พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 1009 การทดสอบเริ่มต้นแล้ว
ตามเสียงคำสั่ง คนหนึ่งพันกว่าคนพุ่งขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว พุ่งขึ้นบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่พร้อมกัน เป็นภาพที่อลังการงานสร้างมาก
เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้เห็นนักพรตบงกชทองมากมายขนาดนี้เหาะพร้อมกัน ถ้าดึงกำลังคนพวกนี้ไปที่พิภพเล็ก ก็คงจะกวาดล้างพิภพเล็กได้โดยไม่เปลืองแรง ต่อให้เป็นหกปราชญ์ก็ต้านทานไม่ไหว!
ภายใต้การคุมส่งตัวจากบนล่างซ้ายขวาหน้าหลัง กลุ่มผู้บัญชาการใช้เวลาเหาะหนึ่งวันเต็มๆ กว่าจะมาเหยียบลงบนดาวเคราะห์ที่รกร้างแห่งหนึ่ง เหล่าผู้บัญชาการที่ไม่เข้าใจอะไรพากันมองไปรอบๆ พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ทอดมองไปไกลๆ ก็เห็นประตูดวงดาวบานหนึ่ง
พอพ่อบ้านที่รับหน้าที่ดำเนินการออกคำสั่ง ที่ปรึกษาก็เคลื่อนไหวไปรอบๆ ต่างคนต่างถือแผ่นหยกไปแจกจ่ายให้พวกผู้บัญชาการ เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินชิงก็รวมอยู่ในนั้นด้วย
โค่วเหวินชิงจงใจเข้าใกล้พวกเหมียวอี้อย่างเห็นได้ชัด ตอนที่นำแผ่นหยกส่งถึงมือพวกเหมียวอี้ นางก็ถ่ายทอดเสียงบอกทั้งสี่ว่า “หลังจากไปถึง ‘สถานที่ไร้ชีวิต’ แล้ว ก็ไปที่ตลาดมืด ของ ‘ดาววิงวอนชีพ’ ไปหาเถ้าแก่เนี้ยฮวาหูเตี๋ยของ ‘โรงจำนำผีเสื้อ’ นางเก็บรวบรวมที่อยู่ของนักโทษหลบหนีบนรายชื่อเอาไว้ นางจะบอกให้พวกเจ้ารู้ พวกเจ้าจะได้ดำเนินการตามกฎได้สะดวก!” การถ่ายทอดเสียงนี้ไม่นับรวมเจิ้งหรูหลง นางไม่รู้ว่าเจิ้งหรูหลงเป็นใคร
ขณะที่พูดก็ซ่อนแหวนวงหนึ่งไว้ใต้แผ่นหยก จะได้ยัดให้สวีถังหรานได้สะดวก ขณะเดียวกันก็จงใจเผยให้เหมียวอี้เห็นแวบหนึ่ง อาศัยแผ่นหยกบังสายตาพวกมู่หรงซิงหัว เห็นได้ชักว่านางรู้ว่าใครคือคนของโค่วเหวินหลาน
เหมียวอี้เหลือบมองไปที่แหวน เป็นหยกดำสีดำขลับ บนแหวนมีผีเสื้อสีดำตัวหนึ่งที่สมจริงเสมือนมีชีวิต ช่วยพริบตาเดียวก็โดนสวีถังหรานเก็บไว้อย่างรู้สถานการณ์แล้ว
เหมียวอี้แอบทอดถอนใจ นี่ไม่ใช่การโกงเหรอ? แล้วอีกอย่าง นี่มันเรื่องอะไรกัน คนทำผิดกฎสวรรค์ที่ตำหนักสวรรค์ตามจับไม่ได้ แต่ตะกูลโค่วกลับมีข้อมูลที่อยู่ของนักโทษหลบหนีพวกนี้ไว้ในมือแล้ว มิน่าล่ะตำหนักสวรรค์ถึงต้องจัดการทดสอบครั้งนี้ขึ้นมา
เมื่อร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูแผ่นหยกในมือ ก็พบว่าเป็นรายชื่อฉบับหนึ่งจริงๆ ชื่ออะไร วรยุทธ์เท่าไร ทำความผิดอะไร เรียกได้ว่าเขียนไว้บนนั้นหมดแล้ว
เมื่อดูตั้งแต่ต้นจนจบรอบหนึ่ง ถึงได้พบว่าตัวเองคิดมากเกินไป เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะคดีปล้นเกาะศักดิ์สิทธิ์ เขากังวลว่าตัวเองจะอยู่ในรายชื่อนักโทษ ตอนนี้พอมาดูแล้ว ก็พบว่าไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ เพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนทำ ตัวเองจะถูกเขียนไว้ในรายชื่อได้อย่างไร?
หลังจากแจกแผ่นหยกเสร็จแล้ว พ่อบ้านที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็กล่าวเสียงดังว่า “นี่คือภารกิจในการทดสอบครั้งนี้ของพวกเจ้า รายชื่อในแผ่นหยกคือนักโทษหนึ่งร้อยคนที่ทำผิดกฎสวรรค์ พวกเขาหลบหนีมาตลอด ยังจับตัวไม่ได้ พวกเจ้าต้องไปสำเร็จโทษพวกเขา! ผลการทดสอบจะดีหรือไม่ ก็จะพิจารณาจากจำนวนนักโทษที่พวกเจ้าจับกุม การให้รางวัลและการลงโทษจะอิงตามฝีมือนี้”
ตอนนี้เพิ่งจะประกาศหัวข้อทดสอบ มีคนไม่น้อยแอบขำในใจ เกรงว่าคนส่วนใหญ่คงรู้ตั้งนานแล้ว
พ่อบ้านคนนั้นโบกมือชี้ไปยังประตูดวงดาวที่อยู่ไกลๆ “เมื่อข้ามประตูดวงดาวบานนั้นไปก็จะเป็น ‘สถานที่ไร้ชีวิต’ นักโทษที่อยู่บนรายชื่อล้วนถูกคัดลือกมาหลังจากได้รับข้อมูล ได้รับการยืนยันแล้วว่านักโทษพวกนั้นซ่อนตัวอยู่ที่ ‘สถานที่ไร้ชีวิต’ หลังจากพวกเจ้าเข้าไปในสถานที่ไร้ชีวิตแล้ว ตำหนักสวรรค์จะปิดผนึกทางเข้าออกทั้งหมดของน่านฟ้าผืนนั้น พวกเจ้าจะได้จับตัวนักโทษได้สะดวก ระยะเวลาการทดสอบคือหนึ่งปี! หลังจากครบกำหนดเวลา ก็สามารถรายงานผลภารกิจตรงทางออกที่กำหนดไว้บนแผ่นหยก ถ้ามีใครหลบหนีไปโดยพลการ ประหาร! ทุกคนเข้าใจแล้วใช่มั้ย?”
“เข้าใจแล้ว!” ทุกคนเอ่ยรับอย่างพร้อมเพรียง
พ่อบ้านหันซ้ายหันขวาแล้วสั่งทันทีว่า “ตรวจสอบตัวตนให้ดี ออกเดินทาง!”
ดังนั้น เหล่าผู้บัญชาการจึงเริ่มเรียงแถวลงตราอิทธิฤทธิ์เพื่อเทียบตรวจอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้ประทับตราอิทธิฤทธิ์ลงบนแผ่นหยกแล้ว แต่ประทับลงในเครื่องมือชิ้นหนึ่ง ทุกครั้งที่ประทับตราอิทธิฤทธิ์ เครื่องมือรูปทรงกลมชิ้นนั้นก็จะกะพริบแสงสายหนึ่ง
คนที่ตรวจผ่านแล้วแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มละเก้าคน จะมีที่ปรึกษาหนึ่งคนคอยนำกลุ่มเหาะไปยังประตูดวงดาวบานนั้น
พวกเหมียวอี้เดินตามกลุ่มไปอย่างช้าๆ เพราะทางข้างหน้ายากจะคาดเดา คนในกลุ่มแต่ละคนเงียบงันไม่พูดอะไร
ที่เรียกว่า ‘สถานที่ไร้ชีวิต’ อะไรนั่น เหมียวอี้ก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน เหมือนจะเป็นสถานที่ที่ถูกยึดครองโดยพวกคนเลวทรามป่าเถื่อน สาเหตุที่เรียกว่าสถานที่ไร้ชีวิต ก็เพราะจะสื่อความหมายว่า ‘มีแต่ตาย ไม่มีรอด’ ดังนั้นน่านฟ้าผืนนี้จึงมีปัจจัยแวดล้อมที่เลวร้ายมาก ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย บนดาวเคราะห์ทุกดวงที่อยู่ในน่านฟ้านั้นไม่มีมนุษย์ธรรมดาอาศัยอยู่เลย นี่คือที่มาของชื่อ ‘สถานที่ไร้ชีวิต’
และที่นั่นก็ไม่มีขุนนางของตำหนักสวรรค์เฝ้ารักษาการณ์ด้วย ส่วนสาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะคนส่วนใหญ่ของที่นั่นเป็นคนไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าเคยทำความผิดอะไรมา เพราะไม่อยากคบค้ากับตำหนักสวรรค์ ถึงได้มาหลบอยู่ที่ซอกหลืบแบบนี้ ถ้าตำหนักสวรรค์ส่งคนมานั่งรักษาการณ์ คนพวกนั้นก็จะเปลี่ยนสถานที่รวมตัวกันทันที ขอเพียงเจ้ายินดีส่งคนมา พวกเขาก็ยินดีที่จะเปลี่ยนสถานที่ ขอถามหน่อยว่าสถานที่ที่ไม่มีสมบัติอะไรเลย ตำหนักสวรรค์จะส่งคนไปนั่งรักษาการณ์ทำไม?
เห็นได้ชัดว่าโค่วเหวินชิงจงใจรอพวกเหมียวอี้ รอจนพวกเหมียวอี้ผ่านการตรวจสอบแล้ว นางก็ก้าวเข้ามารับตัว หลังจากรวมกลุ่มได้ครบเก้าคน นางก็พาพวกเขาเหาะขึ้นฟ้าไป เมื่อเข้าใกล้ประตูดวงดาว ขณะที่โดนแรงดึงดูดมหาศาลของประตูดวงดาวดึงเข้าไป โค่วเหวินชิงก็ปล่อยกระสวยทองออกมา ลำแสงสายหนึ่งหมุนวนด้วยความเร็วสูง ครอบคนสิบคนให้ข้ามผ่านประตูดวงดาวไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อปรากฏท้องฟ้าอีกผืนหนึ่ง โค่วเหวินชิงก็บอกทุกคนด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “ที่นี่ก็คือสถานที่ไร้ชีวิต และเป็นสนามทดสอบของพวกเจ้า หนึ่งร้อยปีต่อไปนี้พวกเจ้าต้องแสดงความสามารถด้วยตัวเอง!” พูดจบก็ไม่สนใจพวกเหมียวอี้แล้ว นางจากไปพร้อมกับที่ปรึกษาอีกคนที่พาคนเข้ามาด้วยกัน ตรงนี้ไม่มีทางเดิมให้กลับ ต้องออกไปโดยใช้ทางออกอีกที่หนึ่ง แต่หลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว ประตูดวงดาวทั้งบานของสถานที่ไร้ชีวิตก็จะถูกปิดผนึกทันที
“พวกเราก็ไปกันเถอะ!” สวีถังหรานกล่าวอย่างร้อนใจ
คนในกลุ่มรู้ว่าเขากำลังกังวลอะไร เพราะเซี่ยโห้วหลงเฉิงยังไม่ได้เข้ามา เขากังวลว่าจะเจอเซี่ยโห้วหลงเฉิงอีก เมื่ออยู่ที่นี่เซี่ยโห้วหลงเฉิงคงจะไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น
มู่หรงซิงหัวก็ไม่อยากเจอเซี่ยโห้วหลงเฉิงเหมือนกัน แค่คิดก็รังเกียจแล้ว แม้แต่ชื่อก็ไม่อยากได้ยิน จึงโบกมือสั่งอย่างแน่วแน่ว่า “ไป!”
เมื่อหยิบแผนที่ดาวออกมาแล้ว ก็นำทุกคนเหาะออกไปด้วยความเร็วสูง เจิ้งหรูหลงที่ไม่ค่อยรู้สถานการณ์ชัดเจนรีบถามว่า “พวกเราจะไปที่ไหนกัน?” โค่วเหวินชิงถ่ายทอดเสียงโดยกันเขาเอาไว้
“ดาววิงวอนชีพ ตลาดมืด!” มู่หรงซิงหัวตอบ
“ดาววิงวอนชีพ ตลาดมืด…” ขณะที่เจิ้งหรูหลงกำลังพึมพำ ก็หันไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ปรากฏว่าเห็นเหมียวอี้กำลังกวาดตามองพวกเขาอยู่เหมือนกัน ทั้งสองจึงสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ
เจิ้งหรูหลงยิ้มให้ทันที เหมียวอี้ก็ยิ้มตอบเช่นกัน จากนั้นทั้งสองก็หยิบแผนที่ดาวออกมาดู
แต่ไม่รู้ว่าเป็นการจงใจหรือไม่ เหมียวอี้กลับปรับเปลี่ยนตำแหน่งการเหาะยามอยู่ในกลุ่ม เขาเหาะมาอยู่ข้างกายสวีถังหราน ดึงสวีถังหรานพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าวรยุทธ์ไม่สูง รบกวนพี่สวีพาข้าไปด้วยนะ”
สวีถังหรานพูดไม่ออก เจ้าวรยุทธ์ไม่สูงพอ ก็ควรจะไปหาเกาะคนที่วรยุทธ์สูงกว่าเจ้าสิ ให้ข้าพาเจ้าไปด้วยเนี่ยนะ?
แต่เขาก็แค่หัวเราะแห้งๆ ปล่อยแขนข้างหนึ่งให้เหมียวอี้เกาะไว้
ถ้ามองจากมุมของเหมียวอี้ นี่คือการอาศัยร่างกายของสวีถังหรานเพื่อกันคนอื่นๆ ออกจากเขา รักษาระยะห่างไว้สักหน่อย ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก แค่เพราะสวีถังหรานมีวรยุทธ์ต่ำ สามารถรับมือได้สะดวก ทั้งยังทำเป็นสิ่งกีดขวางได้ด้วย เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา จะได้มีเวลารับมือมากขึ้นหน่อย!
คนนอกเห็นแค่ตอนที่เหมียวอี้เสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวย มีสาวงามให้กอดซ้ายกอดขวา วาสนาเรื่องผู้หญิงมีไม่ขาด แต่กลับไม่รู้ว่าเขาใช้ชีวิตผ่านมาอย่างไรหลังจากก้าวเข้าแดนฝึกตน
มือใหม่ไร้ประสบการณ์เข้าถ้ำล่องนิภา ปรากฏว่าโดนหยวนเจิ้งคุนประมุขถ้ำล่องนิภาทรยศ โดนให้เป็นตัวตายตัวแทนสกัดข้าศึกเพื่อถ่วงเวลา ต้องสู้รบจนเกือบตาย หลังจากยอมแพ้ให้หยางชิ่งแล้ว ก็โดนคนลอบฆ่าที่วัดเมี่ยวฝ่า เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอดอีกครั้ง เป็นเพราะแค้นเก่าของหญิงรับใช้ของสงเซียว ทำให้ถูกสงเซียววางแผนลอบสังหาร ชีวิตตกอยู่ในวิกฤตครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนหลังโดนพี่ชายร่วมสาบานของตัวเองวางแผนทำร้ายทางอ้อม ทำให้ต้องไปเสี่ยงชีวิตที่ทะเลดาวนักษัตร
การเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่ตามมาตอนหลังก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ถ้าให้คิดทีละบัญชีก็คงไม่หมด แต่หลังจากที่เขาเผชิญความเป็นความตายมาหลายครั้ง ตัวเขาเองก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเช่นกัน ค่อยๆ เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มเลือดร้อนในปีนั้นเป็นคนปลิ้นปล้อนเจ้าแผนการ นี่คือราคาที่ต้องจ่ายเมื่อเติบโตขึ้น คือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อความอยู่รอด!
และในตอนนี้เขาก็รู้สึกตื่นตัวอีกครั้ง คนที่มองเห็นเพียงด้านที่สวยงามของเขา จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาต้องทุกข์ทรมานหรือจ่ายอะไรบ้างเพื่อความอยู่รอด ต้องอยู่ระหว่างคาบเกี่ยวความเป็นความตายกี่ครั้ง ต้องเผชิญอันตรายกี่ครั้ง ต้องปรับตัวรับมือวิกฤตกี่ครั้ง ผ่านไปแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะมาถึงเมื่อไร ทำได้เพียงเตรียมตัวตั้งรับทุกอยู่ตอลดเวลา เพียงแต่ไม่บอกคนนอกก็เท่านั้นเอง…
ณ สถานที่ไร้ชีวิต ถึงแม้ชื่อของมันจะทำให้คนฟังสิ้นฟัง แต่เป็นท้องฟ้าที่สวยงามที่สุดเท่าที่เหมียวอี้เคยเห็นมา ก้อนเมฆที่สีสันสดใสแพรวพราวนั่นช่างอลังการจนเหลือเชื่อ เป็นหมู่ดาวหลากสีสัน ราวกับภาพฝันมายา ทำให้คนจินตนาการไม่ออกเลยว่า ต้องมีพลังแข็งแกร่งขนาดไหนถึงทำให้ท้องฟ้าผืนนี้เปลี่ยนเป็นยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดนี้ได้!
หลังจากมาถึงดาววิงวอนชีพ เหมียวอี้ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมมนุษย์ธรรมดาถึงอาศัยอยู่ที่นี่ไม่ได้
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ดาววิงวอนชีพหันหน้าไปยังทิศทางเดียวอยู่ตลอด ด้านหนึ่งโดนแสงอาทิตย์ส่องอยู่ตลอด ส่วนอีกด้านอยู่ในความมืดมิดตลอด เป็นดาวเคราะห์ที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ในความมืดถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ อีกด้านหนึ่งร้อนจี๋ไร้ที่เปรียบ ส่วนอีกด้านก็เหน็บหนาวเข้ากระดูก ไม่เหมาะจะให้มนุษย์ธรรมดาดำรงชีวิตเลยจริงๆ
แต่ตรงจุดที่ความมืดกับแสงสว่างตัดสลับกัน กลับเป็นสีที่ต่างออกไป สีเขียว!
มีเพียงสถานที่แบบนี้ที่เหมาะแก่การดำรงชีวิต ตอนที่ลอยสำรวจอยู่บนฟ้า ก็มีคนหลายกลุ่มเหาะไปยังพื้นที่สีเขียวที่อยู่ตรงกลางนั่นแล้ว พวกเขาคือผู้บัญชาการที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้เช่นกัน ก่อนหน้านี้เคยเจอหน้ากันมาแล้ว
แต่ละคนมองหน้ากันเลิกลั่ก นึกไม่ถึงว่าจะมีคนอื่นมุ่งตรงมาที่นี่ด้วย พวกเขายังไม่เคยมาที่นี่เลย หลังจากปรึกษาหารือกันครู่เดียว ก็เหาะไปทางกลุ่มคนเหล่านั้น
ตรงจุดที่ห่างจากภูเขาหิมะสูงหลายสิบลี้ ป่าทึบเขียวชอุ่มเผืนหนึ่งที่แผ่ขายออกไปราวกับแถบผ้า ข้างหน้ามองไม่เห็นหัว ข้างหลังมองไม่เห็นหาง พืชพรรณในป่าผืนนี้แปลกประหลาดมหัศจรรย์ ทิ้งภาพลักษณ์เพียงอย่างเดียวให้กับผู้ที่มาใหม่ ปีศาจ!
ทว่าในป่าทึบที่ดูแปลกประหลาดมากผืนนี้ ทุกที่มีสิ่งปลูกสร้างหลากหลายแบบกระจายอยู่หร็อมแหรม ไร้ระเบียบ ไร้แบบแผน และดูออกว่าไม่มีใครควบคุม อยากจะก่อสร้างอย่างไรก็ก่อสร้างอย่างนั้น เห็นคนผ่านไปผ่านมาในป่าเป็นระยะ เพียงแต่ที่นี่ไม่มีถนนที่ตั้งใจสร้าง ล้วนเป็นทางเล็กๆ ในป่าที่เกิดจากคนเดินเหยียบ
พวกเหมียวอี้เหยียบลงในป่า พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง คาดว่าคงมาไม่ผิดที่
บังเอิญมีชายชราคนหนึ่งเดินเอามือไขว้หลังเข้ามา มู่หรงซิงหัวจึงก้าวเข้าไปกุมหมัดคารวะ “ขออนุญาตถาม โรงจำนำผีเสื้อไปอย่างไร?”
“ถามทางเหรอ!” ชายชราหยุดฝีเท้าและมองสำรวจพวกเขาแวบหนึ่ง แล้วยื่นมือไปหามู่หรงซิงหัวพร้อมกล่าวกลั้วหวัเราะ “เอามาหนึ่งร้อยล้านผลึกแดง แล้วข้าจะบอกเจ้า ไม่อย่างนั้นก็ไปถามคนอื่น แต่อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ ไปหาคนอื่นอาจจะแพงกว่านี้!”
มู่หรงซิงหัวจึงยิ้มพร้อมถามว่า “ท่านผู้เฒ่า แค่ถามทางก็ต้องจ่ายหนึ่งร้อยล้านผลึกแดง แพงไปหน่อยหรือเปล่าคะ?”
ชายชราหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “ไม่ชอบที่เยอะเกินไปเหรอ งั้นพวกเจ้าก็ไปถามคนอื่นแล้วกัน ข้าไม่เอาเงินนี้ก็ได้!”
“หยุดก่อน!” เหมียวอี้พลันสั่งด้วยเสียงเย็นเยียบ หมอกสีทองกลุ่มหนึ่งลอยออกมา ชั่วพริบตาเดียวก็สวมเกราะรบสีทองไว้บนตัวแล้ว
ชายชราหันกลับมามอง ตะลึงงัน!
เหมียวอี้โบกทวนชี้ “ตำหนักสวรรค์กำลังปฏิบัติภารกิจ ผู้ที่ไม่ให้ความร่มมือ โดนลงโทษฐานฝ่าฝืนกฎ!” ฉวยโอกาสตอนที่ชายชรางุนงง โยนเชือกมัดเซียนเส้นหนึ่งออกมา แล้วมัดอีกฝ่ายเอาไว้โดยตรง
เจ้าบ้านี่ทำอะไรของมัน? พวกมู่หรงซิงหัวหน้าเครียดทันที กลัวคนอื่นจะไม่รู้หรือไงว่าพวกเราเป็นคนของตำหนักสวรรค์? ยังไม่ทันปิดบังตัวตน แต่ดูเจ้าทำสิ เป็นฝ่ายเปิดโปงตัวตนเองแล้ว!
…………………………