พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 1001 จับกุมนักโทษหลบหนี
น้ำทะเลที่หมุนขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูงตกลง กระทบกับผิวทะเลจนเกิดคลื่นโหมซัดสาด อิงอู๋ตี๋กับเลี่ยหวนลอยขึ้นฟ้า หูเฟย ชิงเฟิง โพ่คงยืนอยู่เหนือยอดคลื่น ราชาปีศาจทะเลครามโผล่ขึ้นมาจากก้นทะเล ขึ้นมาหาเหมียวอี้พร้อมคนอื่นๆ
เหมียวอี้เปลี่ยนใส่ชุดคลุมยาวแล้ว พอสะบัดแขนเสื้อ ก็พุ่งตัวเหาะนำขึ้นฟ้าไปไกล
พอกลับถึงตำหนักสวรรค์ อิงอู๋ตี๋ก็นำคนกลับเขตเมืองตะวันออก ส่วนเหมียวอี้มุ่งตรงไปที่ตำหนักคุ้มเมือง ไปรวมตัวกับพวกสวีถังหรานเพื่อรอเรียกเข้าพบ
ตอนที่ผู้บัญชาการทั้งสี่ทักทายปราศรัยกัน เหมียวอี้ก็ค้นพบอย่างตกตะลึงว่ามู่หรงซิงหัวยินดีเป็นฝ่ายมาทักทายเขาก่อน ไม่ทำท่าทางไม่แยแสเหมือนเขาติดหนี้นางอีก เขาคิดว่าคงเป็นเพราะต้องเขาร่วมการทดสอบแล้ว มู่หรงซิงหัวคงอยากสร้างความสามัคคีเหมือนกัน
ถึงแม้เมื่อก่อนผู้หญิงคนนี้จะเอาแต่ทำท่าทางเหมือนสุนัขไม่กินอุจจาระ แต่เหมียวอี้ก็ไม่อยากจะทำให้นางขุ่นเคืองใจเลยจริงๆ ก็อย่างที่เคยบอก คนที่สามารถเป็นผู้บัญชาการเขตของตำหนักสวรรค์ได้ อย่างน้อยก็ต้องคนหนุนหลังอยู่บ้าง อย่างเช่นเหมียวอี้กับสวีถังหรานที่มีโค่วเหวินหลานหนุนหลัง เหมียวอี้เองก็เคยได้ยินข่าวลือมาเหมือนกัน ว่ามู่หรงซิงหัวเป็นหญิงชู้ของหัวหน้าภาคคนหนึ่ง ส่วนหยางไท่ก็เหมือนจะเป็นลูกบุญธรรมของใครบางคน
ไม่รู้ว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริงหรือปลอม ถ้าเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นเหมียวอี้ก็ต้องหยามเหยียดมู่หรงซิงหัวแล้ว เป็นโสเภณีแท้ๆ แต่ยังยกยอตัวเองว่าเป็นหญิงพรหมจรรย์ มีสิทธิ์ออะไรมาดูถูกคนที่ชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้วอย่างเขาล่ะ?
ขณะที่กำลังคุยเล่นกันเรื่อยเปื่อย เล่าหนานซงซึ่งเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ก็เดินออกมาจากตำหนัก แล้วบอกกับทุกคนว่า “ผู้บัญชาการใหญ่มีคำสั่ง ว่าให้ผู้บัญชาการทั้งสี่ไปเจอกันในภูเขานอกเมืองทางทิศเหนือ”
เจอกันในภูเขานอกเมือง? หมายความว่ายังไง? ทั้งสี่มองหน้ากันเลิกลั่ก มู่หรงซิงหัวกุมหมัดถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เล่า เหตุใดผู้บัญชาการใหญ่จึงต้องเรียกพอในภูเขาขอรับ?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน นี่คือสิ่งที่ผู้บัญชาการใหญ่บอกเอาไว้ พวกเจ้าไปแล้วก็จะรู้เอง” เล่าหนานซงตอบอย่างใจเย็น
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสี่ก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่ง กล่าวอำลาแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
ออกจากประตูเมืองทิศเหนือ เหาะไปถึงบนฟ้าเหนือป่าภูเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ ทุกคนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ค้นหา ไม่นานก็เห็นคนคนหนึ่งเหาะออกมาจากป่าภูเขาแล้วกวักมือเรียกพวกเขา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นรองผู้บัญชาการใหญ่กงอวี่เฟย ทุกคนมุกเข้าไป จากนั้นก็ไปเหยียบลงในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง
ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้ทั้งสี่ตะลึงงัน โค่วเหวินหลานย่อมอยู่ในหุบเขาลึกนั่นด้วยอยู่แล้ว เพียงแต่ตรงหน้าโค่วเหวินหลานมีสัตว์ดุร้ายสี่ตัวนอนหมอบอยู่ แล้วเหมียวอี้ก็รู้จักมันด้วย
สัตว์ดุร้ายทั้งสี่ตัวดูเหมือนกิเลน ปากเหมือมังกร หัวเป็นสิงโต มีเกล็ดเหมือนปลา มีหางเป็นวัว มีกรงเล็บเป็นเสือ มีเขาเป็นกวาง ทั้งตัวเป็นสีแดงก่ำ หน้าตาเหมือนสัตว์พาหนะที่ไป๋จื่อเหลียงใช้ตอนการปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตรในปีนั้นไม่มีผิด เพียงแต่ขนาดตัวใหญ่กว่าหลายเท่า ทำให้ดูมีพลังอำนาจและดุร้ายยิ่งกว่าเดิม
ถ้าเหมียวอี้จำไม่ผิด สัตว์ประหลาดสี่ตัวนี้คงจะเป็นสัตว์พาหนะของปราชญ์ปีศาจจีฮวนที่ร่ำลือกัน เดรัจฉานสับปลับ!
สัตว์ปะหลาดสี่ตัวกำลังหมอบหลับลึกอยู่บนพื้น แต่ก็อาจจะไม่ได้กำลังหลับอยู่ก็ได้ สายตาของเหมียวอี้และผู้บัญชาการอีกสามคนไปหยุดอยู่ตรงหลังหัวของสัตว์ประหลาด ตรงนั้นเสียบวัตถุบางอย่างที่คล้ายกับตะปูเหล็กเอาไว้
โค่วเหวินหลานที่กำลังคีบผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกหันมาทักทายด้วยรอยยิ้ม “มากันหมแล้วเหรอ”
“คำนับผู้บัญชาการใหญ่!” ทั้งสี่ทำความเคารพ
“เก็บตัวฝึกตนได้ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง?” โค่วเหวินหลานมองเหมียวอี้พร้อมเอ่ยถาม
คนอื่นๆ หันมามองพร้อมกัน เหมียวอี้ยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “ไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจเท่าไรขอรับ”
โค่วเหวินหลานยิ้มบางๆ นี่ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย ถ้าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีแล้วสามารถฝึกจนมีความก้าวหน้ามาก เช่นนั้นคนอื่นๆ ก็ไม่ต้องทำงานทำการแล้ว เขากวาดสายตามองทุกคนพร้อมบอกว่า “เรื่องการทดสอบกำหนดให้จัดขึ้นหลังจากนี้สองเดือน ภายในสิบต้นฟ้า พวกเจ้าจะต้องไปรวมตัวกันที่จวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าชวดอี่ ถึงตอนนั้นจวนหัวหน้าภาคจะส่งพวกเจ้าไปยังสถานที่ที่กำหนดไว้”
ที่เรียกว่าน่านฟ้าชวดอี่ ก็หมายถึงน่านฟ้าของท้องฟ้าผืนนี้
น่านฟ้าของตำหนักสวรรค์แบ่งเป็นสิบต้นฟ้าและสิบสองกิ่งดิน
สิบต้นฟ้า : เจี่ย อี่ ปิ่ง ติง อู้ จี่ เกิง ซิน เหริน กุ่ย
สิบสองกิ่งดิน : ฉลู ขาล มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุน ชวด เถาะ
ทุกๆ ท้องฟ้าจะตั้งชื่อโดยการนำคำจากต้นฟ้ากิ่งดินมารวมกัน บางน่านฟ้าก็ใช้คำเดียว บางน่านฟ้าก็ใช้สองคำ บางน่านฟ้าก็ใช้สามคำหรือสี่คำก็มี ส่วนน่านฟ้าที่ตั้งของดาวเทียนหยวนก็ชื่อว่า ‘น่านฟ้าชวดอี่’ มีหัวหน้าภาคหนึ่งคนเป็นผู้ปกครอง
“ผู้บัญชาการใหญ่ ได้หัวข้อการทดสอบหรือยังขอรับ?” หยางไท่ถาม
เมื่อรู้ว่าพวกเขาสนใจเรื่องนี้มาก โค่วเหวินหลานจึงพยักหน้าตอบว่า “ได้หัวข้อแล้ว! เบื้องบนร่างชื่อนักโทษหลบหนีที่ทำผิดกฎสวรรค์จำนวนหนึ่งร้อยคน การทดสอบครั้งนี้ก็คือ ให้ผู้บัญชาการหนึ่งพันคนที่โดนสุ่มทดสอบไปจับกุมนักโทษหลบหนีพวกนี้มาลงโทษ จะได้ไม่มีคนเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งร้อยปี ใช้จำนวนการจับกุมหรือประหารนักโทษหลบหนีมากำหนดคะแนนการทดสอบ!”
ทุกคนค่อนข้างพูดไม่ออก คนที่กล้าฝ่าฝืนกฎสวรรค์ ล้วนเป็นคนประเภทไหนล่ะ? ส่วนใหญ่ต้องเป็นพวกเลวทรามต่ำช้าแน่นอน ถ้ามมีความสามารถ ใครจะกล้าทำผิดกฎสวรรค์ล่ะ? ให้พวกเขาไปจับกุมคนเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นการส่งพวกเขาให้ไปตายหรอกเหรอ? ไอ้เวรเซี่ยโห้วหลงเฉิงทำไมไม่รีบตายๆ ไปซะ!
“ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ทราบว่านักโทษหลบหนีพวกนั้นมีวรยุทธ์เป็นอย่างไร?” มู่หรงซิงหัวถาม
โค่วเหวินหลานตอบว่า “ข้ารู้ถึงความกังวลของพวกเจ้า พวกเจ้าวางใจได้ ตำหนักสวรรค์ไม่ออกหัวข้อทดสอบที่ทำให้พวกเจ้าหมดหนทางผ่านหรอก นักโทษหลบหนีหนึ่งร้อยคนนี้ล้วนถูกเลือกมาแล้ว วรยุทธ์ต่ำกว่าบงกชรุ้งทั้งหมด”
หรือพูดได้อีกอย่างว่า ส่วนใหญ่เป็นบงกชทองขั้นห้าหกเจ็ดแปดเก้า อาศัยวรยุทธ์ของคนที่อยู่ตรงนี้ จะสามารถจับได้หรือเปล่า?
มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้า ทั้งสองยังพอพูดง่ายหน่อย สวีถังหรานมีแค่บงกชทองขั้นสาม ส่วนเหมียวอี้น่าสงสารยิ่งกว่า มีแค่บงกชทองขั้นหนึ่ง สำหรับสองคนแรกที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นห้า ถ้าไม่เรียกการรวมกลุ่มแบบนี้ว่าตัวถ่วง แล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก?
เมื่อเห็นทุกคนเงียบไป โค่วเหวินหลานก็โบกมือ แหวนเก็บสมบัติสี่วงลอยมาอยู่ตรงหน้าทั้งสี่คน “ผู้บัญชาการคนนี้ย่อมไม่ให้พวกเจ้าเอาชีวิตไปทิ้งอยู่แล้ว เตรียมตัวให้พวกเจ้าล่วงหน้าแล้ว ลองดูเกราะรบข้างในสิ ดูว่าเหมาะหรือเปล่า!”
พอทั้งสี่หยิบแหวนเก็บสมบัติมาดู ก็ตาเป็นประกายทันที เรียกได้ว่ามีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเยอะมาก ในแหวนเก็บสมบัติแต่ละวงมีเกราะรบผลึกแดงขั้นห้าหนึ่งชุด พร้อมอาวุธผลึกแดงขั้นห้าหนึ่งชิ้น นอกจากนี้ยังมียาแก่นเซียนหนึ่งแสนเม็ด แล้วก็มีสมุนไพรเซียนซิงหัวสามต้นที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว
หมอกแดงสี่กลุ่มลอยออกมา ชั่วพริบตาเดียวทั้งสี่ก็สวมเกราะสีแดงสดสะดุดตาแล้ว ในมือเหมียวอี้ถือทวนสีแดงเข้มหนึ่งด้าม พอทั้งสี่ร่ายอิทธิฤทธิ์เล็กน้อย ทั้งตัวก็มีแสงสีทองเปล่งออกมาหนึ่งชั้น ทำให้ทั้งสี่แอบเดาะลิ้นด้วยความทึ่งไม่หยุด ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่มูลค่าของยาเจี๋ยตันขั้นห้าที่อยู่ในของพวกนี้ก็แพงลิ่วแล้ว โค่วเหวินหลานมอบของพวกนี้ให้พวกเขาสี่ชุดในรวดเดียว เรียกได้ว่าเป็นเงินก้อนใหญ่มากจริงๆ อีกฝ่ายยอมควักเนื้อโดยไม่เสียดาย แล้วทั้งสี่ยังมีอะไรจะพูดอีก?
ยังไม่หมดแค่นั้น โค่วเหวินหลานหันตัวมาชี้สัตว์ดุร้ายสี่ตัวที่อยู่ข้างหลัง “สัตว์เทพสี่ตัวนี้ชื่อว่า ‘เดรัจฉานสับปลับ’ สามารถกลืนเมฆพ่นหมอก ย่ำเมฆขี่หมอก ทั้งยังสามารถบินทะยานในที่สูงเพื่อทำสงคราม สามารถพ่นไฟเพื่อช่วยพวกเจ้าอีกแรง พลังไม่นับว่าแข็งแกร่ง แต่อาวุธทั่วไปทำให้บาดเจ็บได้ยาก ข้ามอบให้พวกเจ้าสี่คนเพื่อเป็นพาหนะ…” เขาอธิบายวิธีการควบคุมให้ทั้งสองฟัง
หลังจากทั้งสี่เข้าใจวิธีการแล้ว ก็ก้าวขึ้นมาเลือกไปคนละตัว อิงตามวิธีการที่โค่วเหวินหลานถ่ายทอดให้ พวกเขาร่ายอิทธิฤทธิ์กดบนเครื่องมือที่อยู่ตรงหลังหัวของสัตว์เทพ รอจนมีแสงสีแดงกะพริบบนนั้น ทั้งสี่ก็ดึงเครื่องมือที่เสียบอยู่ที่หลังหัวของสัตว์เทพออก
พอดึงเครื่องมือออก บนตัวของสัตว์เทพทั้งสี่ก็พรั่งพรูลมหายใจที่ดุร้ายออกมาทันที ชะล้างฝุ่นดินของต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ เกล็ดแต่ละอันกางออกเล็กน้อย มีลมพรั่งพรูออกจากเกล็ดอย่างช้าๆ กลืนเข้าคายออก
ดวงตาโตสีทองของสัตว์เทพทั้งสี่เบิกกว้าง ทั้งสี่รีบมาอยู่ตรงข้ามแล้วสบตากับมัน บังคับให้มันรับเป็นเจ้าของ ในตอนนี้คนที่มันเห็นเป็นครั้งแรกเมื่อลืมตาก็จะกลายเป็นเจ้าของของมันแล้ว
แววตาดุร้ายของเดรัจฉานสับปลับทั้งสี่ตัวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ใช้หัวดันที่หน้าอกของทั้งสี่เบาๆ ดมกลิ่นบนตัวของทั้งสี่ แสดงความสนิทสนม
ทั้งสี่คนยื่นมือไปลูบตัวเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สึกกัน กงอวี่เฟยที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วอิจฉาไม่หาย
โค่วเหวินหลานบอกอีกว่า “ในการทดสอบครั้งนี้ ถ้าใครสามารถสร้างผลงานได้ ข้าก็จะมอบของพวกนี้ให้เขา แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะเรียกคืน! ให้เวลาพวกเจ้าสามวัน พยายามจบงานทุกอย่างที่อยู่ในมือ อีกสามวันมารายงานตัวที่นี่แต่เช้า ข้าจะส่งพวกเจ้าไปที่จวนหัวหน้าภาคด้วยตัวเอง”
“รับทราบ!” ทั้งสี่เอ่ยรับ
“พวกเจ้าทำความคุ้นเคยกับสัตว์เทพสี่ตัวนี้ไปแล้วกัน!” โค่วเหวินหลานพูดทิ้งท้าย แล้วพากงอวี่เฟยเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากทั้งสี่สบตากันแวบหนึ่ง ก็ขึ้นไปนั่งบนตัวเดรัจฉานสับปลับอย่างอดใจไม่ไหวทันที พวกเขาขี่มันพุ่งไปทางภูเขาลึกด้วยความเร็วสูง เรียกได้ว่าข้ามภูเขาเหยียบแม่น้ำราวกับเป็นพื้นราบ เร็วจนได้ยินเสียงลมปะทะจอนผม หลังจากวิ่งอย่างถึงอกถึงใจพักหนึ่ง สัตว์เทพทั้งสี่ตัวก็ทยอยกันทะยานขึ้นฟ้า แบกพวกเขาไล่ตามกันอยู่บนท้องฟ้า ความเร็วในการเหาะเหินไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาสี่คนเลย
สุดท้ายสัตว์พาหนะทั้งสี่ก็ฝ่าชั้นบรรยากาศออกไป พาพวกเขาทะยานขึ้นท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ บินขึ้นบินลงอย่างว่องไวสุดขีด
สุดท้ายทั้งสี่ก็เหยียบลงบนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง พอสัตว์เทพอ้าปาก หมอกแดงที่ร้อนผ่าวพัดม้วนออกมา ทำให้เกราะทองที่เหมียวอี้โยนออกมาหลอมละลายเปลี่ยนรูปร่างทันที นี่ถ้าพ่นใส่ตัวคนจะไม่แย่หรอกเหรอ? อานุภาพน่าหวาดกลัวจริงๆ
“เด็กดี! มีผู้บัญชาการใหญ่ส่งของพวกนี้ให้ การทดสอบครั้งนี้ต้องไม่มีอะไรน่ากังวลแน่นอน!” สวีถังหรานหัวเราะลั่น จิตใจที่เป็นกังวลมาตลอดผ่อนคลายลง
อีกสามคนที่เหลือสบตากันแล้วหัวเราะ ครั้งนี้โค่วเหวินหลานช่วยพวกเขาโกงการทดสอบแล้วจริงๆ อยู่กับลูกชายของตระกูลใหญ่มันก็ดีอย่างนี้แหละ!
หลังจากกลับถึงตลาดสวรรค์ ทั้งสี่ก็เก็บสัตว์เทพไว้ในกระเป๋าสัตว์ ถอดเกราะรบบนตัวออกแล้วเช่นกัน ในเมื่อมีความมั่นใจแล้ว ก็ย่อมอารมณ์สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
หลังจากกลับเข้าเมือง พวกเขาก็ต่างคนต่างกลับจวนตัวเอง พอเหมียวอี้กลับถึงประตูจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ก็ถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งขวางไว้
เป็นคนงานของร้านค้าสมาคมวีรชน “ผู้บัญชาการหนิว ผู้จัดการร้านหวงฝู่ของพวกเราเรียนเชิญขอรับ”
เหมียวอี้เคยเจอเขาที่ร้านค้าสมาคมวีรชน ตนกำลังกลัวว่าจะหลบหลีกหวงฝู่จวินโหรวไม่พ้น จะยอมไปหาถึงที่ได้อย่างไรกันล่ะ จึงเอามือไขว้หลังข้างหนึ่งพร้อมเดินเข้าประตู “พวกผู้จัดการร้านของพวกเจ้าด้วย ว่าผู้บัญชาการคนนี้ยังมีงานต้องจัดการ ขออภัยที่ไปหาไม่ได้!”
ใครจะไปคิด จู่ๆ ก็ได้ยินหวงฝู่จวินโหรวถ่ายทอดเสียงบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ถ้าไม่มาก็อย่าเสียใจทีหลังแล้วกัน! จากที่ข้าได้ข่าวมา การทดสอบครั้งนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เจ้าอย่านึกนะว่ามีโค่วเหวินหลานหนุนหลังแล้วจะผ่านด่านได้ ระวังจะตายแบบไม่เหลือซาก! ขาก็หวังดีจะมาบอกเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าไม่รับน้ำใจ งั้นก็ช่างเถอะ!”
เหมียวอี้รีบหันกลับมา พอกวาดสายตามอง ก็เห็นเกี้ยวของหวงฝู่จวินโหรวซ่อนอยู่ในซอยเล็กๆ ตรงข้าม ส่วนเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ก็กุมหมัดคารวะไปทางนั้น
ตอนนี้เหมียวอี้ยืนอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการ จะเข้าก็ไม่เข้า จะออกก็ไม่ออก นับว่าโดนคำพูดของหวงฝู่จวินโหรวยั่วให้อยากรู้แล้ว จะไปหานางหรือจะไม่ไปหานางดี? เขาไม่อยากจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับผู้หญิงคนนั้นอีก แต่ถ้าสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดเป็นความจริงขึ้นมา ก็แสดงว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตน ทำเอาเหมียวอี้สับสนแทบตาย
…………………………