พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 1010 เป้าหมายแรก
แต่ไหนๆ ก็ทำไปแล้ว สมาชิกที่เหลือทำได้เพียงข่มไฟโกรธไว้ในใจ
ชายชราที่โดนมัดทำสีหน้าไม่ถูก เขามองดูเชือกมัดเซียนที่มัดตัวเองไว้แน่น แล้วก็เงยหน้ามองเหมียวอี้ ก่อนจะกล่าวอย่างจนใจว่า “ขุนนางสวรรค์ เจ้าไม่ต้องเอะอะก็จับมัดก็ได้มั้ง ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะไม่ให้ความร่วมมือ! ในเมื่อเป็นขุนนางสวรรค์ที่ปฏิบัติภารกิจ ข้าให้ความร่วมมือก็ได้”
เดิมทีเขาสามารถหลบหลีกได้ แต่โดนเหมียวอี้เผยฐานะของตำหนักสวรรค์จนตกใจกลัว เขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของคนพวกนี้ จึงไม่กล้าต่อต้าน
พอได้ยินคำพูดของชายชรา มู่หรงซิงหัวก็ค่อนข้างพูดไม่ออกนิด ตัวเองขอคำชี้แนะจากอีกฝ่ายดีๆ แต่โดนเก็บเงิน พอเหมียวอี้ใช้ไม้แข็งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง อีกฝ่ายก็เชื่อฟังทันที
“รู้จักให้ความร่วมมือก็ดีแล้ว!” เหมียวอี้ถาม “โรงจำนำผีเสื้อไปยังไง?”
ชายชราหันหน้าและบุ้ยปากไปทางทิศตะวันออก “ไปข้างหน้าอีกสามลี้ แล้วเดินเลียบแม่น้ำไปอีกสองลี้ พอเห็นร้านที่ติดกระดาษรูปผีเสื้อไว้เต็มใต้ชายคาก็แปลว่าถึงแล้ว” จากนั้นก็หันกลับมาถอนหายใจแล้วบอกว่า “ขุนนางสวรรค์ ตอนนี้ปล่อยข้าไปได้แล้วมั้ง ตาแก่คนนี้ไม่กล้ามีเรื่องกับขุนนางตำหนักสวรรค์ อุบ…”
ชายชราส่งเสียงคราง เบิกตากว้างสองข้าง ค่อยๆ ก้มหน้ามองดูท้องที่มีเลือดซึมของตัวเอง เหมียวอี้ใช้ทวนแทงท้องของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันก็ปล่อยเปลวเพลิงไร้รูปร่างใส่ร่างกายเขา
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าพูดจริงหรือโกหก ถ้าข้าแน่ใจแล้วว่าเจ้าพูดจริงค่อยปล่อยเจ้าไปก็ยังไม่สาย!” เหมียวอี้เก็บเขาเข้าในกระเป๋าสัตว์ แล้วหันมาบอกมู่หรงซิงหัว “ไปกันเถอะ!”
“เจ้า…” มู่หรงซิงหัวมองกระเป๋าสัตว์ของเขาแวบหนึ่ง นางตกตะลึงมาก จับคนไปอย่างนี้เลยน่ะเหรอ? เจ้าเป็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงคนที่สองชัดๆ ถึงทำเรื่องแบบนี้ได้
เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “พวกเราเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ผู้สง่าน่าเกรงขาม นักพรตอิสระเล็กๆ จะมาดูหมิ่นได้อย่างไร ทั้งยังบังอาจมาเก็บเงินพวกเราอีก ช่างใจกล้าคับฟ้า ย่อมต้องลงโทษอยู่แล้ว!”
มู่หรงซิงหัวถอนหายใจแล้วบอกว่า “เปิดโปงตัวตนไปแล้ว ถ้าทำให้คนที่จะโดนจับกุมตกใจหนีไปจะทำยังไง?”
“ถ้าทำให้ตกใจหนีไป คนอื่นก็จับไม่ได้เหมือนกัน ไม่ได้มีแค่พวกเราที่ซวย แล้วอีกอย่าง ก็ไม่มีใครเห็นเหมือนกัน” เหมียวอี้พูดกลั้วหัวเราะอย่างไม่แยแส ก่อนจะลงมือเขามองสำรวจรอบๆ แล้ว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนถึงได้ลงมือ
สมาชิกที่เหลือมองไปรอบๆ พบว่าไม่มีคนอื่นจริงๆ
เกราะสีทองบนตัวเหมียวอี้กลายเป็นหมอกสีทองเก็บเข้าในกำไลเก็บสมบัติ “ไปทางตะวันออกสามลี้ แล้วเดินเลียบแม่น้ำอีกสองลี้ ไปกันเถอะ!”
เจิ้งหรูหลงและคนอื่นๆ สบตากันแวบหนึ่ง พูดอะไรไม่ออกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว วิธีการทำงานแบบนี้มีประสิทธิภาพสูงจริงๆ
พวกเขาย่อมไม่เดินอย่างชักช้า เหาะขึ้นฟ้าเพื่อแยกแยะทิศทางโดยตรง จากนั้นก็เหาะออกไปเหยียบลงตรงตำแหน่งที่ชายชราบอก พอกวาดสายตามองรอบๆ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ตึกที่มีโครงสร้างแบบปิดตรงริมแม่น้ำ ใต้ชายคาแขวนผีเสื้อกระดาษทั้งตัวเล็กตัวใหญ่เอาไว้เต็มไปหมด สีสันแพรวพราว ปลิวขยับตามลม กระดิ่งลมหลายพรวนตรงประตูส่งเสียงไพเราะ มีเสน่ห์ไปอีกแบบ
“สงสัยเถ้าแก่ของที่นี่จะมีอารมณ์สุนทรีย์มาก” หยางไท่กล่าวกลั้วหัวเราะ
พวกเขาเดินมาถึงตรงประตู เห็นบนบนของวงกบประตูเขียนไว้ว่า ‘โรงจำนำ’ พอเดินเข้าไปข้างใน สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คือโต๊ะคิดเงินตัวหนึ่ง ข้างหลังโต๊ะมีเด็กหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิ
เมื่อเด็กหนุ่มเห็นแขกมา ก็ลุกขึ้นยืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านลูกค้า ต้องการจะจำนำของอะไรขอรับ?”
“พวกเราต้องการพบเถ้าแก่เนี้ย” มู่หรงซิงหัวตอบ
เด็กหนุ่มชะงักไปครู่เดียว แล้วกวาดตามองพวกเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่เนี้ยไม่อยู่ขอรับ ถ้ามีธุระอะไรบอกข้าน้อยไว้ก่อนได้ ข้าน้อยจะไปแจ้งให้”
เห็นได้ชัดว่าเป็นข้ออ้าง พวกเขาขมวดคิ้ว ไม่เชื่อหรอกว่าเถ้าแก่เนี้ยของที่นี่จะไม่ได้รับแจ้งจากตระกูลโค่วก่อนที่พวกเขาจะม
ในตอนนี้เอง สวีถังหรานหยิบแหวนรูปผีเสื้อสีดำออกมาวงหนึ่ง แล้วสวมแหวนไว้บนนิ้ว จงใจจะให้เผยให้เด็กหนุ่มดู
เด็กหนุ่มจ้องมองทันที แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมาก หันกลับมาดึงเชือกที่อยู่เหนือศีรษะ ทำให้เกิดเสียงกระดิ่งดังก้องทันที จากนั้นก็ชี้ไปทางประตูด้านข้าง “ทุกท่านเลี้ยวซ้ายขึ้นตึกไป ชั้นบนสุด!”
เมื่อเปลี่ยนท่าทีแบบนี้ เหมียวอี้ก็รู้สถานการณ์แลว พวกมู่หรงซิงหัวกลับมองสวีถังหรานด้วยแววตาล้ำลึก ต่างก็นึกไม่ถึงว่าในมือสวีถังหรานจะมีแผนสำรอง
ตามที่เด็กหนุ่มแนะนำ พวกเขาเข้าไปที่ประตูด้านข้างแล้วขึ้นบันไดไป ตลอดทางไม่เห็นโคมไฟเลย แต่กลับมีแสงสว่างระยิบระยับสะท้อนหักเหผ่านกระจก ในแสงสว่างของกระจกยังมีเงาผีเสื้อสั่นไหวช้าๆ ด้วย ทำให้คนรู้สึกถึงความเร้นลับอันสงบเงียบ
เมื่อทั้งสามคนมาบนชั้นสาม ก็เห็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดลาย เป็นประโปรงยาวลายดอกไม้ มีดวงตาดอกท้อที่หวานฉ่ำเย้ายวนใจ หน้าตาสดใส งดงามเป็นที่สุด นางกำลังยืนกอดอกพิงหลังอยู่ที่วงกบประตู บนตัวอบอวลไปด้วยปราณปีศาจ สายตาหยุดชะงักที่แหวนผีเสื้อบนนิ้วสวีถังหราน แล้วกวักมือเรียก “เข้ามานั่งก่อนสิ!” นางหันตัวสะบัดเอวบางเดินเข้าไปในห้อง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน เขามองเห็นเงารางๆ ของอวิ๋นจือชิวในปีนั้นจากตัวของผู้หญิงคนนี้ เพียงแต่อวิ๋นจือชิวไม่ได้กรีดกรายหยาดเยิ้มเท่านางก็เท่านั้นเอง
ในห้องกว้างโล่ง มีโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าหนึ่งตัว มีเก้าอี้ไม้สี่ตัว เรียบง่ายไม่ฉูดฉาด ตอนสตรีชุดลายถือกาน้ำชามารินใส่ถ้วยให้พวกเขา สวีถังหรานก็ถามว่า “ท่านคือฮวาหูเตี๋ยเหรอ?”
สตรีชุดลายเพียงยิ้มบางๆ แล้วยื่นมือบอกว่า “นำแหวนมาให้ข้า!”
สวีถังหรานถอดแหวนยื่นให้นาง สตรีชุดลายหยิบแหวนเดินไปตรงหน้าลำแสงสายหนึ่งที่ส่องหักเหเข้ามาในห้อง พอนางปรับมุมแหวนวางลงไปตรงนั้น บนผนังที่ถูกลำแสงสายนั้นส่องก็ปรากฏเป็นเงามืดของผีเสื้อตัวหนึ่ง
ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก สวีถังหรานไม่รู้ว่าแหวนวงนี้ลึกลับขนาดนี้ สตรีชุดลายเก็บแหวน แล้วบอกว่า “ไม่ผิดหรอก ข้าคือเถ้าแก่เนี้ยของโรงจำนำนี้ คนเรียกกันว่าฮวาหูเตี๋ย ข้ารู้จุดประสงค์ที่พวกเจ้ามาแล้ว นี่คือของที่พวกเจ้าต้องการ” ขณะที่พูดก็วางแผ่นหยกไว้บนโต๊ะ
หลังจากมู่หรงซิงหัวหยิบมาตรวจอ่าน ก็ขมวดคิ้วถามว่า “มีแค่เก้าคนเองเหรอ?”
ฮวาหูเตี๋ยนั่งลงข้างนางแล้วถอนหายใจ “เวลากระชั้นชิดเกินไป หัวข้อทดสอบของพวกเจ้าออกมาช้าเกินไป ข้าไปจัดการเรื่องนี้หลังจากได้ข้อมูล ให้เวลาสั้นขนาดนี้ ข้าหาที่อยู่ได้เก้าคนก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว คนอื่นกำลังช่วยพวกเจ้าสืบข่าวอยู่ เวลาภายในหนึ่งร้อยปี ไม่ต้องรีบร้อนทำภายในครั้งเดียวหรอก แล้วอีกอย่าง คนหนึ่งพันคนจับนักโทษหนึ่งร้อยคน ถ้าพวกเจ้ามีความสามารถที่จะจับเก้าคนนี้กลับไปได้หมด พวกเจ้าก็จะได้อยู่อันดับต้นๆ แน่นอน ที่เหลือก็ค่อยๆ หาแล้วกัน ถ้ามีข่าวอะไรเดี๋ยวเบื้องบนก็บอกพวกเจ้าเอง”
พอได้ฟังแบบนี้ ทุกคนไตรตรองดูแล้วก็เห็นด้วย ถ้าสามารถจับนักโทษหลบหนีเก้าคนนี้ได้ อันดับจะต้องไม่แย่แน่นอน แบบนั้นก็รายงานผลการปฏิบัติงานได้แล้ว
พวกเขาผลัดกันอ่านแผ่นหยก พบว่าบนดาววิงวอนชีพมีนักโทษในรายชื่อแค่สองคน คนอื่นๆ แทบจะกระจายตัวอยู่ที่ดาวอื่นของน่านฟ้าผืนนี้
หลังจากทุกคนทำสำเนาข้อมูลบนแผ่นหยกแล้ว ก็ส่งแผ่นหยกคืนให้มู่หรงซิงหัว
“สถานการณ์ก็เป็นแบบนี้ ที่นี่ไม่มีห้องให้ลูกค้าพัก ถ้าทุกคนไม่มีธุระอย่างอื่นแล้ว ข้าก็ส่งตรงนี้แล้วกัน” ฮวาหูเตี๋ยวางข้อศอกข้างหนึ่งลงบนโต๊ะ ถือถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบช้าๆ แล้วกล่าวอย่างเย็นชา น้ำเสียงดูเกียจคร้าน ให้ความรู้สึกเหมือนไม่แยแส
ในเมื่อเจ้าบ้านไม่ต้อนรับ พวกเขาก็ไม่สะดวกจะอยู่ต่อ บอกลากันตรงนี้
พอออกจากโรงจำนำ เหมียวอี้ก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง ผีเสื้อกระดาษปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม เสียงกระดิ่งยังคงดังไพเราะ เป็นบรรยากาศที่หาพบได้ยากในสถานที่ที่ต้องวิงวอนขอชีวิตแบบนี้ เพียงแต่ถ้าการทดสอบครั้งนี้จบลง เขาเดาว่าโรงจำนำแห่งนี้ก็คงต้องปิดตัวลงด้วยเช่นกัน ในเมื่อเปิดเผยแล้วว่ามีความเกี่ยวข้องกับตระกูลโค่ว ตระกูลโค่วคงไม่เก็บไว้ให้เป็นจุดอ่อนของตัวเอง
เรื่องบางเรื่องก็รู้อยู่แก่ใจ แต่กลับเปิดเผยออกมาไม่ได้ นักโทษหลบหนีที่ตำหนักสวรรค์หาไม่พบ แต่ตระกูลโค่วที่เป็นส่วนหนึ่งของตำหนักสวรรค์สามารถหาพบแต่กลับไม่ทุ่มเทจับตัวมา แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน? ตระกูลโค่วคงไม่เชื่อว่าพวกเขาจะปิดปากเงียบเรื่องนี้ได้ ในภายหลังโรงจำนำแห่งนี้ย่อมต้องปิดตัวลง
เหมียวอี้คิดว่าตัวเองพอจะเข้าใจ ว่าทำไมฮวาหูเตี๋ยถึงไม่ค่อยต้อนรับพวกเขา
ตอนที่ยืนอยู่หน้าโรงจำนำ พวกเขาก็มองไปรอบๆ สวีถังหรานถ่ายทอดเสียงถามว่า “ตอนนี้จะทำยังไงดี?”
มู่หรงซิงหัวตอบว่า “ตามสถานที่ที่ฮวาหูเตี๋ยให้มา ที่ป่าลืมทุกข์ที่ห่างจากตลาดมืดออกไปสองพันลี้ คือที่ซ่อนของนักโทษหลบหนีซูลู่เอ๋อร์ ที่นี่อยู่ใกล้พวกเราที่สุด จะลงมือเลยมั้ย?”
ซูลู่เอ๋อร์! พวกเขาหยิบรายชื่อที่ได้รับแจกมาอ่าน ทำความเข้าใจสถานการณ์ของนางแล้ว
เป็นปีศาจงูขียวตัวหนึ่ง เดิมทีเป็นอนุภรรยาของหัวหน้าภาคคนหนึ่ง ตอนหลังฆ่าคนปล้นทรัพย์ ไม่น่าเชื่อว่าจะสังหารขุนนางของตำหนักสวรรค์ ซึ่งเป็นสามีของนางนั่นเอง หัวหน้าภาคท่านนั้น เป็นเรื่องเมื่อแปดร้อยกว่าปีก่อน เนื่องจากทิศทางไม่ชัดเจน จนกระทั่งวันนี้จึงยังแก้ไขคดีไม่ได้!
พอมาถึงก็จะเริ่มลงมือเลยเหรอ? ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง แล้วสวีถังหรานก็บอกว่า “ซูลู่เอ๋อร์ ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นชิงเหมย แปดร้อยปีก่อนวรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่ ตอนนี้คงจะบงกชทองขั้นห้าแล้ว มีพี่เจิ้งอยู่คงจับตัวได้แน่นอน เพียงแต่ดูจากข้อมูลที่ฮวาหูเตี๋ยให้มา ตอนนี้ซูลู่เอ๋อร์กลายเป็นฮูหยินของปานเยว่กงของป่าลืมทุกข์แล้ว วรยุทธ์ของปานเยว่กงคือบงกชทองขั้นเก้านะ เขาคงไม่ดูฮูหยินของตัวเองโดนจับไปเฉยๆ แน่ พวกเราจะทำสำเร็จเหรอ?”
พอพูดจบ ขณะที่ทุกคนกำลังพิจารณา จู่ๆ เจิ้งหรูหลงก็บอกว่า “เอาแบบนี้ดีมั้ย เดี๋ยวข้ารับมือกับปานเยว่กงเอง ข้าจะหาทางล่อเขาออกไป จากนั้นพวกเจ้าค่อยลงมือจัดการซูลู่เอ๋อร์ แบบนี้เป็นไง?” ขณะที่พูดก็มองรอบวง
ทุกคนนึกไม่ถึงว่าเขาจะยินดีเสนอตัวไปเสี่ยงอันตราย ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้ว คนที่เหลือก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร มีของวิเศษที่โค่วเหวินหลานมอบให้ คาดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร พวกเขาย่อมเห็นด้วย จึงเหาะขึ้นฟ้าไปทันที
ดาววิงวอนชีพตรงที่ความมืดและแสงสว่างรวมกัน ถ้าอิงตามพิกัดของดวงอาทิตย์ บริเวณป่าทึบที่เหมือนมีเส้นผ้าล้อมรอบคือทางไปตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเขาเหาะไปทางเหนือด้วยความเร็วสูง ระยะทางสองพันลี้ไม่นับว่าไกลสำหรับพวกเขา
อิงตามแผนที่ที่ฮวาหูเตี๋ยให้มา เจิ้งหรูหลงเรียกให้ทุกคนหยุดตรงจุดที่ห่างจากป่าลืมทุกข์หลายสิบลี้ แล้วบอกเหมียวอี้ว่า “ผู้บัญชาการหนิว ข้าไปครั้งนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะล่อปานเยว่กงออกไปได้หรือเปล่า เพื่อป้องกันไม่ให้หนีไม่ทันยามเกิดเหตุไม่คาดคิด เจ้าหยุดอยู่ที่นี่แล้วกัน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา เกรงว่าพวกเราคงจะดูแลเจ้าไม่ทั่วถึง เจ้ารออยู่ตรงนี้จะได้ปลีกตัวหนีได้สะดวก”
เหมียวอี้อึ้งทันที กวาดสายตามองคนที่อยู่รอบๆ แวบนึ่ง แล้วก็มอบดูสภาพแวดล้อม คนอื่นๆ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย เขาจึงยิ้มพร้อมตอบว่า “ก็ดี! ข้าหลบรอพวกเจ้าอยู่ในโพรงไม้ต้นนั้นดีไหม?” เขาชี้ไปยังโพรงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
“ดี!” เจิ้งหรูหลงเห็นด้วย
เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง ถลันตัวเข้าไปทันที มุดเข้าไปอยู่ในโพรงไม้นั่นแล้ว
เจิ้งหรูหลงหันกลับมากวักมือเรียกคนอื่นๆ “พวกเราไปกันเถอะ!”
หลังจากพวกเขาเหาะออกไปได้ไม่นาน เหมียวอี้ก็โผล่ออกมาจากโพรงไม้อีก เขาเอามือลูบคางพลางขมวดคิ้วด้วยแววตาเป็นประกาย จากนั้นมองไปรอบๆ อีกครั้ง สายตาไปหยุดอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล แล้วเหาะเข้าไปทันที รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ขุดถ้ำออกมาโพรงหนึ่ง
หลังจากปลอมแปลงปากถ้ำแล้ว เขาก็ก้มตัวมุดเข้าไป แล้วสังเกตความเคลื่อนไหวภายนอกโดยอาศัยหญ้ารกร้างกั้นอำพราง
…………………………