Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 62.3 เจ้าดินแดน (ตอนอวสาน 2) (3)
ที่แห่งนี้คือสถานที่อันพิเศษอย่างยิ่งของมิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัด ที่นี่มีผืนดินแห่งหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมา เมื่อเทียบกับโลกภายนอกแล้ว เวลาของที่นี่นั้นหยุดนิ่งตลอดกาล อีกทั้งระดับความมั่นคงของอากาศที่นี่ก็แข็งแกร่งเป็นที่สุด เม็ดดินเพียงเม็ดหนึ่งของที่นี่…สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูงรู้สึกว่ายากจะทนรับได้ หากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาเหยียบย่างเข้ามาที่นี่ ก็จะถูกแรงดึงดูดกดดันจนกลายเป็นผุยผง
มีเพียงระดับเจ้าดินแดนเท่านั้นที่จะสามารถยืนอยู่ที่นี่ได้
บนดินแดนผืนนี้มีโต๊ะกลมอยู่โต๊ะหนึ่ง รอบโต๊ะกลมมีที่บัลลังก์อยู่สามสิบสองแท่นด้วยกัน บัดนี้บนบัลลังก์ห้าแท่นมีสิ่งมีชีวิตนั่งประจำที่แล้ว พวกเขาแต่ละคนมีรูปร่างแตกต่างกันไป สภาพก็แตกต่างกันอยู่บ้าง
“หืม”
ทั้งห้าคนต่างพากันมองไปยังทิศหนึ่งพร้อมกันทันที
พวกเขาสัมผัสได้ว่าที่นั้นมีสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งและแข็งแกร่งเช่นเดียวกันถือกำเนิดขึ้นมา
“สิ่งมีชีวิตในโลกกำเนิดมีเจ้าดินแดนถือกำเนิดขึ้นมาอีกท่านหนึ่งแล้วหรือ เห็นทีนิรันดร์สถานของพวกเราคงจะต้องเพิ่มที่นั่งอีกที่หนึ่งแล้ว” สิ่งมีชีวิตสวมเกราะรบสีขาวตนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น การดำรงอยู่ของเขาได้แผ่รัศมีแห่งการทำลายล้างอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา
“ผู้ที่บำเพ็ญขึ้นมาจากชั้นปลายแถวที่อ่อนแอที่สุดจนบรรลุเป็นเจ้าดินแดนได้ในที่สุดพวกนี้ ล้วนแต่เข้าถึงแก่นแท้ของพละกำลังทั้งสิ้น ข้าเกิดมาก็มีพลังรบระดับยอดสุดแล้ว แต่ให้อย่างไรก็มิอาจเข้าถึงแก่นแท้ของพละกำลังได้” ลูกบาศก์อันน่าพิศวงอันหนึ่งที่อยู่บนบัลลังก์เปล่งเสียงออกมา เสียงนั้นสะท้อนก้องไปรอบด้าน
“ตอนแรกสุดผู้บำเพ็ญมีแค่ ’หยวน’ เพียงคนเดียวเท่านั้น บัดนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ที่นั่งของพวกเราตรงนี้ก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ข้ารู้สึกว่าพวกเขามีภัยคุกคามมากขึ้นทุกทีแล้ว ต้องทำให้พวกเขาอ่อนกำลังลงบ้าง!” งูใหญ่ตัวหนึ่งนั่งอยู่บนที่นั่ง ร่างกายคดเคี้ยวของเขารายล้อมรอบด้าน
“อสรพิษไร้ขีดจำกัด เผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดของพวกเจ้ามีจำนวนนับไม่ถ้วน ระดับบรรพชนก็มีมากกว่าร้อย เมื่อวันคืนผ่านพ้นไปก็ยังถือกำเนิดขึ้นมาใหม่อีก เจ้ายังรู้สึกว่าต้องทำให้ผู้บำเพ็ญเหล่านั้นอ่อนกำลังลงอีกหรือ ผู้ที่นับได้ว่าถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ในหมู่พวกเขา ก็มีเพียงเก้าคนเท่านั้นเอง”
ลูกบาศก์อันน่าพิศวงนั้นกล่าว
“เผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดของพวกเราที่สามารถครองที่นั่งที่นี่ได้ ก็มีเพียงห้าที่เท่านั้น” งูใหญ่พูดอย่างไม่พอใจ
การได้รับการยอมรับจากสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นแห่งนิรันดร์สถานกลุ่มนี้นั้นไม่ง่ายเลย
ท่านบรรพชนของบรรดาเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด มีเพียงห้าท่านเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับ ทั้งห้าท่านนี้…ล้วนแต่ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าไม่สลาย ไม่ตายแล้ว ล้วนแต่มีสายโลหิตที่พิเศษมาก จนมิอาจสังหารให้ตายได้ไปตลอดกาล
ส่วนเจ้าดินแดนในหมู่ผู้บำเพ็ญนั้นไม่จำเป็นต้องรับรองอีก เมื่อมีถือกำเนิดขึ้นมาท่านหนึ่ง ก็จะถูกเชิญให้เป็นสมาชิกคนหนึ่งของนิรันดร์สถานทันที
……
โลกใบแรกที่ถือกำเนิดขึ้นมาในมิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัด
นี่คือโลกที่พิเศษมากแห่งหนึ่ง
ภายในโลกใบนี้ กลางอากาศมีก้อนเมฆมากมาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วแต่ละก้อนก็คือโลกกำเนิดใบหนึ่งของโลกภายนอก
บนพื้นกลับเป็นผืนดินสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด
ภายในผืนดินสีดำ มีสัตว์ประหลาดซึ่งมีหัวเป็นงูตัวหนึ่งค่อยๆ โผล่หัวออกมามันเลื้อยอยู่กลางอากาศด้วยท่าทางแสนสบาย
“หืม” ทันใดนั้น บนผืนดินสีดำอันไร้ที่สิ้นสุดก็มีสัตว์ประหลาดรูปร่างเป็นงูมากมายโผล่ออกมา พวกมันพากันแหงนหน้ามองท้องฟ้า ตำแหน่งของห้วงมิติคละถิ่นที่ตรงกับท้องฟ้าบริเวณนั้น…ก็คือตำแหน่งของตงป๋อเสวี่ยอิง ที่นั่นมีอากาศอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งปรากฏขึ้นมา
“ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอพวกนั้นมีเจ้าดินแดนเกิดขึ้นมาอีกคนแล้วหรือนี่”
“คิดจะกลืนกินโลกกำเนิดก็ยากขึ้นทุกทีๆ แล้ว ครั้งก่อนเจ้าสิบสามลอบกลืนกินโลกกำเนิดแห่งหนึ่่งอย่างเงียบๆ ก็มีร่างแยกของเจ้าดินแดนผู้หนึ่งรักษาการณ์อยู่ที่นั่น ในที่สุดก็มีเจ้าดินแดนสามคนบุกมา พละกำลังแผ่มาถึงตรงที่พวกเราอยู่เลยทีเดียว และสังหารเจ้าสิบสามได้ในที่สุด”
“นึกถึงวันวานจริงๆ เลย ตอนนั้นคิดจะกินก็กิน ไม่มีเจ้าดินแดนเลยสักคนเดียว ผ่านไปแล้วก็ไม่มีหวนคืนเลย”
“นอนเถิดๆ”
สัตว์ประหลาดรูปร่างงูตัวแล้วตัวเล่าหดกลับไปยังส่วนลึกใต้ดิน
สัตว์ประหลาดรูปร่างงูที่อยู่กลางอากาศตัวนั้นยังคงค่อยๆ เคลื่อนไป เลื้อยไปตามที่ต่างๆ อย่างเชื่องช้า
******
หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุแล้วก็สัมผัสถึงสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งอื่นๆ รอบด้านได้ทันที
สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกันนั้น
ก่อนอื่นเขาสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตแปดตนที่มีกลิ่นอายคล้ายคลึงกันกับตน พวกเขากระจายตัวกันอยู่ตามที่ต่างๆ แต่ละคนล้วนมีพละกำลังที่แตกต่างกัน บ้างดุจประกายมีดคมกริบที่ไม่มีสิ่งใดขัดขวางได้ บ้างก็ดุจค่ายทำลายล้างสังหารที่แผ่คลุมทั่วทุกหนแห่ง บ้างก็มีพลานุภาพถึงขีดสุดเก็บงำไว้ภายในแต่กลับมิให้ผู้ใดหวาดหวั่นใจจากแก่นชีวิต…แปดท่านนี้ แต่ละคนล้วนไม่แพ้เขาเลย ล้วนแต่มีพลังระดับเดียวกับเขาทั้งสิ้น
“เจ้าดินแดนทั้งแปดท่าน” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจดี
“ตงป๋อเสวี่ยอิง ยินดีด้วยนะ”
“พวกเรามีสหายร่วมวิถีเพิ่มขึ้นอีกคนแล้ว ต้องฉลอง ต้องฉลอง”
“ได้ยินมาว่าเจ้าไม่ชอบฝูงมารผลาญทำลายหรือ แต่ข้าเป็นฝูงมารผลาญทำลายนะ ฮ่าฮ่า…”
แปดท่านนี้ต่างแสดงความยินดี
แม้เจ้าดินแดนที่มาจากฝูงมารผลาญทำลายผู้นั้นจะท้าทายเขาอยู่บ้าง แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังสัมผัสได้ว่าวาจาของฝ่ายตรงข้ามแฝงไว้ด้วย ‘ความยินดี’ ในสายตาของเจ้าดินแดนฝูงมารผลาญทำลายผู้นั้น
ต่อให้ฝูงมารผลาญทำลายที่อ่อนแอพวกนั้นตายด้วยน้ำมือเขามากกว่านี้ เขาก็ไม่สนใจ ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าดินแดนกำเนิดใหม่ผู้นี้ต่างหาก จึงจะเป็นสหายที่แท้จริงของเขานับจากนี้ไป
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นคนอื่นๆ ทีละคนอย่างสำรวจตรวจตรา
บนแดนดินอันน่าพิศวงแห่งหนึ่ง อานุภาพที่แฝงอยู่ในดินแดนนั้นทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงประหวั่นใจ ชั่วขณะที่ได้เห็นที่นั่น…การเคลื่อนของเวลารอบๆ หยุดชะงักอย่างสิ้นเชิง จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงมองเห็นโต๊ะกลมตัวหนึ่งและที่นั่งสามสิบสองที่วางอยู่รอบๆ บนที่นั่งสามสิบสองที่นั้นมีอยู่ห้าที่ที่มีผู้แกร่งกล้านั่งอยู่
ในจำนวนนั้น สายตาของงูใหญ่ตนหนึ่งที่มองมายังตนออกจะไม่สู้ดีอยู่บ้าง
ส่วนอีกสี่ท่านที่เหลือ ท่านหนึ่งยินดีเป็นอย่างมาก ยังมีอีกท่านหนึ่งที่แสดงความปรารถนาดีออกมา ส่วนสองคนสุดท้ายเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น
“สิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นเหล่านี้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้แล้ว
มิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัด ลำพังแค่ตนสามารถสัมผัสได้ว่าสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นมีแค่สองร้อยกว่าคนเท่านั้น! แน่นอนว่ากว่าครึ่งในจำนวนนั้นเป็นเหล่าบรรพชนจากเผ่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด เผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดนี้มีข้อได้เปรียบทางด้านจำนวนเป็นอย่างมากโดยแท้
“ยังต้องมีอีกจำนวนหนึ่งที่ข้ารับสัมผัสไม่ได้เป็นแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “นอกจากนี้ ข้ามักจะรู้สึกว่ามิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัดนี้มีสถานที่ที่ไม่รู้จักอยู่อีกมากมาย”
สิ่งที่เขาเข้าถึงก็คือวิถีห้วงมิติคละถิ่น
ดังนั้นจึงได้พบสถานที่ที่ไม่รู้จักอย่างง่ายดายอยู่เนืองๆ ซึ่งสถานที่เหล่านั้นเขาล้วนมิอาจสอดส่องได้จากที่ไกลๆ ต้องไปที่นั่นด้วยตนเองจึงจะสามารถสำรวจได้
……
“ถอย”
“ถอยไปเดี๋ยวนี้ ถอยไปให้หมด”
การโจมตีของเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดก็หยุดลงแล้ว สิ่งมีชีวิตคละถิ่นตามที่ต่างๆ ล่าถอยไป
เหล่าบรรพชนเหล่านั้นเศร้าโศกเป็นอย่างยิ่ง
เดิมที พวกเขาเห็นดีเห็นงามในตัวเจ้าทะเลหุบเหวลึก ‘เฉิงหาว’ เป็นอย่างมาก รู้สึกว่าน่าจะมีหวังสำเร็จเป็นบรรพชนคนหนึ่งได้! แม้มีความหวังเพียงสายเดียว พวกเขาก็ยังพยายามช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง ไหนเลยจะไปคิดว่าสุดท้ายแล้วไม่เพียงแต่มิได้ช่วยเหลือเท่านั้น แต่กลับเห็นเจ้าดินแดนคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอในโลกกำเนิดต่อหน้าต่อตาอีก ทำให้พวกเขารู้สึกอดสูใจนัก
เจ้าดินแดนเชียวนะ! เจ้าดินแดนแต่ละคน ล้วนทำให้พวกเขากดดันเป็นอย่างมาก
พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ของตงป๋อเสวี่ยอิง และคิดไว้แล้วว่าจะวางแผน คิดหาวิธี ทำลายโลกกำเนิดของตงป๋อเสวี่ยอิง จากนั้นค่อยอาศัยวิญญาณรับสัมผัส สังหารร่างแยกทั้งหมดของตงป๋อเสวี่ยอิง
แต่ก็จนใจ…
แผนการยังไม่ทันได้กำหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการลงมือจริงเลย ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ก็บรรลุเสียแล้ว!
“คนที่ชื่อว่าจ้าวหิมะเหินผู้นี้ วันที่สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาก็สำเร็จเป็นเจ้าดินแดนแล้ว เหตุใดจึงบรรลุได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เล่า”
“ต่อให้โมโหกว่านี้แล้วอย่างไรเล่า เรื่องจริงก็เห็นอยู่ตรงหน้าแล้ว”
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่งแล้วเก็บสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาทั้งหกข้างกายลงไป พวกเขาล้วนถูกเขาผนึกเอาไว้อย่างสิ้นเชิง จนมิอาจสำแดงพลังออกมาได้แม้แต่น้อย ขยับเขยื้อนก็ไม่ได้สักนิด จากนั้นก็กลับไป
นักพรตฉื้อเฟิงและเทียนหลางเค่อที่อยู่ไม่ไกลออกไปนักรีบโค้งคำนับทันที “เจ้าดินแดน”
เทียนหลางเค่อยิ่งรู้สึกละอายใจ…ก่อนหน้านี้ตนเลือกที่จะหนี หากสามารถออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่เจ้าดินแดนได้ อีกทั้งนั่นยังเป็นศึกครั้งที่เจ้าดินแดนบรรลุอีกด้วย ในภายหน้าความสัมพันธ์ก็ย่อมแตกต่างออกไปอย่างแน่นอน!
“เหตุใดข้าจึงหนีไปเล่า อย่างมากก็แค่ร่างแยกพลังรบหลักร่างหนึ่งกับอาวุธเท่านั้นเองมิใช่หรือไร” เทียนหลางเค่อลอบหงุดหงิด
“พวกเจ้าสองคนกลับไปเถิด ที่นี่คงไม่มีอันตรายแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ขอรับ” เทียนหลางเค่อและนักพรตฉื้อเฟิงโค้งคำนับด้วยความเคารพ จากนั้นก็สำแดงเคล็ดการเคลื่อนที่จากไปทันที
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลับไปยังโลกทิพย์แห่งการบำเพ็ญ
ร่างแยกพลังรบหลักร่างนี้พำนักอยู่ที่นี่ชั่วคราว! ถึงอย่างไรก็มีร่างแยกตั้งมากมาย ไม่จำเป็นต้องกลับไปหมด
……
ณ โลกกำเนิดบ้านเกิด
บัดนี้เหล่าเทพจักรวาลทั้งหลายภายในบ้านเกิดอลหม่านกันไปหมดแล้ว พวกเขาพบความเปลี่ยนแปลงของอากาศอันสับสนอลหม่าน เช่นอากาศอันสับสนอลหม่านหดเล็กลงเป็นอย่างมาก ระยะห่างระหว่างจักรวาลและจักรวาลก็หดเล็กลงเป็นอย่างมากเช่นกัน มิใช่เพียงไม่ขยายออกเท่านั้น แต่ยังหดเล็กลงด้วยหรือ นับจากนี้อันตรายที่โลกจะแตกสลายจากการขยายตัวที่มีแต่เดิมจะไม่มีอีกแล้วใช่หรือไม่
หรืออย่างเช่นทางเดินโลกาพิศวงสลายไปแล้ว! แล้ว ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ มารตัวฉกาจผู้นั้นเล่า
นอกจากนี้พวกเขายังเคยสร้างรอยประทับบน ‘วิถี’ ของแหล่งต้นกำเนิดโลกอีกด้วย บัดนี้กลับหายไปหมดแล้ว มิอาจสร้างรอยประทับได้อีกต่อไป
“ที่แท้แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“อันตรายที่โลกกำเนิดจะแตกสลาย อันตรธานไปเช่นนี้น่ะหรือ”
บรรพชนเทียนอวี๋ ราชันย์มีด บรรพชนทิพย์ เจ้าศิลา จอมกระบี่และคนอื่นๆ เต็มไปด้วยความฉงนสงสัย พวกเขาคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา…
โลกกำเนิดแห่งนี้มีผู้แกร่งกล้าคละถิ่นคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นแล้ว!
จะมีก็แต่เมื่อโลกกำเนิดมีเจ้าของแล้ว จึงจะสามารถกำจัดภัยจากการแตกสลายครั้งใหญ่ได้ อย่างจอมกระบี่ก็มีร่างแยกอยู่ในดินแดนจิตโลกา เขาก็รู้ว่าเมื่อโลกกำเนิดใบหนึ่งมีนาย…โลกกำเนิดแห่งนั้นก็จะเจริญรุ่งเรืองและคงสภาพยอดสุดได้ตลอดไป และไม่มีการแตกสลายครั้งใหญ่อีก
“เสวี่ยอิง เกิดเรื่องอันใดขึ้นน่ะ”
“เสวี่ยอิง เจ้าสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้วหรือ”
“เสวี่ยอิง นับแต่นี้ไปโลกกำเนิดของพวกเราจะไม่แตกสลายแล้วใช่หรือไม่”
ก่อนหน้านี้พวกเขาแต่ละคนพากันถ่ายเสียงมา
แต่ตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังทุ่มเทบำเพ็ญสุดกำลัง หมายจะสำเร็จเป็นเจ้าดินแดนให้ได้โดยเร็วที่สุด ดังนั้นจึงแค่รับคำง่ายๆ ว่า “ภัยจากการแตกสลายครั้งใหญ่สิ้นสุดแล้ว ส่วนรายละเอียด ข้าจะบอกให้ทุกท่านทราบในคืนนี้”
มาบัดนี้
“ในที่สุดก็บรรลุแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ใต้ศาลาภายในจวนของตนด้วยอารมณ์ดียิ่งนัก
“ตงป๋อเสวี่ยอิง คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะสำเร็จเป็นเจ้าดินแดนได้รวดเร็วถึงเพียงนี้” เจ้าเมืองหลัวปรากฏกายขึ้นที่ทุ่งหญ้าข้างๆ “ก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งจะแสดงความยินดีกับเจ้าที่บรรลุคละถิ่นระดับโลกาได้ นี่เพิ่งจะผ่านไป…ราวสองชั่วยามเองกระมัง เจ้าก็สำเร็จระดับเจ้าดินแดนเสียแล้ว จากระดับโลกา ไปถึงระดับเจ้าดินแดน เกรงว่าตลอดคืนวันอันยาวนานนับจากนี้ไป ก็คงไม่มีผู้ใดบรรลุได้รวดเร็วสู้เจ้าได้อีกแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ ใช่แล้ว สองชั่วยาม
“จริงสิ หยวนจะมาถึงที่นี่แล้ว ไปๆ รีบไปพบหยวนเร็วเข้า” เจ้าเมืองหลัวกล่าว
“หยวนหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็หันขวับไปมองทันที
เขามองห้วงมิติคละถิ่นอันเวิ้งว้างที่โลกภายนอกผ่านโลกกำเนิด เพียงแวบเดียวก็เห็นชายชราผู้หนึ่งซึ่งสวมอาภรณ์ลายพร้อยกำลังมาจากห้วงมิติคละถิ่น
“ไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบมุ่งหน้าไปต้อนรับพร้อมกับเจ้าเมืองหลัวทันที โดยมิกล้าปล่อยปละละเลยรออยู่ที่นี่! แม้จะกล่าวว่าทุกคนเป็นเจ้าดินแดนเหมือนกันหมด แต่ในบรรดาเจ้าดินแดนทั้งแปด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกซาบซึ้งต่อ ‘เจ้าเมืองหลัว’ และ ’หยวน’ เป็นอันมาก เพราะระหว่างเส้นทางการบำเพ็ญ พวกเขาทั้งสองเคยช่วยเหลือตนมาก่อน โดยเฉพาะหยวน!
ป้ายคำสั่งจิตโลกา เคล็ดวิชาเจ็ดกระบวนคละถิ่น และโอกาสในดินแดนจิตโลกาจากหยวน หรือแม้แต่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษมุ่งหน้าไปยังโลกอสนีบาตและโลกทิพย์แห่งการบำเพ็ญ…
เบื้องหลังล้วนแต่มีเงาของหยวนอยู่
ที่ตนสามารถมีวันนี้ได้ ก็ย่อมต้องซาบซึ้งต่อหยวนมากเป็นธรรมดา
“ฟิ้ว” “ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงและเจ้าเมืองหลัวเหินทะยานออกมาจากโลกกำเนิด ในห้วงมิติคละถิ่นอันเวิ้งว้าง เพียงไม่นานก็พบกับ ’หยวน’ เข้าแล้ว
…………