พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 1006 คนคิดบัญชีมาแล้ว
ชายอ้วนหน้าขาวร่างเตี้ยที่สวมชุดผ้าแพรเดินบุกเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ เหมียวอี้ สวีถังหรานกับเจิ้งหรูหลงไม่เคยเห็นว่าหัวหน้าภาคหน้าตาเป็นอย่างไร ปกติไม่มีโอกาสได้พบกัน เป็นมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่ที่คำนับก่อน จากนั้นพวกเหมียวอี้ถึงได้รีบคำนับตาม “คำนับหัวหน้าภาค!”
“อืม! ไม่ต้องมากพิธี!” เฉาว่านเสียงโบกมือ ถึงแม้จะเป็นหัวหน้าภาคผู้สง่าผ่าเผย ทั้งยังเป็นนักพรตระดับบงกชรุ้ง แต่ดูแล้วเป็นคนง่ายๆ สบายๆ เขาเดินผ่านกลุ่มคนไปนั่งตรงตำแหน่งหลัก จากนั้นกวาดสายตามองพวกเขาแวบหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้างก็คือ เขากลับหรี่ตายิ้มพลางกวักมือเรียกมู่หรงซิงหัว แล้วตบที่ต้นขาตัวเอง “ซิงหัว มานั่งนี่!”
มู่หรงซิงหัวเหมือนจะคาดไม่ถึงว่าเขาจะทำแบบนี้ ขณะที่กำลังอึ้ง ใบหน้าก็แดงก่ำในชั่วพริบตาเดียว ทว่าก็ยังก้าวเข้าไปช้าๆ ภายใต้ความอับอาย สุดท้ายเฉาว่านเสียงก็ยื่นมือออกมา ดึงให้นางมานั่งบนตักตัวเอง ส่วนมืออีกข้างก็โอบเอวบางของนางโดยตรง กึ่งโอบกึ่งอุ้ม ทำตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวอะไร
เป็นการเปิดโปงความสัมพันธ์ของทั้งสองอย่างหมดเปลือกจริงๆ เจิ้งหรูหลงอ้าปากค้าง ทำท่าเหมือนตกตะลึงมาก ส่วนเหมียวอี้และคนอื่นๆ ก็มองหน้ากันเลิกลั่ก
มู่หรงซิงหัวกลืนไม่เข้าคายไม่ออกสุดๆ ไม่มีหน้าจะหันไปมองพวกเหมียวอี้เลย กลับเป็นเฉาว่านเสียงที่กอดนางพลางพูดเปิดอกตรงๆ “ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับซิงหัว พวกเจ้าเองก็เห็นแล้ว ข้าจะไม่เปลืองคำพูดแล้วกัน ในการทดสอบครั้งนี้ข้าแค่อยากให้ซิงหัวกลับมาอย่างปลอดภัย ถ้าซิงหัวกลับมาอย่างงปลอดภัยไม่ได้ ข้ารับรองว่าต่อให้พวกเจ้าสี่คนรอดกลับมาได้ แต่ก็ต้องตายสถานเดียว! ดังนั้นครั้งนี้พวกเจ้าต้องให้ความสำคัญกับซิงหัวก่อน ต้องพยายามรักษาความปลอดภัยให้นางอย่างเต็มที่”
คำพูดนี้เอาแต่ใจเกินไปแล้ว ทุกคนแอบด่าในใจว่า จะมาวางมาดกับทหารชั้นผู้น้อยอย่างพวกเราทำไม ถ้าเก่งนักก็ให้เบื้องบนลบรายชื่อมู่หรงซิงหัวออกไปสิ แต่แน่นอนว่าภายนอกยังต้องกุมหมัดคารวะ “น้อมรับคำสั่ง!”
เฉาว่านเสียงพยักหน้าอย่างพอใจ “การไปครั้งนี้ข้าไม่ขอให้พวกเจ้าสร้างผลงานใหญ่อะไรหรอก จำไว้อย่างเดียวก็พอ ขอเพียงปกป้องให้ซิงหัวกลับมาอย่างปลอดภัยได้ หัวหน้าภาคคนนี้ย่อมไม่ดูแลให้เสียเปรียบแน่ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ว่างๆ ในน่านฟ้าชวดอี่ ข้าก็สามารถจัดหาให้ได้อย่างไม่มีปัญหา ถ้าใครที่อาศัยว่าตัวเองมีคนหนุนหลังนิดหน่อย แล้วคิดว่าตัวเองจะทำตามอำเภอใจได้ หึหึ! อย่าลืมนะว่าน่านฟ้าชวดอี่เป็นอาณาเขตของใคร ต่อให้คนหนุนหลังจะใหญ่โตกว่านี้ แต่ก็สู้คนที่รับผิดชอบโดยตรงไม่ได้หรอก ถ้าข้าไม่ยอมปล่อย เกรงว่าพวกเจ้าก็คงหนีไปไหนไม่พ้น!”
เหมียวอี้กับสวีถังหรานส่งสายตาให้กัน เพราะอีกฝ่ายกำลังใช้คำพูดนี้เตือนพวกเขาสองคน เห็นได้ชัดว่าแอบบอกเป็นนัยว่า อย่านึกนะว่ามีโค่วเหวินหลานหนุนหลังแล้วคนอื่นจะทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้
แต่เมื่อพูดมาแบบนี้ ก็แสดงว่ามีโอกาสเลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้ว พวกเจิ้งหรูหลงฮึกหิมทันที กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “รับทราบ!”
“ตามนั้น!” เฉาว่านเสียงตบบั้นท้ายของมู่หรงซิงหัวที่นั่งอยู่บนตักของตัวเอง พร้อมถามด้วยรอยยิ้มว่า “หัวหน้าภาคคนนี้ดูแลเจ้าไม่ขาดตกบกพร่องใช่มั้ย?”
“ขอบคุณท่านหัวหน้าภาค!” โดนทำแบบนี้ต่อหน้าธารกำนัล มู่หรงซิงหัวอับอายมากจริงๆ นางยังต้องการมีหน้าตาศักดิ์ศรีอยู่บ้าง อยากจะฉวยโอกาสลุกขึ้น
ใครจะคิดว่าเฉาว่านเสียงกลับโอบนางไว้อีก แล้วเอียงหน้าเข้ามาใกล้นาง มู่หรงซิงหัวที่กำลังกัดริมฝีปากทำได้เพียงหอมแก้มเขาหนึ่งทีตามกลางสายตาของทุกคน
จากนั้นเฉาว่านเสียงกดอบกอดพลางดูดหอมบนใบหน้างามของนางพักหนึ่ง คนที่ยืนอยู่เบื้องล่างพากันก้มหน้าหรือไม่ก็เบี่ยงหน้าหนี ทำเป็นมองไม่เห็น
เหมียวอี้พึมพำในใจว่า ยามปกติผู้หญิงคนนี้ทำตัวบริสุทธิ์สูงส่งมาก ทั้งยังรังเกียจที่ข้าชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ข้าแค่แสดงละครเฉยๆ หรอก แต่เจ้ากลับอยู่กับผู้ชายที่มีภรรยาแล้วแบบจริงจัง
เฉาว่านเสียงที่ตักตวงประโยชน์จนพอใจปล่อยมู่หรงซิงหัวที่กำลังทำสีหน้าอับอาย แล้วพูดทิ้งท้ายก้อนเดินออกไป “อีกครึ่งชั่วยามหลังจากนี้ จะมีคนมาเรียกให้พวกเจ้าให้ออกเดินทางพร้อมข้า!”
“รับทราบ!” ทุกคนน้อมส่งอยู่ข้างหลัง
รอจนกระทั่งเฉาว่านเสียงเดินไปแล้ว มู่หรงซิงหัวก็ก้มหน้าเดินหลบไปทันที แต่ละคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ในดวงตาแฝงความรู้สึกเยาะเย้ย
เจิ้งหรูหลงพลันถ่ายทอดเสียงบอกทุกคนว่า “เกิดเป็นผู้หญิงสวยนี่ดีจริงๆ! แม่งเอ๊ย แค่ถอดกระโปรงครั้งเดียว ก็เท่ากับที่ข้าต้องฝ่าฟันต่อสู้หนึ่งหมื่นปี!”
ทุกคนได้ฟังแล้วส่ายหน้ากลั้นหัวเราะ สวีถังหรานโบกมือบอกว่า “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้เยอะ จะได้ไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัว!”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ก็มีคนมาเรียกพวกเขาให้ไปรอนอกจวนของหัวหน้าภาค ตอนที่เจอหน้าเฉาว่านเสียงอีกครั้ง เขากลับทำเหมือนไม่รู้จักมู่หรงซิงหัว แม้แต่มองหน้าตรงๆ ก็ไม่มอง เพียงนำผู้ติดตามมาไม่กี่คน เอ่ยสั่งคำเดียว แล้วพาพวกเหมียวอี้เหาะออกจากประตูค่ายกลใหญ่ เหาะผ่านท้องฟ้าไปโดยตรง…
เมื่อเดินทางอย่างช้าๆ อยู่บนท้องฟ้าเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน เฉาว่านเสียงกลับสุขสบาย มีคนใช้เกี้ยวหามชัยภูมิถ้ำสวรรค์หลังหนึ่ง เฉาว่านเสียงพักอยู่ในนั้น มู่หรงซิงหัวก็เข้าไปปรนนิบัติรับใช้ข้างในเช่นกัน ส่วนจะปรนนิบัติอย่างไร ทุกคนก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ไปคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้ก็ไม่มีความหมาย
น่านฟ้าฉลูมะแม!
จุดรวมตัวของการทดสอบครั้งนี้ ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เมื่อมาถึงที่นี่ มู่หรงซิงหัวก็ออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์แล้ว มารวมตัวอยู่กับคนอื่นต่อไป ในขณะที่เฉาว่านเสียงกวาดสายตามอง พวกเหมียวอี้ก็เป็นฝ่ายมายืนอยู่ข้างหลังมู่หรงซิงหัว ให้มู่หรงซิงหัวเป็นหัวหน้ากลุ่มอย่างเป็นทางการ
จะไม่ให้มู่หรงซิงหัวเป็นหัวหน้าก็ไม่ได้ ถ้าปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับมู่หรงซิงหัวจริงๆ เฉาว่านเสียงก็บอกไว้ชัดเจนแล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
สถานที่ที่พวกเขามาถึงก็คือจวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าฉลูมะแม ที่นี่มีผู้คนไปมาหาสู่อยู่เสมอ ดูแล้วคึกคักมาก คนที่สวมแกราะรบสีม่วงก็มีไม่น้อย
เป็นเพราะจักรวาลกว้างใหญ่เกินไปจริงๆ ถึงแม้เฉาว่านเสียงจะอยู่ในระดับหัวหน้าภาคเหมือนกัน แต่เขากับหัวหน้าภาคของที่นี่ก็ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน ระหว่างทางหลังจากดึงคนมาถามทางแล้ว ก็นำทุกคนไปยังฝ่ายบุคลากร จากนั้นคนของฝ่ายบุคลากรตรวจสอบตราอิทธิฤทธิ์ของพวกเหมียวอี้ หลังจากยืนยันตัวตนของพวกเหมียวอี้แล้ว ก็มีคนมาพาทั้งห้าออกไปจากเฉาว่านเสียงทันที หนึ่งร้อยปีหลังจากนี้ ทั้งห้าคนจะไม่ได้เจอเฉาว่านเสียงอีก
ยามปกติพวกเขานับว่าเป็นผู้บัญชาการที่มีฐานะ แต่ตอนนี้กลับดูไร้ค่าอย่างเห็นได้ชัด ถูกส่งตัวเข้าไปในสวนขนาดใหญ่ที่มีค่ายกลคุ้มกัน สถานที่นี้เข้าได้แต่ออกไม่ได้ชั่วคราว
ในสวนมีทั้งผู้ชายทั้งผู้หญิง มีคนยืนคุยกันใต้ต้นไม้ มีคนเดินไปเดินมา คนส่วนใหญ่กำลังนั่งอยู่บนพื้น ฟังจากบทสนทนาก็พบว่าทั้งหมดเป็นผู้บัญชาการที่มาเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้
สวีถังหรานก้าวเข้าไปข้างหน้า แล้วดึงคนคนหนึ่งมาถาม “ถามหน่อยสหาย ที่พักของที่นี่อยู่ตรงไหนเหรอ?”
คนคนนั้นตอบกลั้วหัวเราะว่า “ที่พักน่ะเหรอ? มี! เจ้าดูเอาสิ ทุกคนกำลังพักอยู่นั่นไง เพียงแต่หาเรือนพักไม่เจอก็เท่านั้นเอง” เขาโบกมือชี้ไปทางคนที่กำลังนั่งและยืนอยู่รอบๆ
คำพูดนี้ทำให้คนที่อยู่รอบๆ พากันหัวเราะลั่น มีบางคนตะโกนเสียงดังว่า “จะหาเรือนพักใหญ่ขนาดไหนมาให้คนอยู่รวมกันเป็นพันคน แค่แบ่งสวนมาให้พวกเราพักเหมือนเป็นคอกหมูก็นับว่าเกรงใจแล้ว ถึงยังไงอีกฝ่ายก็ไม่ได้สนิทสนมกับพวกเรา และไม่กลัวที่จะล่วงเกินพวกเราด้วย เจ้ามาใหม่ หาที่นั่งแก้ขัดไปก่อนแล้วกัน!”
มีบางคนถอนหายใจยาว “พอมาไวกว่าคนอื่น ถึงได้รู้ว่าคนที่มาไวโง่เง่า ดันถ่อมาทรมานตัวเองล่วงหน้า คนที่มีวันสุดทายต่างหากที่ฉลาด!”
พวกเหมียวอี้มองไปรอบๆ มิน่าล่ะคนมากมายขนาดนี้ถึงตากแดดอยู่ข้างนอก ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
“หาที่ว่างพักก่อนแล้วกัน” พอมู่หรงซิงหัวสั่ง ทุกคนก็พยักหน้า ทำได้เพียงถูไถแก้ขัดไปก่อน ไม่มีคุณสมบัติจะได้สิทธิพิเศษ ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเจ้า
สุดท้ายก็มาช้าไปหน่อย สถานที่ดีๆ ที่มีร่มไม้โดนคนอื่นยึดครองไปแล้ว แม้แต่ต้นไม้ใหญ่สักต้นก็ไม่มี ทำได้เพียงนั่งล้อมแปลงอกไม้ ทั้งห้าสบตากันแล้วส่ายหน้า คาดว่าต้องอยู่ตรงนี้ไปอีกหลายวัน
จากนั้นพวกเขาก็เริ่มสังเกตคนมากหน้าหลายตาที่อยู่ข้างนอก ไม่แน่ว่าบรรดาคนที่อยู่ตรงหน้าอาจจะได้กลายเป็นศัตรูที่ต้องสู้ตายกันในภายหลังก็ได้
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ใครจะคิดว่าจู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น ตามด้วยเสียงตะโกนที่ดังก้องดุจเสียงฆ้อง “สวีถังหรานอยู่ที่ไหน?”
พวกเหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนทันที นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘หายนะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง’ สิ่งที่ควรจะมา สุดท้ายก็ยังต้องมา!
มีเพียงเจิ้งหรูหลงที่ไม่รู้สถานการณ์ เหมือนกับคนอื่นที่อยู่รอบๆ เหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว
ส่วนพวกเหมียวอี้กลับคุ้นเคยกับเสียงนี้ดีที่สุด เซี่ยโห้วหลงเฉิง!
แทบจะในชั่วพริบตาเดียว สวีถังหรานหน้าซีดเผือกแล้ว เริ่มลนลานทำอะไรไม่ถูก
มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่หันกลับมา มองไปทางเหมียวอี้กับสวีถังหรานด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจนิดหน่อย ไม่รู้ว่าทั้งสองจะมีจุดจบอย่างไร!
“สวีถังหราน โผล่หัวออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้ ข้าเห็นรายชื่อของเจ้าแล้ว รู้ว่าเจ้ามาถึงแล้ว! ที่ปรึกษาคนนี้มาสังเกตการณ์ ข้าเรียกชื่อเจ้าแล้ว เจ้ากล้าหลบหน้าไม่ยอมมาพบ มองข้ามกฎของตำหนักสวรรค์ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วใช่มั้ย!” เสียงโวยวายไร้ความเกรงกลัวของเซี่ยโห้วหลงเฉิงค่อยๆ ดังเข้ามาในสวน เห็นได้ชัดว่ากำลังตามหา
เหมียวอี้แอบด่าในใจ ที่ปรึกษาบ้าบออะไรล่ะ ระดับของเจ้าก็เห็นๆ กันอยู่ หลังจากทำผิดกฏแล้วโดนลดขั้นจากเกราะทองห้าแถบเป็นสี่แถบ ที่จริงกำลังกอดขาคนอื่นอยู่ มีอะไรให้ส่งเสียงเอะอะโวยวาย
พอได้ยนแบบนี้ เจิ้งหรูหลงก็ฟังออกแล้วว่าผู้ที่มามีเจตนาไม่ดี เขาเหลือบมองสวีถังหรานที่หน้าซีด แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พี่สวี เจ้าเคยล่วงเกินที่ปรึกษาท่านนี้เหรอ?”
สวีถังหรานไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร และไม่รู้ว่าควรจะขานรับเซี่ยโห้วหลงเฉิงหรือไม่
ขณะกำลังลังเล เสียงของเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ดังขึ้นอีก “มู่หรงซิงหัว หยางไท่ หนิวโหย่วเต๋อ ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามาถึงแล้วเหมือนกัน โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นจะโดนพิจารณาโทษร่วมกัน!”
หยางไท่หันไปถามมู่หรงซิงหัวทนัที “มู่หรง ท่านนี้มีชื่อเสียงเรื่องไร้เหตุผล ตอนนี้อาศัยแอบอ้างเบื้องบน เราจะทำยังไงกันดี?”
มู่หรงซิงหัวก็ลังเลเช่นกัน ถ้าให้ขานรับ อีกประเดี๋ยวสวีถังหรานกับหนิวโหย่วเต๋อจะต้องโชคร้ายแน่ แต่ถ้าไม่ขานรับ ดีไม่ดีตัวเองอาจจะโชคร้ายไปด้วย
“หลบเหรอ? ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะไปหลบที่ไหนได้!” เสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ของเซี่ยโห้วหลงเฉิงดังมาจากบนฟ้า
ทุกคนเงยหน้ามอง เห็นเพียงเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่อยู่บนฟ้ากำลังกวาดตามองไปทั่ว ลอยอยู่บนฟ้าเพียงไม่กี่สิบเมตร ถ้าขึ้นสูงกว่านี้ก็โดนค่ายกลขวางไว้ ไม่สามารถเหาะขึ้นสูงกว่านี้ได้อีก แต่ก็ยังค้นหาคนในสวนได้สะดวกมาก พวกเขาสบตากับเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้ว
เสียงลมพัดดังวูบ เซี่ยโห้วหลงเฉิงถลันตัวเข้ามา ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ดึงดูดให้สายตาของคนรอบข้างมองมาทางนี้
มู่หรงซิงหัวไม่อยากคุยกับคนพาลประเภทนี้ แต่ตอนนี้นางเป็นหัวหน้ากลุ่ม ถ้าไม่ออกหน้าก็จะฟังไม่ขึ้น นางยิ้มอย่างฝืนใจ พร้อมก้าวเข้าไปกุมหมัดคารวะแทนคนในกลุ่ม “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว ไม่เจอกันนาน สบายดีหรือไม่?”
“ผู้บัญชาการบ้าอะไร ข้าโดนลดตำแหน่งแล้วโว้ย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า หลีกไป” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือ บอกให้นางหลีกไป
มู่หรงซิงหัวกล่าวอย่างจนใจมากว่า “พี่เซี่ยโห้ว ท่านเป็นผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย มีเรื่องอะไรไว้คุยกันทีหลังก็ได้”
ฉวยโอกาสระบายความแค้นตอนนี้เสียเลย ไว้รอคุยกันทีหลังคงตายกันหมดแล้ว! เซี่ยโห้วหลงเฉิงเริ่มโมโห ถลึงตาโตเหมือนระฆังทองแดง ชี้มู่หรงซิงหัวพร้อมตะคอกว่า “เจ้าจะหลีกหรือไม่หลีก?”
…………………………