พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 1003 บรรยากาศของครอบครัวเล็กๆ
ความจริงแบบนี้ทำให้เหมียวอี้พูดไม่ออก ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกว่าตัวเองโชคร้าย สงสัยการทดสอบครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกาะศักดิ์สิทธิ์โดนปล้น ที่แท้ก็เป็นเขาที่ก็ยกหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง
“ในเมื่อคิดจะกำจัด แล้วทำไมไม่ให้โค่วเหวินหลานกับลูกหลานตระกูลขุนนางพวกนั้นไปลงสนามเองล่ะ แบบนั้นจะได้ใช้กำลังความสามารถเยอะกว่าไม่ใช่เหรอ?” เหมียวอี้ถาม
หวงฝู่ส่ายหน้า “แบบนั้นจะทำให้หลายตระกูลได้รับผลกระทบ แถมไม่ได้แย่งชิงของสำคัญอะไรกันด้วย ใครจะอยากให้ลูกหลานตัวเองเอาชีวิตไปทิ้งล่ะ? มีคนห้ามเยอะเกินไป ไม่ผ่านการอนุมัติหรอก ถ้าราชันสวรรค์จัดการโดยไม่สนใจความคิดใคร ถึงตอนนั้นถ้าพวกโค่วเหวินหลานรวมตัวเป็นพวกเดียวกันขึ้นมา ราชันสวรรค์ก็จะไม่ได้อะไรเลย เหมือนเป็นการตบหน้าตัวเอง ราชันสวรรค์สามารถกำจัดตระกูลขุนนางทั้งหมดทิ้งได้เหรอ? ถ้ากำลังคนมากมายขนาดนั้นไปก่อกบฏกันหมด ราชันสวรรค์ก็คงจะได้กลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบแล้วจริงๆ มีคนอยู่เต็มดาราจักร ราชันสวรรค์คนเดียวจะฆ่าได้สักกี่คนเชียว? ถึงตอนนั้นใต้หล้าวุ่นวาย กิจการพื้นฐานของราชันสวรรค์ก็จะต้องหายไปเหมือนกัน แล้วยังจะมีใครส่งมอบผลประโยชน์ให้เขาอีก ราชันสวรรค์จะไปแย่งชิงด้วยมือเปล่างั้นเหรอ?”
เหมียวอี้ได้ยินแล้วทอดถอนใจไม่หาย ดูเหมือนการเป็นราชันสวรรค์ก็ลำบากเหมือนกัน
แต่ก็ดูออกแล้วจริงๆ ว่าหน่วยงานภายในของตำหนักสวรรค์มีปัญหา ขนาดเทพแห่งผืนดินและคนเฝ้าประตูในเกาะศักดิ์สิทธิ์ยังกล้าพลิกแพลงวิธีการขโมยของบรรณาการเลย แบบนี้เรียกว่าเจ้าวัดไม่ดี หลวงชีสกปรก ถ้าไม่ใช่เพราะมีที่พึ่งคอยให้ท้ายจนกลายเป็นความเคยชิน จะมีลูกน้องที่ไหนกล้าทำเรื่องแบบนี้ แสดงว่าเบื้องบนก็ทำเรื่องพรรค์นี้ไว้ไม่น้อยเหมือนกัน แล้วเวลาแต่งตั้งให้ใครรับตำแหน่ง ทุกที่ก็จะมีแต่คนของคนนั้น หรือไม่ก็คนของคนนี้ แม่ทัพภาคปี้เยว่ฮูหยินก็คือเมียของท่านโหวบางคน ผู้บัญชาการโค่วเหวินหลานก็คือหลานของคนใหญ่คนโตบางคน ผู้บัญชาการมู่หรงซิงหัวก็เป็นหญิงชู้ของใครบางคน หยางไท่ก็เป็นลูกบุญธรรมของใครบางคน เหมียวอี้กับสวีถังหรานบยังนับว่าดีหน่อย แต่ตามกฎแล้วก็ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเป็นผู้บัญชาการ แต่ก็เพราะเห็นแก่หน้าโค่วเหวินหลาน จึงไม่สนใจเลยว่าเจ้าจะทำงานได้เหมาะสมกับตำแหน่งหรือเปล่า ดูแค่ดาวเทียนหยวนที่เดียวก็เห็นทุกอย่างแล้ว จะรู้ได้ว่าทั้งตำหนักสวรรค์เป็นอย่างไร
เพี้ยะ! เหมียวอี้ตบก้นหวงฝู่ที่กำลังคลอเคลียไปทั่วร่างกายตนอย่างแรงหนึ่งฉาด ให้นางหยุดพักก่อน แล้วลองถามถึงสิ่งที่ตัวเองคาดเดียว “ที่เจ้าบอกว่าอันตราย ก็คือการต่อสู้แก่งแย่งกันระหว่างลูกหลานตระกูลขุนนางเหรอ?”
หวงฝู่ตอบว่า “ใช่ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอนาคตตัวเอง ไม่ว่าใครก็ไม่อยากโดนคนอื่นเบียดตกทั้งนั้น จะต้องทุ่มทรัพยากรติดอาวุธให้ลูกน้องของตัวเอง เดาว่าโค่วเหวินหลานก็คงให้ของบางอย่างพวกเจ้ามาเหมือนกัน แต่เจ้าต้องรู้ไว้อย่างหนึ่งนะ ก็เหมือนกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นแหละ โค่วเหวินหลานไม่ได้สำคัญกับตระกูลโค่วสักเท่าไรเหมือนกัน อยู่อันดับโหล่เลย ทรัพยากรที่ใช้ก็สู้ลูกหลานคนอื่นของตระกูลโค่วไม่ได้แน่นอน แล้วก็อาจจะไม่ได้ใช้ทรัพยากรดีเท่าคนอื่นเหมือนกัน วรยุทธ์เจ้าไม่ได้สูงเท่าไรเลย ถ้าของวิเศษด้อยกว่าคนอื่น เมื่อครบกำหนดเวลา เพื่อที่จะได้อันดับดีๆ เกรงว่าผู้บัญชาการหนึ่งพันคนจะต้องยื้อแย่งกันเอง เจ้าสามารถรับมือได้สักกี่คนล่ะ? เจ้าคิดว่าครั้งนี้เจ้าจะตายหรือเปล่าล่ะ?”
เหมียวอี้สีหน้าตึงเครียด เขาพลิกตัวทันที จับนางนอนข้างล่าง ขบเม้มย่ำยียอดเขาสองลูกของนางพักหนึ่ง หลังจากรังแกจนนางหอบหายใจ ถึงได้เงยหน้าบอกว่า “ในเมื่อเจ้าหลอกล่อข้ามาแล้ว เดาว่าเจ้าคงจะมีวิธีช่วยข้าสินะ”
ขณะที่ใช้สองมือประคองหน้าเขา หวงฝู่จวินโหรวก็ส่งสายตาหวานพร้อมบอกว่า “เรื่องของตำหนักสวรรค์น่ะ ข้าไม่กล้าเข้าไปก้าวก่ายสักเท่าไรหรอก นี่คือเรื่องต้องห้ามที่ร้ายแรง แต่ข้าก็มีอีกวิธีการที่จะช่วยเจ้าได้จริงๆ ขอเพียงเจ้ายอมแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่ แต่งงานกับข้า ก็ย่อมมีคนรายงานขึ้นไปถึงหูเบื้องบนแล้วลบรายชื่อเจ้าออกอยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง พอแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่แล้ว เจ้าก็จะถูกลบออกจากทะเบียนขุนนางของตำหนักสวรรค์ ต่อให้คนที่หนุนหลังโค่วเหวินหลานจะใหญ่แค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรตระกูลหวงฝู่อยู่ดี ถึงตอนนั้นก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าแล้ว”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว พลิกตัวลุกออกจากนางทันที เปลี่ยนมานอนอยู่ข้างๆ นางแทน ล้อเล่นอะไรกัน แต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่เหรอ แบบนั้นจะให้อวิ๋นจือชิวทนความรู้สึกได้อย่างไร?
หวงฝู่บิดตัวขึ้นมานอนบนร่างเขา “เป็นยังไง? เรื่องราวจวนตัวแล้ว วันนี้คือโอกาสเดียวของเจ้านะ?”
เหมียวอี้จ้องนางพร้อมถามว่า “เจ้าคาดการณ์ไว้แล้วว่าข้าจนตรอก กำลังฉวยโอกาสบีบข้าใช่มั้ย?”
หวงฝู่กอดเขาไว้แน่น “เจ้าพูดแบบนี้ได้ยังไง ข้าก้ทำเพื่อช่วยชีวิตเจ้าเหมือนกันนะ”
เหมียวอี้ผลักนางออก แล้วลุกออกจากเตียง ไม่รู้ว่าเขาเก็บเสื้อผ้าจากพื้นที่นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ขณะที่ใส่เสื้อผ้าก็บอกว่า “ข้าจะพูดอย่างจริงจังสักครั้งนะ ต่อให้ข้าจะไร้ความสามารถ แต่ก็ยอมตายดีกว่าแต่งงานเข้าตระกูลผู้หญิง! ข้าไม่เชื่อแนวคิดบ้าๆ นี่หรอก ข้าไม่เชื่อหรอกว่าถ้าไม่ขายตัวให้ตระกูลหวงฝู่ แล้วจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ ข้าเป็นชายชาตรี จะให้มาถอดเสื้อผ้าขึ้นเตียงกับเจ้าเพื่อรักษาชีวิตได้ยังไง ช่างน่าขำ!”
การเจรจาล้มเหลว หลังจากทำตัวเจ้าชู้เสเพล ท่านขุนนางเหมียวก็เดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ทิ้งให้หวงฝู่จวินโหรวดึงผ้าห่มมาคลุมร่างตัวเอง นั่งกอดเข่าพิงหัวเตียง ผมเผ้ายุ่งสยาย เหม่อลอยงงงัน!
ระหว่างทางกลับจวนผู้บัญชาการ เหมียวอี้ได้รับข้อความจากอวิ๋นจือชิว นางได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว ทั้งยังรู้เรื่องที่เขาจะเข้าร่วมการทดสอบด้วย จึงบอกให้เขาไปที่ร้านของสองพี่น้องโอวหยางในคืนนี้ นางจะเข้าครัวทำกับข้าวด้วยตัวเอง ให้คนในครอบครัวได้กินข้าวด้วยกันดีๆ สักมื้อ
มีเรื่องเสื้อชั้นในครั้งก่อนเป็นบทเรียนแล้ว พอกลับถึงจวนผู้บัญชาการ เหมียวอี้ก็อาบน้ำทำลายหลักฐานทันที
จากนั้นก็เรียกฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋เข้ามา แล้วบอกความจริงเรื่องการทดสอบครั้งนี้ หลังจากได้รู้ว่าการทดสอบครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเรื่องปล้นเกาะศักดิ์สิทธิ์ในปีนั้น ทั้งสองก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ฝูชิงถามว่า “เจ้าได้ข่าวมาจากนั้น?”
เหมียวอี้ย่อมบอกไม่ได้ว่าเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้ข่าวนี้มา “นอกจากโค่วเหวินหลานแล้ว ยังจะเอาข่าวมาจากไหนได้อีกล่ะ?”
“โค่วเหวินหลานสามารถนำเรื่องการต่อสู้ช่วงชิงระหว่างตระกูลขุนนางของพวกเขามาบอกเจ้าด้วยเหรอ? นี่ไม่ใช่กำลังบอกให้เจ้ารู้เหรอ ว่าให้เจ้าไปตายแทนเขา?” อิงอู๋ตี๋สงสัย
“ข้าจะไปรู้เหรอว่าคิดยังไง” เหมียวอี้พูดกลบเกลื่อนคำโกหกของตัวเองไม่ได้ จึงแต่อ้างว่าไม่รู้ ให้ทั้งสองไปปวดหัวเดาเจตนาของโค่วเหวินหลานเอาเอง
ตอนพลบค่ำ พระอาทิตย์ยามเย็นกำลังสวย เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ในลานบ้าน ใส่ชุดคลุมยาวพอดีตัว องอาจผึ่งผาย กำลังมองที่ขอบฟ้า ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง!
เป่าเหลียนเดินตามมาข้างหลัง “นายท่านกลับมาจากเดินทางไกล ข้าน้อยเตรียมอาหารไว้รับรองท่าน ให้ท่านกับรองผู้บัญชาการทั้งสองได้กินดื่มดีๆ สักมื้อค่ะ”
เหมียวอี้เกือบจะพยักหน้าตกลง แต่พอได้สติกลับมาก็นึกขึ้นได้ว่ามีธุระ “ไม่ต้องแล้ว ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย อย่าให้คนมารบกวนข้านะ!”
นี่ย่อมเป็นคำปฏิเสธ หลังจากรอให้เป่าเหลียนออกไปแล้ว เวลาก็ล่วงเลยมาพอสมควร เขาดำน้ำลงมาในทางใต้ดินอีก
พอมาถึงร้านผลึกสกัด สองพี่น้องโอวหยางที่ได้ยินข่าวก็เข้ามาต้อนรับอย่างร่าเริง เหมียวอี้บอกพวกนางว่าไม่ต้องมากพิธี จากนั้นมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “ฮูหยินยังไม่มาเหรอ?”
“ฮูหยินกำลังทำอาหารอยู่ในครัวค่ะ!” สองพี่น้องโอวหยางตอบอย่างรู้สึกผิดนิดหน่อย เดิมทีพวกนางอยากจะทำแทน แต่อวิ๋นจือชิวปฎิเสธโดยอ้างว่าพวกนางไม่รู้รสนิยมของเหมียวอี้ จึงทำได้เพียงช่วยงานเบ็ดเตล็ดอยู่ข้างๆ
จากนั้นเหมียวอี้ก็เดินเข้าไปดูในครัว เห็นเพียงอวิ๋นจือชิวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวครามสุภาพเรียบร้อยกำลังผัดอาหารอยู่ข้างเตาไฟ สำหรับผู้ชายที่ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายเป็นประจำ เกรงว่าภาพนี้คงจะปลอบโยนจิตใจได้ดีที่สุดในโลกแล้ว เพียงแต่พอนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่เพิ่งทำที่ร้านค้าสมาคมวีรชน ก็พูดไม่ออกเลยว่าในใจรู้สึกผิดขนาดไหน แอบด่าตัวเองว่าไอ้สัตว์เดรัจฉาน!
เมื่อเห็นเขามา อวิ๋นจือชิวก็แค่หันมายิ้มพร้อมบอกว่า “ในนี้มีควันเยอะ กลิ่นไม่ค่อยดี ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้ชายอย่างเจ้าควรจะมานะ หลางหลาง หวนหวน ไปอยู่เป็นเพื่อนหนิวเอ้อร์ในห้องก่อน ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไร! เดี๋ยวข้าจะเป็นลูกมือให้ฮูหยินเอง” เหมียวอี้โบกมือปฏิเสธคำเชิญของสองพี่น้องฝาแฝด เดินไปหาจือฉีที่กำลังคุมไฟอยู่ข้างเตา แล้วนั่งลงข้างๆ หยิบไม้ฟื้นโยนเข้าเตาด้วยตัวเอง
ทั้งสองให้ความร่วมมือกันค่อนข้างดี เหมียวอี้ใช้ไม้ฟืนคุมไฟได้ไม่เลวเลย เขาไม่ได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ช่วยด้วย
“ดูไม่ออกเลยนะ แม้แต่งานในเตาไฟเจ้าก็ทำเป็นเหรอ” อวิ๋นจือชิวที่กำลังทำอาหารกล่าวอย่างรู้สึกคาดไม่ถึง
“ถ้าข้าทำไม่เป็นแม้แต่เรื่องแบบนี้ ก็คงอยู่ไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้หรอก คงหิวตายไปตั้งแต่เด็กแล้ว เจ้าต่างหากล่ะคุณหนูอวิ๋น ขนาดยอดหญิงแห่งแห่งนภาจอมมารยังทำงานแบบนี้ได้เหมือนเป็นเรื่องง่าย ข้าล่ะนับถือจริงๆ สงสัยพวกเราจะเป็นคู่แท้กันจริงๆ! ถ้าเจ้าไม่แต่งงานกับข้า สวรรค์คงทนไม่ได้แน่ๆ!” เหมียวอี้พูดหยอกอยู่อย่างนั้น ทำเอาอวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคัก
ฉากนี้ทำให้สองพี่น้องโอวหยางเห็นแล้วอิจฉา ถึงแม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่กลับดูออกเลยว่าตัวเองกับอวิ๋นจือชิวต่างกันตรงไหน เป็นอย่างที่เหมียวอี้บอก ในปีนั้นอวิ๋นจือชิวคือยอดหญิงที่น่าภาคภูมิใจของนภาจอมมาร ฐานะชาติกำเนิดต้อยต่ำกว่าพวกนางสองคนตรงไหน? แต่พวกนางกลับทำงานพวกนี้ได้ไม่คล่องเลย ขนาดอยากจะช่วยยังทำให้ยุ่งยิ่งกว่าเดิม
ถึงแม้เรื่องอาหารการกินจะไม่สำคัญกับคนในแดนฝึกตน พลังจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในอาหารทั่วไปก็มีน้อยนิด แต่ในเมื่อเกิดมาเป็นคนแล้ว ความต้องการของปากท้องคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก คนที่ทำอาหารไม่เป็นก็จะขาดเสน่ห์ไปนิดหน่อย
หลังจากเสร็จงานในห้องครัว พวกจือฉินก็ยกน้ำมาให้อวิ๋นจือชิวอาบทันที เหมียวอี้เป็นฝ่ายเสนอตัวก้าวเข้าไปก่อน จูงมือที่เรียวงามของอวิ๋นจือชิวลงไปอาบน้ำในอ่าง ทั้งยังนำผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าให้นางด้วย
อวิ๋นจือชิวทั้งรู้สึกหวานชื่นในใจทั้งรู้สึกเกรงใจ สองพี่น้องโอวหยางกำลังมองด้วยความอิจฉาอยู่นะ นางไม่ให้เหมียวอี้ทำแบบนี้ แต่เหมียวอี้กลับดึงดันจะปรนนิบัตินางอย่างสุดตัว ไม่รู้เลยว่าเหมียวอี้รูสึกผิดในใจ ยากจะทำอะไรเพื่อเป็นการชดเชยสักหน่อย…
หลังจากนำสุราอาหารขึ้นตั้งตะ เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวก็นั่งข้างกัน หลังจากสองพี่น้องโอวหยางแยกกันนั่งข้างซ้ายและขวา อวิ๋นจือชิวก็พูดกับฉินฉีซูฮว่าที่ยืนรอรับใช้อยู่ด้านข้าง “ข้าถึงขนาดลงครัวเองแล้ว วันนี้ไม่แบ่งแยกนายบ่าว นั่งด้วยกัน คนในครอบครัวกินอาหารด้วยกันดีๆ สักมื้อ”
ระหว่างที่กินอาหาร อวิ๋นจือชิวก็คุยทั่วถึงทุกคน ทุกคนพูดคุยหัวเราะกันสนุกสนาน บรรยากาศไม่เลวเลยจริงๆ ให้ความรู้สึกของครอบครัว
หลังจากกินเสร็จ อวิ๋นจือชิวก็ให้เหมียวอี้อยู่ค้างที่นี่ แต่เหมียวอี้บอกว่าพรุ่งนี้ค่อยมา วันนี้ยังคงจูงมือนางกลับไปด้วยกันผ่านทางใต้ดินอย่างแน่วแน่
เมื่อกลับมาถึงชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของร้านโฉมเมฆา เหมียวอี้ก็เตรียมน้ำออกมาอีก ช่วยอวิ๋นจือชิวถอดเครื่องปลอมตัว ทั้งยังช่วยนางถอดเครื่องแต่งกาย แล้วสุดท้ายก็ช่วยถูหลังให้นาง ไม่เหมือนกับที่ทำให้หวงฝู่จวินโหรว เพราะตอนนี้เขาปรนนิบัติให้นางอย่างเอาใจใส่ราวกับเป็นทาสรับใช้
อวิ๋นจือชิวที่กำลังเอนกายเสพสุขกลับค่อนข้างเงียบงัน หลังจากปรนนิบัติให้นางเสร็จแล้วเปลี่ยนใส่ชุดอยู่บ้าน ตอนที่ทั้งสองก็นั่งดื่มน้ำชาในลานบ้านด้วยกัน อวิ๋นจือชิวถึงได้เอ่ยปากถามว่า “วันนี้เจ้าดูไม่ค่อยปกตินะ เพราะเรื่องการทดสอบอันตรายมากใช่มั้ย? ถ้าไปแล้วกลัวว่า…จะกลับมาไม่ได้เหรอ?”
เหมียวอี้กลับไม่กังวลเรื่องนี้ แต่ความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะลบออกไปได้ เขาโอบกอดนาง แล้วเอนกายบนเก้าอี้ด้วยกัน “ถ้าบอกว่าไม่กังวลเรื่องการทดสอบเลยก็คงจะโกหก แต่หลายปีมานี้ ข้าผ่านศึกเล็กศึกใหญ่มาจนตัวเองยังนับไม่ถ้วนเลย เคยชินจนมองเป็นเรื่องปกติแล้ว ข้าไม่กลัวเลยจริงๆ แต่ว่าไปตั้งร้อยปี ไม่ได้เจอเจ้าตั้งร้อยปี ที่พิภพใหญ่ ที่พิภพเล็ก เรื่องในครอบครัวตกอยู่ที่ตัวเจ้าคนเดียว ข้ารู้สึกผิดต่อเจ้านิดหน่อย!” คำพูดนี้จริงครึ่งไม่จริงครึ่ง แต่กลับพูดออกมาจากความรู้สึก
อวิ๋นจือชิวหดเรือนร่างอรชร อิงแอบอยู่ในอ้อมอกของเขา พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “เจ้าออกไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายข้างนอก ก็ไม่ใช่เพื่อข้าหรอกเหรอ ที่ข้ามีวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะเจ้าเสี่ยงชีวิตหามาทั้งนั้น เพียงแต่เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน จะล่มก็ล่มด้วยกัน จะรุ่งก็รุ่งด้วยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันทั้งชีวิต จำเป็นต้องพูดอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ เรารู้ชัดอยู่ในใจก็พอแล้ว ข้ารู้เพียงแค่ว่า การได้แต่งงานกับเจ้าในชาตินี้ทำให้ใจข้ารู้สึกงดงาม ในเมื่อเผชิญปัญหา ในเมื่อหลบเลี่ยงไม่ได้ งั้นก็เผชิญหน้าด้วยกันก็แล้วกัน!”
ทั้งสองนอนอิงแอบบนเก้าอี้และพึมพำคุยกันทั้งคืน ไม่ได้ทำเรื่องสนุกระหว่างชายหญิง เหมียวอี้เองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม เมื่อได้กอดและได้ดมกลิ่นกายหอมที่คุ้นเคยของนาง ในใจเขาก็รู้สึกอิ่มเอม สงบ ผ่อนคลาย ไม่ต้องเสแสร้ง ไม่ต้องระวังตัว
…………………………