นอน เกรงว่าก่อนพวกเราจะไปถึง พวกเขาก็คงจะรับมือเจ้าทะเลหุบเหวลึกแล้ว”
“เจ้าทะเลหุบเหวลึกมิได้สังหารได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอก!”
“เมื่อดูจากการประมือเมื่อครู่นี้ พลังของเจ้าทะเลหุบเหวลึกแข็งแกร่งกว่าการออกตระเวนครั้งก่อนไม่น้อยเลย”
“พวกเราสนใจเพียงแค่เร่งเดินทางไปก็พอแล้ว! หากพวกเขาสามารถสังหารเจ้าทะเลหุบเหวลึกได้ก่อน ก็นับว่าพวกเขาชาวเมืองเมฆาแดงร้ายกาจ!”
กองกำลังย่อยซึ่งมีผู้บำเพ็ญนับพันกองนี้มุ่งหน้าต่อไป
ขณะเดียวกัน…
เงาร่างสูงตระหง่านซึ่งยืนอยู่เหนือสายน้ำสีทองที่หลั่งไหลอยู่ก็เหลือบมองไปทางเมืองเมฆาแดงพลางออกคำสั่งเสียงเรียบว่า “เด็กๆ ทั้งหลาย ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองเมฆาแดงเสีย”
ภายในหุบเขาอันลึกล้ำแห่งหนึ่ง หมอกดำแพร่กระจายออกไป กลางหมอกดำก็มีเงาร่างอันเลือนรางสายหนึ่งกำลังออกคำสั่งเช่นกัน “ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองเมฆาแดงให้หมด”
เขาออกคำสั่งประโยคแล้วประโยคเล่า
ฝูงสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดใหญ่ซึ่งมี ‘นักโทษคละถิ่น’ ทั่วทั้งโลกทิพย์ล้วนแต่เร่งมุ่งหน้าไปยังเมืองเมฆาแดง แม้แต่ฝูงสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ล้อมโจมตี ‘เมืองยามเที่ยง’ อยู่เมื่อครู่ก็กำลังเร่งตรงไปทางเมืองเมฆาแดงเช่นกัน
นอกจากนี้
ฝูงสิ่งมีชีวิตคละถิ่นจำนวนมากกว่าที่ไม่มีนักโทษคละถิ่นอยู่ก็ต้องให้ ‘ทูตหุบเหวลึก’ มุ่งหน้าไปหาเพื่อถ่ายทอดคำสั่ง
ทูตหุบเหวลึกก็คือตัวแทนของเจ้าทะเลหุบเหวลึก! พวกมันสามารถสั่งการฝูงสิ่งมีชีวิตคละถิ่นต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
“รับบัญชาท่านอ๋อง เจ้าและคนอื่นๆ ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองเมฆาแดงให้หมด”
เหล่าทูตหุบเหวลึกเร่งเดินทางไปด้วยความยากลำบากเพื่อทำการถ่ายทอดคำสั่ง
โลกทิพย์ใหญ่โตเกินไปแล้ว ความเร็วของบรรดาทูตหุบเหวลึกก็ช้าเกินไป เคราะห์ดีที่พวกมันมีจำนวนมากพอ เมื่อกระจายตัวกันออกไป มุ่งหน้าไปยังบริเวณต่างๆ เพื่อถ่ายทอดคำสั่ง เกรงว่าในหนึ่งเดือนก็คงเพียงพอจะแพร่ไปทั่วทั้งโลกทิพย์ได้แล้ว
……
สิ่งมีชีวิตคละถิ่นจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเร่งมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเมฆาแดง เจ้าทะเลหุบเหวลึกก็กำลังเร่งตรงมา
“บุกตรงมาทางเมืองเมฆาแดงของพวกเราจริงด้วย” ภายในตำหนักเมฆาแดง ผู้บำเพ็ญสามพันกว่าคนรวมถึงตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็จ้องกระจกมารเขม็ง กระจกมารปรากฏภาพบริเวณต่างๆ ของโลกทิพย์ บางครั้งก็ตรวจดู ‘เจ้าทะเลหุบเหวลึก’ บางครั้งก็ตรวจดูสถานที่อื่นๆ
“โจมตีเมืองยามเที่ยงเพราะว่าอยู่ใกล้” อูเสี่ยวพูดอย่างเคร่งขรึม “บวกกับตอนแรกเจ้าทะเลหุบเหวลึกมีพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ก้าวออกไปคราหนึ่งก็เกินร้อยล้านลี้แล้ว ตอนเริ่มต้นวิ่งได้รวดเร็วยิ่งนัก เมื่อวิ่งไปได้ครึ่งทาง แม้ภายหลังพลังจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่จากทะเลหุบเหวลึกถึง ‘เมืองยามเที่ยง’ เขาใช้เวลาทั้งหมดเพียงแค่สองวันเท่านั้น”
“จากเมืองยามเที่ยงไปถึงเมืองเมฆาแดง เขากลับต้องใช้เวลานานถึงหกวัน” อูเสี่ยวคาดเดา “เวลายาวนานถึงเพียงนี้ เพียงพอจะทำให้สิ่งมีชีวิตคละถิ่นจำนวนมากขึ้นมาล้อมโจมตีได้แล้ว!”
“ไม่เพียงเท่านี้” จักรพรรดิชิงสวรรค์พูดเสียงต่ำ “เจ้าทะเลหุบเหวลึกจะต้องรู้แน่ว่า กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของพี่หิมะเหินร้ายกาจ! ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากว่าครั้งนี้เขาจะถือเอาเมืองเมฆาแดงเป็นสถานที่สำคัญที่สุดในสงคราม และส่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นจำนวนมากพอควรมาโจมตี อีกทั้งถึงตอนนี้พวกเราก็ยังไม่แน่ใจว่าที่แท้แล้วพลังของเจ้าทะเลหุบเหวลึกก้าวหน้าไปถึงขั้นใดกันแน่ เมืองยามเที่ยงถูกโจมตี ค่ายกลป้องกันเมืองก็เริ่มถูกโจมตีจนแตก ผู้บำเพ็ญเมืองยามเที่ยงก็หนีไปทันทีโดยมิได้ห้ำหั่นครั้งใหญ่กันเลย จึงไม่ทันได้เห็นกลเม็ดของเจ้าทะเลหุบเหวลึกมากกว่านี้ รู้แต่เพียงว่า กระบวนท่าที่เขาโจมตีค่ายกลป้องกันเมืองแข็งแกร่งขึ้นแล้ว”
“อื้ม”
แต่ละคนท่าทางจริงจัง
พวกเขาอยากจะสังหารเจ้าทะเลหุบเหวลึกให้ตายนัก เพียงแต่ตอนนี้ไม่รู้พลังที่แน่ชัดของเจ้าทะเลหุบเหวลึก
“คิดอะไรน่ะ” โม่ซูพูดพลางยิ้มเย็นชา “เขายกระดับขึ้นมาหน่อยแล้วอย่างไรเล่า ก็คงไม่ถึงระดับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูงขั้นครบสมบูรณ์หรอก มีจ้าวหิมะเหินอยู่ทั้งคน พวกเราสามารถล้อมสังหารได้อย่างสุดกำลัง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองดู ไม่แน่ว่าอาจจะสำเร็จก็ได้ไม่ใช่หรือไร”
“อื้ม ถึงตอนนั้นสู้ให้สุดแรงสักตั้งก็พอแล้ว” ใบเมฆาวายุก็พูดพลางพยักหน้า “ทุกท่าน ฝึกซ้อมค่ายกลรบร่วมโจมตีอีก เพราะถึงอย่่างไรเก้าเศียรก็สำเร็จขั้นคละถิ่นแล้ว ค่ายกลรบสามแห่ง…มีหนึ่งแห่งในนั้นที่ต้องเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก”
“ได้”
“ทำความคุ้นเคยกับค่ายกลรบเสียหน่อย”
การทำความคุ้นเคยกับค่ายกลรบนั้นง่ายดายมาก เพราะเหล่าผู้บำเพ็ญในที่นั้นซึ่งเคยผ่านการโจมตีเจ้าทะเลหุบเหวลึกมาในครั้งก่อนก็เข้าใจอยู่แล้ว และภายในเวลาสั้นๆ นี้ ผู้บำเพ็ญที่มาใหม่ก็ต้องทำความคุ้นเคย เช่นตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเป่ยเหอเป็นต้น
ตู้มมม…
ภายในตำหนักเมฆาแดง อานุภาพอันน่าหวาดหวั่นกำลังสั่งสม อานุภาพของค่ายกลรบถูกเก็บเอาไว้โดยไม่ปลดปล่อยออกมา
ส่วนใบเมฆาวายุก็ถามตงป๋อเสวี่ยอิงว่า “น้องหิมะเหิน เจ้ามีส่วนร่วมกับค่ายกลรบ ส่งผลกระทบต่อการสำแดงกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรการสำแดงกระบวนท่าทางด้านวิญญาณก็สำคัญที่สุด! อย่างมาก เจ้าก็อยู่ภายในกองกำลัง ไม่ต้องเข้าร่วมการควบคุมค่ายกลรบก็ได้”
“ไม่เป็นไร ไม่กระทบหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำยิ้มๆ
เดิมทีสมาธิของเขาก็แกร่งกล้ามากอยู่แล้ว เหนือกว่าผู้แกร่งกล้าระดับเดียวกันไปมากโข
เขารับหน้าที่ควบคุมข้อต่อเล็กๆ จุดหนึ่งของค่ายกลรบ มันส่งผลกระทบต่อสมาธิของเขาไม่ถึงหนึ่งส่วนเสียด้วยซ้ำ! นับได้เพียงว่าเป็นครึ่งส่วนเท่านั้น แน่นอนว่าสมาธิครึ่งส่วนของเขาก็นับว่าเป็นสามสี่ส่วนของผู้แกร่งกล้าระดับยอดทั่วไปแล้ว แม้ผู้แกร่งกล้าระดับยอดคนอื่นๆ จะไม่ธรรมดา ได้พบโอกาสต่างๆ มาเช่นกัน แต่วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงเคยได้หลอมรวมเอาโลหิตหัวใจของมารดามังกรหมื่นสัมผัสเข้าไป บนเส้นทางวิญญาณเขาจึงแข็งแกร่งยิ่งนัก สมาธิก็ย่อมแข็งแกร่งขึ้นเป็นธรรมดา
เวลาล่วงเลยไป…
เขาทำความคุ้นเคยกับค่ายกลรบอยู่
ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตั้งตารอคอยเป็นอย่างมาก“ หากสังหารเจ้าทะเลหุบเหวลึกได้ ก็จะได้รางวัลจากเจ้าดินแดน เมื่อฟังความหมายจากอูเสี่ยว ถึงตอนนั้นก็จะได้พบเจ้าดินแดนและเสนอเงื่อนไขของตนได้แล้ว พวกที่บำเพ็ญสายเลือด แทบจะทั้งหมดล้วนสามารถสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้! รางวัลช่างน่าตกใจเช่นนี้ ข้าจะต้องยื่นเงื่อนไขบางอย่างให้เป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญของข้าเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน”
“กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของข้ากดดันพลังของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั้งหลาย และข้ายังเข้าร่วมค่ายกลรบด้วย ถึงตอนนั้นผู้ที่สร้างคุณูปการมากที่สุด ก็เป็นไปได้มากว่าจะเป็นข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
แม้ผู้บำเพ็ญเมืองเมฆาแดงจะแบ่งออกเป็นกองกำลังย่อยเพราะพลังเป็นเหตุ ใบเมฆาวายุ อูเสี่ยวและจักรพรรดิชิงสวรรค์เป็นหัวใจหลักของกองกำลังย่อยแต่ละกอง! พลังรบของพวกเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ในฐานะหัวใจหลักของค่ายกลรบร่วมโจมตี ก็สามารถทำให้กองกำลังย่อยทั้งสามสำแดงพลังออกมาได้มากที่สุด
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงกระบวนท่าทางด้านวิญญาณ
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือผู้ที่มีโอกาสเป็นผู้ที่สร้างคุณูปการมากที่สุดอยู่แล้ว รองลงมาก็คือพวกใบเมฆาวายุทั้งสามคน! รองลงไปอีก…ก็เช่นผู้ที่อยู่ในค่ายกลรบแล้วสำแดงกระบวนท่าสุดท้ายออกมาสังหารเจ้าทะเลหุบเหวลึกระหว่างการรบพอดี ก็นับว่าสร้างคุณูปการอันใหญ่หลวง โดยสรุปแล้ว ถึงตอนนั้นคุณูปการนี้ก็จะตัดสินจาก ‘การโน้มน้าววิญญาณอาวุธประจำตำหนัก’
“ต่อให้ไม่ได้รางวัล” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ก็นับว่าเป็นการเคี่ยวกรำครั้งใหญ่ สำหรับข้า เจ้าทะเลหุบเหวลึกผู้นี้ก็เป็นคู่ต่อสู้ตัวฉกาจที่สุดโลกทิพย์แล้ว”
“รอให้สงครามยุติ หากไม่ได้รางวัล ข้าก็ควรไปจากโลกทิพย์เสียที”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิดคำนวณ
โลกทิพย์มีส่วนช่วยเขาน้อยยิ่งกว่า!
ก่อนหน้านี้ไปต่อกรกับนักโทษคละถิ่นหลายครั้ง ก็ได้สังหารทั้งสามตนตามลำดับ ทำให้เหล่านักโทษคละถิ่นในโลกทิพย์ต่างก็รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของ ‘จ้าวหิมะเหิน’ บัดนี้ ต่อให้นักโทษคละถิ่นเหล่านี้พบกับความเจ็บปวดจนต้องออกจากรัง ก็มิกล้าจากไปไกลนัก พวกมันยินดีทนรับความทุกข์ทรมานหาใดเปรียบแล้วข่มกลั้นเอาไว้เสียดีกว่า! เรื่องนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารได้ยากขึ้นมากทีเดียว
“โอกาสที่หยวนมอบให้ สามารถมุ่งหน้าไปยังโลกได้สามแห่ง”
“ได้ประสบการณ์ในโลกอสนีบาตและได้บำเพ็ญในโลกทิพย์แล้ว ยังเหลือโลกสุดท้ายอีกแห่งหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สนใจใคร่รู้ต่อโลกใบนี้มาก ในโลกทิพมีร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นรวมตัวกันอยู่มากมายถึงเพียงนี้! ทั้งยังมีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูงหลายสิบตนถูกจองจำอยู่ที่นี่ โลกใบที่สามจะเป็นเช่นไรหนอ
ตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้ โลกทั้งสามใบ ควรจะค่อยๆ เข้าไปจึงจะถูกต้อง
“บัดนี้พลังของข้าจะยกระดับขึ้นไปอีกก็ยากเสียยิ่งกว่ายาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบถอนหายใจ
ช่วยไม่ได้
วิถีเขตลวงโลกเทียมห่างจากขั้นสุดยอดเพียงเส้นบางๆ เท่านั้น ความหวังในการบรรลุยังคงมากอยู่ดี
วิถีอากาศบรรลุถึงระดับร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว อยากจะบรรลุน่ะหรือ ความหวังในการบรรลุตามปกติริบหรี่มาก มีเพียงความคิดเพ้อฝันที่ ‘กายหยาบและวิญญาณจะผสานกัน’ เท่านั้น ที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรอคอยวิถีเขตลวงโลกเทียมบรรลุถึงขั้นสุดยอด รอคอยเวลาที่กายหยาบและวิญญาณจะผสานซึ่งกันและกัน…
……………………