Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 61.3 เจ้าดินแดน (ตอนอวสาน 1) (3)
“เร็วเข้า ยังต้องเร็วอีกหน่อย”
เมื่อมองเห็นว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายยิ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ สายโซ่อากาศก็ไม่สามารถห่อหุ้มศิลาเอาไว้ได้แล้ว ความเร็วของศิลายิ่งเพิ่มขึ้น เขาก็ถอนหายใจ
“หลบหลีกในอากาศ…ควรต้องเป็นเช่นนี้สิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เชี่ยวชาญเคล็ดการหลบหลีกศาสตร์หนึ่งอย่างรวดเร็ว เดิมทีสิ่งที่เขาตระหนักรู้ก็คือ ‘การผสานรวมของวิถีอากาศและวิถีเขตลวงโลกเทียม’ ย่อมเชี่ยวชาญทางด้านการหลบหลีกในอากาศอยู่แล้ว ขณะนี้นึกอยากจะไล่ตามศัตรู ก็สำเร็จเคล็ดการหลบหลีกอันร้ายกาจอย่างรวดเร็ว ความเร็วยังเหนือกว่าศิลาอยู่มากพอสมควร!
ศิลาเพิ่งถอนหายใจ แต่มองเห็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่อยู่ด้านหลังไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว
ระยะทางหดสั้นลงอย่างต่อเนื่อง เขาก็ตกอกตกใจ “เคล็ดการหลบหลีกของเขาก็ยกระดับขึ้นแล้วเช่นกันหรือนี่”
เมื่อระยะทางหดเล็กลงถึงในอาณาเขตที่แน่นอนอันหนึ่ง อาณาเขตปิดผนึกก็ห่อหุ้มอีกครั้ง เขตลวงโลกเทียมก็ห่อหุ้มเข้ามาอีกครั้งเช่นกัน
“ท่านบรรพชน!”
“ท่านบรรพชน! พลังยุทธ์ของคนที่ชื่อจ้าวหิมะเหินผู้นี้น่าหวาดหวั่นเกินไป เขาเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาวิญญาณ สามารถส่งผลกระทบต่อพลังยุทธ์ส่วนใหญ่ของข้าได้ ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์ทางด้านอื่นๆ จะเทียบเคียงกับข้า แต่ข้าสามารถแสดงพลังยุทธ์ได้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น ย่อมหนีไม่พ้นอยู่แล้ว นอกจากนี้เขายังเป็นคละถิ่นระดับโลกากำเนิดใหม่ ยกระดับมาถึงขั้นนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น น่าหวาดหวั่นเหลือเกิน จะต้องกำจัดทิ้งโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” ศิลาขอความช่วยเหลือ
เขาจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ
ตอนนี้เขาหนีไม่พ้น ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชาคุ้มกันชีพจะสามารถต้านทานได้ แต่เวลาเนิ่นนานไปแล้วก็ยังสามารถเป็นภัยขึ้นมาได้อยู่ดี
……
สิ่งมีชีวิตรูปทรงกลมขนาดมหึมาตนหนึ่ง
เขาเป็นทรงกลมเพียงอย่างเดียวล้วนๆ ถึงแม้ว่าจะขยายใหญ่เป็นล้านล้านเท่า แม้ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาของผู้แกร่งกล้าคละถิ่นสอดแนม ภายนอกของสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมานี้ก็เป็นทรงกลมอันสมบูรณ์แบบอยู่ดี! เขาก็คือหนึ่งในบรรพชนในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดที่มีชื่อว่า ‘ปฐมกำเนิด’ พูดถึงพลังรบของบรรพชนปฐมกำเนิดในบรรดาท่านบรรพชนก็จัดอยู่ในขั้นกลางค่อนไปทางล่าง แน่นอนว่านี่คือการเปรียบเทียบกับเหล่าบรรพชน
แต่พูดถึงเคล็ดวิชาป้องกันนั้นกลับเป็นที่หนึ่ง
เจ้าดินแดนหลายท่านอย่างเจ้าเมืองหลัวเคยล้อมโจมตีเขาคนเดียวก็เพียงแค่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น การดำรงอยู่ของร่างกายเขา ตัวเขาเองก็เป็นตัวแทนของขั้นสุดยอดของวิถีป้องกันแล้ว
“หืม จ้าวหิมะเหิน เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาวิญญาณ คละถิ่นระดับโลกากำเนิดใหม่ก็มีพลังยุทธ์ช่วงท้ายแล้วอย่างนั้นหรือ นับได้ว่าเคล็ดวิชาวิญญาณก็คุกคามถึงชีวิตศิลาได้แล้วกระมัง” ปฐมกำเนิดเอ่ยพึมพำ
“เคล็ดวิชาวิญญาณสามารถมีพลังคุกคามเช่นนั้นได้ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
“กำเนิดใหม่ก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ก็มีแต่สั่งสมมาอย่างหนาแน่นเหลือเกินเท่านั้น หลังจากบรรลุแล้วการสั่งสมในอดีตก็แปรเปลี่ยนเป็นพลังยุทธ์อย่างรวดเร็ว” วิสัยทัศน์ของปฐมกำเนิดก็กว้างไกลเป็นอย่างมากแล้ว
เขารู้ดีว่ามีผู้บำเพ็ญครึ่งคละถิ่นจำนวนหนึ่งที่สั่งสมมาอย่างลึกล้ำยิ่ง อย่างเช่น ‘ใบเมฆาวายุ’ ก็นับว่าสั่งสมมาอย่างลึกล้ำแล้ว แต่มิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัดก็มีบางคนที่สั่งสมอย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าใบเมฆาวายุเสียอีก! ถึงขนาดที่หยั่งรู้วิถีมากมาย ต้องรู้ไว้ว่าแหล่งต้นกำเนิดโลกของโลกกำเนิด วิถีที่แฝงอยู่… เพียงแค่สามารถตรารอยประทับได้เกินครึ่ง ก็สามารถที่จะหลอมแปรโลกกำเนิดแห่งหนึ่งได้แล้ว
ก็มีผู้แกร่งกล้าเช่นนี้ ในที่สุดก็หลอมแปรแหล่งต้นกำเนิดโลก สำเร็จเป็นคละถิ่นระดับโลกา!
เพราะว่าหยั่งรู้วิถีมากเกินไป สั่งสมอย่างลึกซึ้งเกินไป ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่กำเนิดใหม่ แต่กลับสามารถขุดค้นพลังร่างกายของตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ยกระดับไปถึงคละถิ่นระดับโลกาช่วงท้ายอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาระยะหนึ่งก็ไปถึงขั้นสมบูรณ์ หรือแม้กระทั่งสำเร็จเป็นเจ้าดินแดนในอนาคตได้!
ตัวอย่างที่คล้ายคลึงกันก็อย่างเช่น ’หยวน’
หยวนก็เป็นเช่นนี้ เขาเองก็สำเร็จวิถีมากมายเหลือเกิน ถึงขนาดที่หลังจากสำเร็จเป็นเจ้าดินแดนแล้วก็สามารถสร้างโลกกำเนิดแห่งหนึ่งออกมาได้! นี่เป็นสิ่งที่ ’หยวน’ เพียงคนเดียวเท่านั้นสามารถทำได้ในบรรดาเจ้าดินแดนแปดท่าน
ส่งสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอตนหนึ่งไปยังโลกกำเนิดอีกแห่งหนึ่งแล้วกลับชาติมาเกิดได้! เป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งนัก ผู้ที่เชี่ยวชาญที่สุดก็คือ ’หยวน’ เช่นเดียวกัน
“เป็นผู้ที่สั่งสมมาอย่างลึกซึ้งอีกคนหนึ่งแล้วหรือไร” ปฐมกำเนิดเอ่ยพึมพำ “ดูท่าทางจะต้องเตรียมตัวให้ดีๆ เสียแล้วสิ คิดหาวิธีกำจัดเขาเสีย”
การผลาญสังหารคละถิ่นระดับโลกานั้นยากเย็นยิ่งนัก
สังหารร่างแยกพลังรบหลัก! ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นระดับโลกาก็สามารถหลอมร่างแยกพลังรบหลักออกมาได้อีกอย่างรวดเร็ว มีเพียงการทำลายโลกกำเนิดที่มั่นทิ้ง ทำลายรากไปเสียเท่านั้น จึงจะสามารถอาศัยการเชื่อมต่อวิญญาณผลาญสังหารร่างแยกที่มีอยู่ทั้งหมดได้ในทันที!
“ทำลายโลกกำเนิดของเขาทิ้งเสีย” ปฐมกำเนิดคิดใคร่ครวญ
นี่จะต้องเตรียมการให้ดีๆ เสียแล้ว
หนึ่งต่อหนึ่ง ภายในโลกกำเนิดก็สามารถเทียบเคียงได้กับเจ้าดินแดนเลยทีเดียว
การจะทำลายล้างโลกกำเนิดแห่งนั้นจำเป็นจะต้องโจมตีหมู่ ให้บรรพชนกลุ่มหนึ่งร่วมมือกัน!
“เจ้าดินแดนแปดท่านของผู้บำเพ็ญกำลังตรวจตรารอบด้าน พวกเราต้องตบตาพวกเขา ทำการลอบโจมตี” ปฐมกำเนิดเอ่ยพึมพำ “ต้องวางแผนเป็นอย่างดี หรือแม้กระทั่งต้องกระตุ้นการต่อสู้ขนาดใหญ่โดยมีเจตนาทำให้การมองเห็นสับสน”
อย่างเช่นคราวนี้ถึงแม้ว่าจะกระตุ้นการป้องกันขนาดใหญ่
แต่เจ้าดินแดนแปดท่านและเหล่าบรรพชนจำนวนมากก็มิได้เข้าร่วมการต่อสู้ เพียงแต่ตรวจสอบซึ่งกันและกันเท่านั้น ระดับอย่างเช่นพวกเขานี้ไม่ลงมือโดยง่ายอยู่แล้ว
“ฝูเสิน พวกเจ้าสามคนไปช่วยเหลือศิลาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” ปฐมกำเนิดถ่ายทอดคำสั่งไปในทันที ให้ลูกน้องอีกสามคนที่กำลังอยู่ระหว่างทางไปถึงให้เร็วที่สุด
……
นักพรตฉื้อเฟิงดูอยู่ห่างๆ ที่ด้านนอกโลกทิพย์แห่งการบำเพ็ญด้วยความงงงันอยู่บ้าง
‘เทียนหลางเค่อ’ ที่กำลังเดินทางมาช่วยเหลือมองดูกระบวนการต่อสู้อยู่ห่างๆ มาโดยตลอดก็งงงันเช่นเดียวกัน
“จ้าวหิมะเหินผู้นี้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
“เพิ่งเริ่มต้นก็ถูกผลาญสังหารอย่างรวดเร็วเสียแล้ว ร่างกายเปราะบางเสียจนเกิดความวุ่นวาย แต่หลังจากนั้นก็มีร่างแยกพลังรบหลักอีกร่างหนึ่งปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว ตอนแรกก็พัวพันกับ ‘ศิลา’ ต่อมาก็ต่อสู้อย่างสูสี ทั้งยังทำเอา ‘ศิลา’ ผู้นั้นตกใจจนเริ่มหนีไป แม้กระทั่งหลบหนีก็ยังล้มเหลว ‘ศิลา’ ถูกพัวพันโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว ตอนนี้ยังตกเป็นรองโดยสิ้นเชิงอีกต่างหาก”
“นี่ นี่มัน…”
“พลังยุทธ์ของเขา เกรงว่าคงจะเทียบเคียงกับข้าแล้วกระมัง” เทียนหลางเค่อตื่นตระหนก
เขามองออก
ดูจากพลังคุกคามของเคล็ดวิชาการโจมตีของจ้าวหิมะเหิน เพียงแค่ทำให้ ‘ศิลา’ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น พูดถึงพลังคุกคามก็คงจะสู้เขา เทียนหลางเค่อ มิได้หรอก!
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พลังยุทธ์ที่ ‘ศิลา’ แสดงออกมานั้นกลับอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง พลังยุทธ์ทุกด้านลดลงอย่างมหาศาล
“หืม” เทียนหลางเค่อสะดุ้งคราหนึ่งในทันใดพร้อมกับเบิกตากว้างอย่างยากที่จะเชื่อสายตาได้
……
ศิลาจะหนีก็หนีไม่พ้น ได้แต่ฝืนต้านทานเอาไว้
แต่ทันใดนั้นมือขวาของตงป๋อเสวี่ยอิงก็หมุนควงทิ่มแทงออกมา ปลายนิ้วมือราวกับปลายหอก พลังพุ่งกระฉูดอย่างฉับพลัน โครม… แขนหมุนควงทิ่มแทงเข้ามา บริเวณโดยรอบก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนวงแล้ววงเล่า บริเวณรอบนอกของน้ำวนก็มีพลังคละถิ่นที่บิดเบี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ด้วย ศิลาได้รับผลกระทบของ ‘โลกลวง และ ’‘อาณาเขตปิดผนึก’ ก็ย่อมไม่สามารถต้านทานกระบวนท่านี้เอาไว้ได้อยู่แล้ว ทำให้มือขวาของตงป๋อเสวี่ยอิงแทงทะลุเข้ามาในทรวงอกของศิลา
ฉึก ทิ่มแทงตรงทะลุเกราะ กล้ามเนื้อและสิ่งกีดขวางต่างๆ ร่างกายขนาดมหึมาราวกับโลกกำเนิดขนาดเล็กจิ๋วนั้นของ ‘ศิลา’ ก็ถูกทิ่มแทงเข้าไปเป็นส่วนใหญ่
ดวงตาของศิลาจับจ้องจนแทบถลน “นี่ นี่มัน…”
ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถสำแดงเคล็ดวิชาป้องกันได้
แต่ร่างกายของเขาและเคล็ดวิชาลับคุ้มร่างแข็งแกร่งเป็นที่สุด การจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บเช่นนี้ได้ ต้องเป็นพลังคุกคามคละถิ่นระดับโลกาขั้นสมบูรณ์! ถ้าหากรยางค์หกเส้นของเขาสามารถสำแดงเคล็ดวิชาป้องกันได้อย่างสุดความสามารถ อย่างมากที่สุดเคล็ดวิชาพลังคุกคามเช่นนี้ก็ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ตอนนี้ป้องกันไม่ไหว ตนเองกลายเป็นเป้าหมายโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว
“เขาน่ากลัวยิ่งนัก น่ากลัวกว่าคละถิ่นระดับโลกาขั้นสมบูรณ์เป็นอย่างมากเลยทีเดียว” ศิลาตื่นกลัวเป็นอย่างยิ่ง
“ฉึก ฉึก”
ร่างกายเลือนราง แล้วท่อนแขนก็ทิ่มแทงอย่างต่อเนื่องสองครั้ง ทุกครั้งล้วนยึดติดกับแก่นชีวิตแก่นนั้นเอาไว้อย่างสุดกำลัง
ถึงแม้ว่าศิลาจะปกป้องแก่นชีวิตภายในร่างกายเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังถูกปลายนิ้วมือของตงป๋อเสวี่ยอิงทิ่มแทงเข้าไปในท้ายที่สุดอยู่ดี! ทิ่มแทงเข้าไปบนแก่นชีวิตในร่างกาย หลังจากที่แก่นชีวิตแตกกระจายเสียงดัง ‘เปรี๊ยะ’ นัยน์ตาสีเหลืองหม่นของศิลาจ้องจนแทบถลน กลิ่นอายก็เริ่มสูญสลาย
รวดเร็วเกินไปแล้ว
ทิ่มแทงต่อเนื่องทั้งสิ้นสามครั้ง รวดเร็วราวกับสายฟ้า ศิลาจบชีวิตลงไปเรียบร้อยแล้ว ในวินาทีแห่งความตายนั้นศิลาหวาดหวั่นไปทั้งหัวใจ ถึงขนาดที่เข้าใจว่า… พลังรบคละถิ่นระดับโลกาขั้นสมบูรณ์ผสานรวมกับเคล็ดวิชาวิญญาณ ก็เหนือกว่าคละถิ่นระดับโลกาขั้นสมบูรณ์คนหนึ่งคนใดที่เขาเคยพบเจอมาแล้ว
ศิลาถึงกับส่งสารกลับไปรายงานไม่ทัน เขาก็ต้องตายไปเสียแล้ว
“ไม่มีหอกยาว ก็ได้แต่ใช้มือทิ่มแทงไปเท่านั้น หอกยาวได้ถูกทิ้งไปเพราะความประมาทก่อนหน้านี้แล้ว ช่างน่าละอายเสียจริง โชคดีที่ร่างกายระดับนี้แข็งแกร่งพอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงค่อยดึงแขนออกมาจากบริเวณท้องของศัตรู รอยเลือดที่เปรอะเปื้อนบนแขนหายวับไปจนหมดสิ้น เขาอดที่จะขมวดคิ้วน้อยๆ มิได้ ถึงแม้ว่าหอกยาวที่ตนหลอมขึ้นนั้นจะธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง มีผลกระทบต่อพลังยุทธ์เพียงน้อยนิดยิ่งนัก
แต่อย่างน้อยการใช้มือทิ่มแทงเข้าไปภายในร่างกายของศัตรูก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังต้องขมวดคิ้วอยู่บ้าง
เขาโบกมือคราหนึ่งก็เก็บเอาสมบัติล้ำค่าทั้งหมดที่ ‘ศิลา’ เหลือทิ้งเอาไว้ขึ้นมาไว้ในมือแล้ว
ศิลาก็มีคลังสมบัติล้ำค่าอยู่ มีของแปลกประหลาดมากมาย ทั้งยังมีหอกยาวเล่มนั้นของตนอยู่ด้วย
“ได้หอกยาวมาไว้ในมือแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบหอกยาวสีดำเล่มนี้ขึ้นมา จากนั้นก็เก็บซากของ ‘ศิลา’ เข้าไปไว้ภายในคลังสมบัติล้ำค่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนรอคอยอย่างเงียบๆ อยู่กลางห้วงมิติคละถิ่นแห่งนี้
อ้างอิงจากสิ่งที่เจ้าเมืองหลัวพูด คือมีศัตรูเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และมิใช่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
“หนึ่งชั่วยามแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจปั่นป่วน ตั้งแต่ตนเองสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็ผ่านมาหนึ่งชั่วยามได้แล้ว การผสานรวมของวิถีอากาศและวิถีเขตลวงโลกเทียมก็มากพอสมควรแล้ว ตนเองสั่งสมมาอย่างลึกซึ้งเหลือเกิน วิชาหอกที่ท่อนแขนสำแดงเมื่อครู่นั้นก็เป็นพลังคุกคามคละถิ่นระดับโลกาขั้นสมบูรณ์แล้ว และตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตรวจดูร่างกายของตนเอง ก็ย่อมตระหนักรู้เคล็ดลับใหม่ๆ ศาสตร์แล้วศาสตร์เล่าเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ดูเหมือนว่าเคล็ดลับที่ตระหนักรู้ใหม่จะเป็นชคละถิ่นระดับโลกาขั้นสมบูรณ์ทั้งสิ้น ร่างกายของเขาก็อยู่ระหว่างการเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
เห็นได้ชัดว่าสั่งสมมาถึงขั้นนี้แล้ว การตระหนักรู้เคล็ดวิชาคละถิ่นระดับโลกาก็ง่ายดายราวกับดื่มน้ำอย่างไรอย่างนั้น
“ยังมีอีกหนึ่งชั่วยามที่จะไปถึงระดับเจ้าดินแดน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งหน้าตั้งตารอคอยเป็นอย่างยิ่ง
พรึ่บ
นักพรตฉื้อเฟิงกลายเป็นเส้นสายสีแดงโลหิตสายหนึ่งหลบหนีเข้ามาแล้วเอ่ยอย่างตื่นตระหนกว่า “จ้าวหิมะเหิน เจ้าสังหาร ‘ศิลา’ แล้วอย่างนั้นหรือ”
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น เทียนหลางเค่อที่มาถึงแล้วในขณะนี้ก็ตื่นตระหนกหาใดเปรียบเช่นเดียวกัน
……………………