พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 1008 ทำตัวลับๆ ล่อๆ
ระหว่างที่พวกเขาคุยกัน ก็หลบเลี่ยงเรื่องฉาวโฉ่ที่มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่โดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเปิดโปง ทำเหมือนไม่เคยได้ยินมาก่อน
วันต่อมา เหมียวอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้มุมกำแพงก็พบความผิดปกติ พบว่าคนในกลุ่มตัวเองทยอยกันออกปทีละคน ตรงนี้เหลือเขาอยู่แค่คนเดียว คนอื่นไม่รู้ไปไหนแล้ว คาดว่าคงออกจากสวนนี้ไปไม่ได้ ถึงได้ลุกขึ้นเดินตามหา
ข้างๆ ภูเขาจำลองที่มีสระน้ำแห่งหนึ่ง เจิ้งหรูหลง มู่หรงซิงหัว หยางไท่และสวีถังหรานกำลังถ่ายทอดเสียงคุยกัน
หลังจากได้ฟังทั้งสามพูด มู่หรงซิงหัวก็ลังเลมาก ถามว่า “มีคนเยอะก็ยิ่งมีกำลังเยอะ ฆ่าเขาทิ้งจะเหมาะสมเหรอ?”
เจิ้งหรูหลงบอกทันทีว่า “น้องมู่หรง เจ้าคิดดูให้ดีๆ นะ เขามีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งเอง พาเขาไปด้วยก็จะเป็นภาระ ถึงแม้บนตัวเขาจะมีของวิเศษที่ผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเจ้ามอบให้ แต่คนอื่นก็คงไม่ต่างกันเท่าไรหรอก ด้วยวรยุทธ์ของเขา เป็นไปได้สูงมากว่าจะตายด้วยน้ำมือคนอื่น ดังนั้นถ้าให้ของไปตกอยู่ในมือของคนอื่น ไม่สู้เอามาให้ข้าดีกว่าเหรอ! เจ้าลองคิดดูสิ อาศัยวรยุทธ์ของข้า ถ้ามีของวิเศษชุดนั้นแล้ว ข้าจะกลายเป็นเสือติดปีกแน่นอน โอกาสที่กลุ่มของพวกเราจะรอดชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นแน่ๆ ถ้าข้าไม่มีของวิเศษชุดนั้น แล้วคนอื่นมีแต่ของดีๆ ต่อให้ข้าจะวรยุทธ์สูง แต่ก็ยากที่จะต้านทานคนอื่นได้ ถ้าข้าตายแล้ว กลุ่มนี้ก็จะไม่มีคนวรยุทธ์สูงไว้คอยปกป้อง เจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะมีหวังรอดชีวิตจนถึงตอนสุดท้ายหรือเปล่าล่ะ?”
มู่หรงซิงหัวก็ไม่ได้โง่ แค่ได้ยินก็เข้าใจแล้ว ที่จริงไม่จำเป็นต้องฆ่าหนิวโหย่วเต๋อเลย มีผู้ช่วยเพิ่มอีกคนไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่ประเด็นคือถ้าไม่ฆ่าทิ้ง หนิวโหย่วเต๋อคงไม่ยอมนำของวิเศษที่ใช้ปกป้องชีวิตออกมาให้เขาแน่ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เจิ้งหรูหลงชอบของวิเศษที่โค่วเหวินหลานมอบให้หนิวโหย่วเต๋อ แต่นางก็ยอมรับว่าที่เจิ้งหรูหลงพูดมีเหตุผล เมื่อของวิเศษชุดนั้นอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ ก็จะใช้ประโยชน์ได้ไม่ดีเท่าอยู่ในมือเจิ้งหรูหลง เป็นเพราะหนิวโหย่วเต๋อวรยุทธ์ต่ำเกินไปหน่อย
เป็นอย่างที่นางคิด เจิ้งหรูหลงชอบของวิเศษของเหมียวอี้แล้วจริงๆ วันนั้นตอนที่เกือบแตกคอกับเหมียวอี้ที่จวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าชวดอี่ ถ้าไม่ใช่เพราะได้ยินหยางไท่บอกว่าในมือเหมียวอี้มีของดี เขาคงลงมือสั่งสอนเหมียวอี้ไปแล้ว ตอนหลังพอดึงตัวหยางไท่กับสวีถังหรานมาถามให้ชัดเจนว่าเป็นของวิเศษอะไร เขาก็ยิ่งใจสั่นหวั่นไหวอยากได้แล้ว
ไม่ให้ใจสั่นคงไม่ได้หรอก ถ้าอยากจะปกป้องชีวิตตัวเองก็ต้องเอามาครอบครองให้ได้ ตอนนั้นหลังจากได้รู้สถานการณ์ของการทดสอบครั้งนี้ชัดเจน ก็พบว่าคนส่วนใหญ่ที่มาล้วนมีตระกูลใหญ่หนุนหลัง ถ้าในมือตัวเองไม่มีอาวุธดีๆ แล้วบังเอิญเจอกับคู่ต่อสู้คนอื่นที่มีของเด็ด แค่คิดก็รู้แล้วว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร
ที่จริงตอนนั้นเขาก็โน้มน้าวหยางไท่กับสวีถังหรานแล้ว ตอนหลังถึงได้เกิดภาพที่เขายกจอกสุราดื่มขอโทษเหมียวอี้ อยากจะทำให้เหมียวอี้สงบลงก่อน พวกเขาไม่มีทางเลือก เพราะไม่สามารถลงมือแย่งชิงได้ที่จวนผู้บัญชาการน่านฟ้าชวดอี่ ถ้ายังไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบอย่างเป็นทางการ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะลงมือในขณะที่มีคนควบคุมอยู่ ทำได้เพียงปลอบโยนเหมียวอี้ให้เหมียวอี้ลดความระมัดระวังตัว ในอนาคตจะได้ลงมือได้สะดวก
มาโน้มน้าวมู่หรงซิงหัวตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้ามู่หรงซิงหัวไม่เห็นด้วย พวกเขาก็ไม่สามารถลงมือได้ เฉาว่านเสียงพูดไว้ชัดเจนแล้ว ว่าถ้ามู่หรงซิงหัวไม่สามารถรอดชีวิตกลับไปได้ ต่อให้พวกเขากลับไปก็ตายอยู่ดี ไม่สามารถหลบเลี่ยงมู่หรงซิงหัวได้
มู่หรงซิงหัวลังเลครู่หนึ่ง นางมองไปที่หยางไท่กับสวีถังหราน แล้วถามว่า “พวกเจ้าสองคนแน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้?”
หยางไท่ทำท่าเหมือนโดนบีบบังคับ ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “พวกเราย่อมไม่อยากทำแบบนี้อยู่แล้ว แต่ที่พี่เจิ้งพูดก็มีเหตุผล ภายใต้สถานการณ์ที่คู่ต่อสู้คนอื่นมีของวิเศษดีๆ เหมือนกัน วรยุทธ์ของหนิวโหย่วเต๋อต่ำไปจริงๆ ปล่อยให้ของอยู่ในมือเขาก็ไม่มีประโยชน์ หัวหน้าภาคเฉาบอกเอาไว้แล้ว พวกเราเองก็ทำไปเพราะอยากมีหวังในการส่งเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัยนะ!”
สวีถังหรานได้ยินแล้วพยักหน้า แสดงออกว่าเห็นด้วยเหมือนกัน
ที่จริงเขาเป็นคนที่ไม่มั่นใจที่สุด เพราะเขาเคยสัมผัสถึงฝึมือของเหมียวอี้มาแล้ว แต่สถานการณ์ก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าเขาบอกว่าเหมียวอี้เก่งกว่าเขา ก็เป็นไปได้สูงว่าเจ้าพวกนี้จะปล่อยเหมียวอี้ไปแล้วมาแพ่งเล็งเขาแทน จะต้องเปลี่ยนเป้าหมายในการแย่งของวิเศษมาเป็นเขาแน่นอน ถึงตอนนั้นคนที่จะโดนฆ่าคงไม่ใช่เหมียวอี้ แต่เปลี่ยนเป็นเขาแทน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงผลักเพื่อนไปตายแทน
ที่จริงมู่หรงซิงหัวก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ แต่ในใจนางเหมือนมีหนามตำอยู่ เพราะนางเคยแสร้งทำตัวบริสุทธิ์สูงส่งและดูถูกที่เหมียวอี้ชอบผู้หญิงที่มีสามี ตอนนี้เรื่องฉาวโฉ่ของตัวเองร้ายแรงยิ่งกว่า พอเห็นเหมียวอี้ก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวแล้ว ต่อให้เป็นตอนที่เหมียวอี้เผลอมองนางอย่างไม่ตั้งใจ นางก็ยังรู้สึกว่าเหมียวอี้กำลังแขวะนาง
ดังนั้น นางเองก็ไม่อยากให้เหมียวอี้มีชีวิตอยู่เหมือนกัน อยากจะให้เหมียวอี้ตายตั้งนานแล้ว!
ทว่าพอคิดดูอีกมุมหนึ่ง นางก็ยังต้องยอมแพ้ให้กับความจริง ถ้าไม่ใช่เพราะต้องยอมแพ้ให้กับความจริง นางคงไม่ต้องไปปรนนิบัติอยู่ใต้หว่างขาของเฉาว่านเสียงหรอกนางไม่เหมือนสวีถังหราย แล้วก็ไม่ได้ล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงด้วย นางจะต้องกอดขาโค่วเหวินหลานเอาไว้ให้แน่น สิ่งที่โค่วเหวินหลานกำชับไว้ จะทำสำเร็จหรือไม่ก็ย่อมไม่สำคัญอยู่แล้ว เป้าหมายหลักคือต้องเอาชีวิตรอดกลับไป ถ้าไม่มีแม้แต่ชีวิตรอดกลับไป อย่างอื่นยังจะมีอะไรให้คุยอีก?
ผู้บัญชาการหนึ่งพันคนที่มาวันนี้ ทุกคนแทบจะมีพรรคพวกของตัวเองหมด รวมทั้งพวกที่โชคร้ายอย่างเจิ้งหรูหลงด้วย ทุกคนล้วนต้องกลับไปยังที่ที่ตัวเองอยู่ ไม่มีทางดึงมาเป็นพวกได้ ถ้ามีคนเพิ่มก็เท่ากับมีผู้ช่วยเพิ่ม มิหนำซ้ำโอกาสที่เหมียวอี้จะรอดชีวิตกลับไปในครั้งนี้ก็มีไม่มากอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องสู้กันเอง ต่อให้เหมียวอี้รอดชีวิตกลับไปได้ เหมียวอี้ก็ยังทำงานอยู่ใต้สังกัดของเฉาว่านเสียง ถ้ามีนางกระซิบอยู่ข้างหมอนของเฉาว่านเสียง ยังจะกลัวอีกเหรอว่าเหมียวอี้จะไม่ตาย? โอกาสน่ะมีอยู่แล้ว!
หลังจากไตร่ตรองแล้ว มู่หรงซิงหัวก็บอกว่า “ที่จริงก็ไม่ต้องรีบลงมือก็ได้ ทุกคนลองคิดดูสิ ผู้บัญชาการตั้งหนึ่งพันคน เป็นไปไม่ได้ที่จะเริ่มเข่นฆ่ากันเองตั้งแต่เริ่มต้น จะต้องช่วงชิงกันในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายแน่นอน ไม่มีใครอยากทำให้กำลังคนฝ่ายตัวเองเสียหายหรอก ดังนั้นรอก่อนเถอะ ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าสามารถแย่งของดีจากมือคนอื่นมาให้พี่เจิ้งได้ การปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อรอดก็มีประโยชน์ต่อพวกเราเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็มีผู้ช่วยเพิ่มอีกคน ทุกคนคิดว่ายังไงบ้าง?”
หยางไท่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ก็มีเหตุผลเหมือนกัน”
ส่วนสวีถังหรานก็พยักหน้าขานรับ “อืม” ไม่ได้แสดงท่าทีให้ชัดเจนเต็มที เขาลอยไปตามลมอย่างเดียว ลมพัดไปทางไหน เขาก็ลอยไปทางนั้น การปกป้องชีวิตตัวเองสำคัญที่สุด ในบรรดาพวกเขา นอกจากเหมียวอี้ก็มีเขาที่วรยุทธ์ต่ำสุด ไม่มีสิทธิ์พูดตัดสินใจ
เจิ้งหรูหลงขมวดคิ้ว หลังจากเข้าสู่การทดสอบแล้ว ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เพื่อวางแผนให้ชีวิตน้อยๆ ของตัวเอง ย่อมต้องหาของวิเศษดีๆ สักชุดมาไว้ในมือเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เป็นเพราะคนวรยุทธ์สูงอย่างเขาไม่มีอำนาจตัดสินใจ แต่เป็นมู่หรงซิงหัวที่มีอำนาจตัดสินใจ มิหนำซ้ำอีกสองคนที่เหลือก็พยักหน้าแล้วด้วย
เป็นแค่โสเภณีที่ขายตัว จะมาแสร้งทำตัวเป็นคนดีทำไม ทำข้าเสียเรื่องหมด! เจิ้งหรูหลงแอบด่าในใจ แต่ภายนอกยังคงพยักหน้ายิ้ม “ได้ งั้นก็เชื่อฟังผู้บัญชาการมู่หรงแล้วกัน”
แต่ที่จริงในใจเขามีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ตราบใดที่มีโอกาสเหมาะสม เขาก็ไม่ถือสาที่จะลงมือกับเหมียวอี้เองด้วยตัวคนเดียว ถ้าฆ่าเหมียวอี้แล้วได้ของมาไว้ในมือแล้ว เมื่อไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว คนพวกนี้ก็คงพูดอะไรอีกไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ยังต้องอาศัยศักยภาพของเขา
ในขณะนี้เอง จู่ๆ ก็มีคนอุทานถามอย่างตกใจ “พวกเจ้ามาหลบทำอะไรอยู่ที่นี่?”
พวกเขาหันไปมอง เห็นเหมียวอี้ตามหาที่นี่พบแล้ว กำลังยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามสระน้ำและมองมาที่พวกเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ
กระทั่งเหมียวอี้กระโจนตัวเข้ามา มู่หรงซิงหัวจึงตอบเสียงเรียบว่า “ไม่มีอะไร แค่อยากจะดูสักหน่อยว่าจะหาพันธมิตรเพิ่มได้หรือเปล่า มีเพิ่มอีกคนก็ได้แรงอีกแรง”
เหมียวอี้รีบกวาดสายตามองดูปฏิกิริยาของคนอื่นๆ แล้วถามกลั้วหัวเราะว่า “ทำไมไม่เรียกข้ามาด้วยล่ะ?”
เจิ้งหรูหลงตอบว่า “ตอนนี้คนยิ่งมามากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าทุกคนออกมาจากตรงนั้นหมด อีกประเดี๋ยวที่พักของพวกเราคงโดนคนอื่นแย่ง ต้องเหลือคนไว้เฝ้าด้วยสิ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “เกรงว่าคงหาไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรอกมั้ง ถ้าเปลี่ยนรางได้ตามใจชอบจริงๆ เกรงว่าพี่เจิ้งคงจะออกจากกลุ่มพวกเราไปแล้ว”
หยางไท่ถอนหายใจ “ใช่แล้ว! เจ้าพูดถูก หาไม่เจอแล้วจริงๆ ช่างเถอะ กลับกันได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเดี่ยวจะโดนคนอื่นแย่งที่แล้วจริงๆ”
ตอนนี้พวกเขาถึงได้หันตัวกลับมา เหมียวอี้ที่เดินตามช้าๆ อยู่ข้างหลังกลับสังเกตสภาพพื้นที่ที่พวกเขาเพิ่งยืนคุยกันเมื่อครู่นี้อีกครั้ง เป็นริมสระน้ำที่มีภูเขาจำลองบัง ชัดเจนว่าเป็นที่ลับตาคน แน่นอนว่าการหาสถานที่คุยกันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ในใจเหมียวอี้เริ่มมีความเคลือบแคลงราวกับโดนเมฆหมอกปกคลุม ในดวงตาฉายแววเย็นเยียบดุร้ายแล้ว!
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทั้งสี่หลบไปทำตัวลับๆ ล่อๆ คุยอะไรกัน แต่เขาก็สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว ครั้งแรกเป็นที่จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดอี่ เจิ้งหรูหลง หยางไท่ สวีถังหรานเคยหลบเขาไปแล้วรอบหนึ่ง ครั้งนี้ก็ทำแบบนี้อีก มีเรื่องอะไรที่จะต้องหลบเลี่ยงเขาด้วยล่ะ?
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร สรุปว่าเหมียวอี้ก็แน่ใจว่าต้องเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้ตนรู้แน่นอน!
ในฐานะที่วนเวียนอยู่กับคาบเกี่ยวความเป็นความตายของการต่อสู้เข่นฆ่า เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ ในหัวเหมียวอี้ก็มีความฉลาดในเรื่องนี้แล้ว!
หลายวันหลังจากนั้น เวลาทดสอบอย่างเป็นทางการก็มาถึง ผู้บัญชาการที่อยู่บนรายชื่อมากันเกือบครบ สาเหตุที่มากันเกือบครบ เพราะเกิดเหตุไม่คาดคิดกับบางคนระหว่างทาง ผลของการมาไม่ถึงตามกำหนดเวลาร้ายแรงมาก คนที่มาถึงแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องนี้
ประตูค่ายกลที่ล้อมสวนเปิดออก ผู้บัญชาการทุกคนทยอยกันออกมาราวกับปลาว่ายน้ำ ตรงประตูมีคนกำลังถือแผ่นหยก ทุกคนที่ออกไปล้วนลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้บนแผ่นหยกนั้น ทำแบบนี้เพื่อตรวจสอบจำนวนคนอีกครั้ง จะได้ป้องกันไม่ให้มีคนเล่นสกปรก
ผู้บัญชาการที่ยามปกติได้เสพสุขกับลาภยศความร่ำรวยเต็มที่ ตอนนี้โดนทำให้รู้สึกเหมือนเป็นนักโทษ พอออกจากสวนก็มารวมตัวอยู่ภายใต้การเฝ้าคลุมของกลุ่มคน
เมื่อชายหน้าขาวสีหน้าเย็นเยียบที่สวมหมวกดำชุดดำปรากฏตัว สมาชิกที่อยู่ทางว้ายและขวาก็นิ่งเงียบ แม้แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินชิงก็ยืนอย่างซื่อสัตย์ไม่กล้าขยับตัวซี้ซั้ว
หลังจากตรวจสอบสมาชิกทุกคนเสร็จแล้ว พ่อบ้านที่รับหน้าที่ดำเนินการก็รายงานกับชายใบหน้าเย็นเยียบคนนั้นว่า “นายท่านผู้คุม นอกจากสมาชิกหกคนนั้นที่เกิดเหตุไม่คาดคิดระหว่างทาง คนอื่นๆ ก็มาครบหมดแล้ว หกคนนั้นกำลังเร่งตามมา ส่งข่าวมาว่าจะถึงภายในครึ่งวันนี้”
ชายใบหน้าเย็นเยียบกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “ในเมื่อรู้ว่าอาจจะเกิดเหตุไม่คาดคิด ทำไมไม่ออกเดินทางล่วงหน้าเพื่อเหลือทางกลับตัวให้ตัวเอง? เห็นบัญชาสวรรค์เป็นของเด็กเล่น! ไม่ต้องรอแล้ว หกคนนั้นรวมทั้งผู้คุมส่ง แล้วก็ผู้บัญชาการใหญ่กับหัวหน้าภาคของพวกเขา ไม่ว่าจะมีภูมิหลังเป็นอย่างไร เดี๋ยวกลับไปตัดหัวของพวกเขาส่งมาให้ข้าพร้อมกัน!” จากนั้นก็กวาดสายตาเย็นเยียบมองทุกคน “ออกเดินทาง!”
“ขอรับ!” พ่อบ้านเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหันมาตะโกนบอกทุกคน “ออกเดินทาง!”
…………………………