พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 1012 ทำไมกล้าทำร้ายข้า!
เหมียวอี้ที่กำลังหลบ ‘ปรึกษา’ กับหวงเสี้ยวเทียนอยู่โพรงถ้ำใต้ดินพลันยกนิ้วขึ้นมาจ่อปากตัวเอง “ชู่ว อย่าเสียงดัง มีคนมาแล้ว”
“มีคนมาเหรอ?” หวงเสี้ยวเทียนเงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง แต่เขาไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น จึงถามว่า “ขุนนางสวรรค์ เจ้ามีวรยุทธ์เท่าไร?” จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ชัดว่าเหมียวอี้มีวรยุทธ์สูงเท่าไร กำลังสงสัยว่าวรยุทธ์สูงกว่าตนหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นทำไมจึงมีความสามารถในการฟังดีกว่าตน
เหมียวอี้ขี้คร้านจะพูดมาก ดึงเขายัดใส่ในกระเป๋าสัตว์โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แล้วหันตัวมานอนหมอบอยู่ตรงปากโพรง อาศัยซอกเล็กๆ ระหว่างต้นหญ้าเพื่อสังเกตสถานการณ์ภายนอก
ผ่านไปไม่นาน อาศัยสัญญาณที่ตั๊กแตนส่งมา เหมียวอี้ก็รู้ตำแหน่งของผู้ที่มาได้อย่างรวดเร็ว เงาร่างที่คุ้นเคยปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ โดยไร้สุ้มเสียง เข้ามาใกล้ต้นไม้ใหญ่ที่ต้นใช้ซ่อนตัวก่อนหน้านี้อย่าเงียบๆ หลังจากเห็นชัดว่าเป็นใคร เหมียวอี้ก็หรี่ตาสองข้าง ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องเจิ้งหรูหลงที่หยิบอาวุธออกมาทำตัวลับๆ ล่อๆ
การกระทำของเจิ้งหรูหลงทำให้เหมียวอี้เกิดคววามคิดที่จะฆ่าคนขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว แต่สิ่งที่เขาสนใจที่สุดในตอนนี้ก็คือ มู่หรงซิงหัวและคนอื่นๆ ร่วมวางแผนด้วยหรือเปล่า ถ้าคนพวกนั้นร่วมมือกัน ก็เกรงว่าจะยุ่งยากนิดหน่อย แต่ตามที่ตั๊กแตนรอบๆ ส่งสัญญาณกลับมา ก็ไม่มีคนอื่นเข้ามาใกล้แล้ว
หลังจากสังเกตโดยรอบไปสักพัก เจิ้งหรูหลงที่เดินมาถึงข้างโพรงไม้ก็นั่งย่อเข่าลงอย่างช้าๆ แล้วเงยหน้ามองเข้าไปในโพรงไม้
เจ้าบ้านี่ก็เด็ดขาดเหมือนกัน หลังจากเห็น ‘เหมียวอี้’ นั่งขัดสมาธิหันหลังให้ ก็ใช้ทวนแทงเข้าไปในโพรงไม้อย่างบ้าคลั่ง พอได้ลงมือก็ใช้กำลังทั้งหมดที่มี อยากจะโจมตีให้ศัตรูตายภายในครั้งเดียว
บึ้ม! ระเบิดจากข้างในสู่ข้างนอก ส่วนรากระเบิดขาด ทั้งตัวต้นไม้ใหญ่ระเบิดพุ่งขึ้นฟ้าแล้วกระจายไปทั่วทิศ
พอเริ่มลงมือ ชั่วพริบตาที่ทวนแรกแทงโดนเหมียวอี้ เจิ้งหรูหลงก็พบความไม่ชอบมาพากลทันที รีบกันตัวกวาดมองไปรอบๆ หมอกสีทองลอยออกจากตัว สวมเกราะรบไว้บนตัวอย่างรวดเร็ว ถือทวนระแวดระวังโดยรอบ ต้นไม้ใหญ่ที่กำลังจะล้มลงมาตรงศีรษะถูกเขาโบกมือปัดหนึ่งครั้งอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้ต้นไม้ปลิวออกไปไกลร้อยเมตร
ทว่ามีเสียงผิดปกติดังขึ้นพักหนึ่ง เจิ้งหรูหลงหันกลับมามอง พอใช้สายตาจ้อง เขาก็เริ่มขมวดคิ้วมุ่นแล้ว
เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบสีแดงราวกับทับทิมโผล่ออกจากโพรงถ้ำใต้ดินอย่างช้าๆ พร้อมเสียงเหยียบหญ้าดังกรอบแกรบ ในมือถือทวน พร้อมตะโกนว่า “ไอ้แซ่เจิ้ง ทำไมกล้าทำร้ายข้า!”
เจิ้งหรูหลงตาร้อนแล้ว น้ำลายแทบจะไหลออกมา เกราะรบที่อยู่บนตัวเหมียวอี้ ทั้งยังมีทวนที่อยู่ในมือ ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดจะทำมาจากผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูง แค่มองสองครั้งก็สามารถทำให้คนเลือดลมสูบฉีดแล้ว นี่มันมีมูลค่าเท่าไรกัน?
ต้องทราบไว้ว่าจำนวนผงสกัดที่อยู่ในผลึกแดงมีจำนวนน้อยกว่าที่อยู่ในเหรียญผลึกชนิดอื่น การจะทำอาวุธผลึกแดงสักชิ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาวุธผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงเลย
“เหตุใดน้องหนิวจึงพูดเช่นนี้เล่า?” เจิ้งหรูหลงถลันตัวเข้ามา บางทีอาจจะไม่อยากทำให้เหมียวอี้เครียดเกินไป จึงผ่อนความเร็วเดินเข้ามาช้าๆ “ไม่ได้จะทำร้ายเจ้า แต่จะมาบอกน้องหนิวว่าไม่สะดวกจะบุกเข้าป่าลืมทุกข์ สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง พวกมู่หรงวนอ้อมออกไปแล้ว ใครจะคิดล่ะว่าคนในโพรงไม้จะเป็นตัวปลอม ยังนึกว่ามีคนต่ำช้ามาก่อกวน ข้าถึงได้ลงมือ น้องหนิวอย่าเข้าใจผิดเชียวนะ!”
ในใจกลับด่าว่า คิดไม่ถึงว่าเจ้าบ้านี่มันจะเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ทำตัวนิ่งๆ แนบเนียน ที่ไหนได้แอบเตรียมป้องกันทำมนุษย์ปลอมไว้แล้ว ส่วนตัวจริงกลับแอบอยู่อีกที่หนึ่ง ช่างเป็นกระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง[1]จริงๆ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” เหมียวอี้เหลือบมองอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาช้าๆ “พี่เจิ้งถืออาวุธเดินเข้ามาใกล้แบบนี้ น้องหนิวกลัวนะ”
เจิ้งหรูหลงหัวเราะเบาๆ พลิกมือเก็บทวนสีทอง แล้ววักมือเรียก “ไปกันเถอะ! อย่าให้พวกมู่หรงรอนาน”
เหมียวอี้พยักหน้า แต่แอบเตรียมตัวลอบจู่โจมเรียบร้อยแล้ว
ใครจะคิดว่าเพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว ในตาเจิ้งหรูหลงกลับายแววดุดัน ถือโอกาสหยิบทวนสีม่วงออกมา หยิบทวนวิเศษที่ดีกว่าออกมาแล้ว ก่อนจะจ่อไปที่คอหอยของเหมียวอี้อย่างฉับพลัน จู่โจม!
ฝีมืออันต่ำต้อยแบบนี้ ไม่ควรค่าจะมาแสดงต่อหน้าเหมียวอี้เลยจริงๆ ทวนในมือพลันเฉียงขึ้นมา แทงขึ้นข้างบน!
เสียงโลหะกระทบกันดังชัดเจน! ปนกับเสียงมังกรคำรามที่ออกมาจากทวนเกล็ดย้อน เจิ้งหรูหลงสีหน้าเปลี่ยนอย่างฉับพลัน นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะตอบสนองได้เร็วขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าออกทวนครั้งเดียวก็ทำให้ทวนวิเศษของเขาหักครึ่งเป็นสองท่อนแล้ว ในใจรู้สึกทึ่งและชื่นชม ว่าอาวุธที่ทำจากผลึกแดงบริสุทธิ์สูงช่างร้ายกาจยิ่งนัก
แทบจะเกิดขึ้นพร้อมกัน ในโพรงถ้ำใต้ดินที่เหมียวอี้เพิ่งใช้ซ่อนตัวเมื่อครู่นี้ มีหมอกสีแดงที่ร้อนจี๋กลุ่มหนึ่งพ่นออกมา ครอบคลุมไปที่ทั้งสองพร้อมกัน ต้นไม้ใบหญ้ารอบข้างโดนเผาเป็นเถ้าปลิวไปในชั่วพริบตาเดียว
ทว่าวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดของเจิ้งหรูหลงก็ไม่ใช่เล่นๆ ขณะที่ทวนหัก หางตาก็สังเกตเห็นความผิดปกติในโพรงถ้ำใต้ดินแล้ว จึงเหาะหนีด้วยความเร็วสูง การตอบสนองรวดเร็วถึงขีดสุด หมอกแดงร้อนจี๋ลุกโหมเฉียดผ่านร่างกายเขาไป ทำให้เขาตกใจมาก โชคดีที่หลบไว ไม่อย่างนั้นก็ไม่อยากจะจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย
เหมียวอี้ที่โดนหมอกแดงปกคลุมเหมือนจะไม่แยแสแม้แต่น้อย เขาพุ่งตัวขึ้นท่ามกลางหมอกแดง แล้วถือทวนไล่ตามไป “โจรสุนัขอย่าหนีนะ!”
แต่อาศัยวรยุทธ์อย่างเขา ถ้าอยากจะไล่ตามเจิ้งหรูหลงให้ทันก็ช่างเป็นเรื่องตลก แล้วอีกอย่าง เจิ้งหรูหลงก็แค่หลบหลีกชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้คิดจะหนีไปจริงๆ เขาพุ่งตัวลงจากฟ้า เปลี่ยนทวนด้ามใหม่ โจมตีใส่เหมียวอี้ที่พุ่งมาอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้แค่ไม่ได้เตรียมป้องกัน จึงโดนเหมียวอี้โจมตีจนอาวุธหัก แต่ตอนนี้มีการป้องกันแล้ว อาศัยวรยุทธ์ของเขาไม่ทำให้กลัวอาวุธบนตัวเหมียวอี้เลย เขามีความมั่นใจในตัวเอง ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่นี้คงไม่ลอบจู่โจม ถึงอย่างไรความแตกต่างด้านวรยุทธ์ของทั้งสองก็เห็นๆ กันอยู่
บึ้ม! ผิวดินระเบิดแยกออก สัตว์ร้ายตัวหนึ่งพลันโผล่ออกมาจากรอยแยกของผิวดิน เป็นเดรัจฉานสับปลับนั่นเอง มันสั่นหัวส่ายหางไล่ตามขึ้นฟ้าอยู่ใต้ร่างของเหมียวอี้ “กรร!” เสียงคำรามเกรี้ยวกราดดังสะเทือนฟ้า พ่นหมอกแดงร้อนจี๋ขึ้นฟ้าอีกแล้ว ช่วยเสริมอานุภาพ!
เจิ้งหรูหลงตกใจมาก รีบถลันตัวในแนวเฉียง หลบหลีกหมอกแดงที่พุ่งขึ้นฟ้ามา
เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางหมอกแดงพลิกตัว ขี่บนตัวของเดรัจฉานสับปลับที่พุ่งเข้ามา สัตว์เทพช่วยเพิ่มความน่าเกรงขาม ไล่ตามเจิ้งหรูหลงไปอย่างรวดเร็ว!
ความเร็วของเหมียวอี้ไล่ตามเจิ้งหรูหลงไม่ทัน แต่ความเร็วของเดรัจฉานสับปลับกลับเหนือกว่าเจิ้งหรูหลง สัตว์เทพตัวนี้คือพลังเท้าอันเต็มเปี่ยมที่โค่วเหวินหลานมอบให้พวกลูกน้อง เพิ่มเสริมจุดด้อยด้านวรยุทธ์
ความเร็วของทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กันอย่างรวดเร็ว เจิ้งหรูหลงที่หันกลับไปมองเป็นระยะอับอายไม่หาย ตัวเองมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ด ไม่น่าเชื่อว่าจะต้องหนีการไล่ตามจากคนวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง!
ในป่าด้านล่าง พวกมู่หรงซิงหัวพลันเงยหน้ามอง เห็นทั้งสองฝ่ายที่ไล่ฆ่ากันอยู่บนฟ้าแฉลบผ่านไป
“นี่คือ…” หยางไท่งุนงง
พวกเขามองหน้ากันเลิกลั่ก เป็นอย่างที่คาดเดาไว้ เจิ้งหรูหลงไปหาเรื่องเหมียวอี้จริงๆ ด้วย แต่ผลลัพธ์ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงนิดหน่อย เหมือนผลลัพธ์จะตรงกันข้ามกับที่จินตนาการไว้!
“ไป! ไปดูกันหน่อย!” มู่หรงซิงหัวเอ่ยสั่ง แล้วทั้งสามก็เรียกเดรัจฉานสับปลับออกไป ก่อนจะไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเหมียวอี้ไล่ตามเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เจิ้งหรูหลงก็เริ่มกระหืดกระหอบ เรียกได้ว่าทุ่มอาวุธหลายชิ้นยิงโจมตีไปที่เดรัจฉานสับปลับ แต่จนใจที่เหมียวอี้ไหวตัวเร็วมาก ลงมือแม่นทุกครั้ง ฟันอาวุธของเขาห้าหกชิ้นติดต่อกัน ฟันจนเขาไม่มีอะไรจะหยิบออกมาแล้ว ของกากเดนแบบนี้ ต่อให้เหมียวอี้ไม่ต้านทานไว้ แต่ก็ฆ่าเดรัจฉานสับปลับไม่ได้อยู่ดี โยนทิ้งไปก็ไม่มีประโยชน์!
ที่จริงในสายตาของเขา เดรัจฉานสับปลับกับเหมียวอี้ไม่เก่งพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเลย อุณหภูมิสูงที่เดรัจฉานสับปลับพ่นออกมา ถึงแม้จะเป็นอันตรายต่อเขามาก แต่ก็ไม่มีทางโจมตีในระยะที่ห่างเกินไปได้ อาศัยวรยุทธ์อย่างเขาสามารถฆ่ามันทิ้งได้อยู่แล้ว แต่หลังจากที่มันเข้าคู่กับเหมียวอี้ เขาก็ปวดหัวทันที ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึง ว่านักพรตบงกชทองขั้นหนึ่งอย่างเหมียวอี้จะมีความเร็วในการลมือไม่ด้อยไปกว่าเขาเลยสักนิด เมื่อมีเหมียวอี้คอยขัดขวาง การโจมตีของเขาก็ทำอะไรเดรัจฉานสับปลับไม่ได้เลย
ภายใต้สถานการณ์คับขัน หลบหนีไม่พ้นแล้วจริงๆ โดนเดรัจฉานสับปลับไล่ตามทันแล้วแล้ว!
เจิ้งหรูหลงตัดสินใจแน่วแน่ บาดเจ็บแต่แข็งใจสู้ พลันเลี้ยวกลับมาเผชิญหน้ากับคนและสัตว์ที่ไล่ตามมา!
“กรร!” เดรัจฉานสับปลับคำรามอย่างดุดัน พ่นหมอกแดงร้อนผ่าวออกมาอย่างรุนแรงฉับพลัน
เจิ้งหรูหลงที่เพิ่มเกราะลมปราณจนถึงขีดสุดดันทุรังโจมตีเข้ามาในหมอกแดง รู้สึกได้ว่าเกราะลมปราณกำลังโดนเผาอย่างรุนแรงอยู่ท่ามกลางอุณหภูมิสูง แต่กลับโดนเขาโจมตีมาถึงตรงหน้าแล้ว โบกทวนแทงไปที่หัวของเดรัจฉานสับปลับอย่างเกรี้ยวกราด ขณะเดียวกันก็โยนเชือกมัดเซียนเส้นหนึ่งใส่เหมียวอี้ หมายจะทำให้การตอบสนองของเหมียวอี้ช้าลง
เหมียวอี้รีบใช้ทวนฟัน ทำให้เชือกมัดเซียขาดเป็นสองท่อน และฟันทวนที่เจิ้งหรูหลงแทงเข้ามาจนหักอย่างไม่ผิดพลาดอีกครั้ง
เขาโจมตีไม่สำเร็จ เห็นทวนที่เหมียวอี้ใช้ฟันอาวุธพังถือโอกาสแทงต่อมาที่หน้าอกตัวเองอีก รวดเร็วไร้ที่เปรียบ
เดิมทีควรจะตกใจสิถึงจะถูก แต่เจิ้งหรูหลงกลับเผยสีหน้าดุร้าย โบกด้ามทวนที่หักคามือกระทุ้งไปที่ด้ามทวนของเหมียวอี้อย่างเกรี้ยวกราด เตรียมจะอาศัยวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งของตัวเองกระแทกให้ทวนยาวที่น่ากลัวในมือเหมียวอี้กระเด็นไป อาศัยวรยุทธ์ของเขาสามารถทำได้อยู่แล้ว
ขอเพียงในมือเหมียวอี้ไม่มีทวนวิเศษที่แหลมคมไร้ที่เปรียบด้ามนั้น มีหรือที่เขาจะสู้ตนได้…นี่คือการเตรียมตัวสู้ตายโดยไม่คำนึงถึงอะไรแล้ว
ทว่าเหมียวอี้กล้าปะทะกับอีกฝ่ายแบบตรงๆ ไม่หลบหลีกเลยสักนิด เขาก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน
เห็นเพียงเหมียวอี้ชักทวนอย่างฉับไว ตะขอแหลมสามหัวเกี่ยวกลับไป เสียงอาวุธกระทบกันดังชัดเจน ด้ามทวนที่หักครึ่งในมือเจิ้งหรูหลงโดนเหลาจนหักอีกครั้ง
เจิ้งหรูหลงนึกไม่ถึงว่าจะออกมาเป็นแบบนี้ นึกไม่ถึงว่าทวนในมือเหมียวอี้จะใช้งานได้เยี่ยมยอดขนาดนี้ เขาตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว
แต่ก็สายไปเสียแล้ว ชั่วพริบตาที่ประมือกัน นึกว่าจะช้าไป แต่กลับรวดเร็วกว่าที่คิด ไม่มีโอกาสเหลือเฟือให้ออกท่าทางมากขนาดนั้น มิหนำซ้ำชั่วพริบตาที่ทั้งสองปะทะกัน ความเร็วในการลงมือก็เร็วมากจนทำให้คนตาลาย กระบวนท่าหนึ่งชุดเกิดและจบลงภายในชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น
เหมียวอี้ที่กำลังทำสีหน้ามุ่งสังหาร ทวนในมือพลันแทงออกมาอีกครั้ง ชั่วพริบตาที่แทงและดึง ก็ได้แสดงความยอดเยี่ยมล้ำเลิศของวิชาทวนออกมาหมดแล้ว โจมตีจนเจิ้งหรูหลงทำอะไรไม่ถูก อาศัยการเร่งความเร็วขณะปะทะกัน ต่อให้เจิ้งหรูหลงจะตอบสนองได้ไวกว่านี้ แต่ก็ไม่สามารถหลบพ้นอยู่ดี หัวทวนตะขอสามคมแทงฝ่าเกราะตรงหน้าอกของเจิ้งหรูหลง ทะลุเข้าหัวใจของเจิ้งหรูหลงโดยตรง
เจิ้งหรูหลงเบิกตากว้างมองเหมียวอี้ ในแววตามีแต่ความรู้สึกเหลือเชื่อ ร่างกายที่แขวนอยู่บนหัวทวนของเหมียวอี้ โดนเดรัจฉานสับปลับที่กำลังบินขวิดจนกระเด็นถอยหลังไป
พอเหมียวอี้สีหน้าเย็นเยียบ พอสะบัดทวนในมือหนึ่งครั้ง เปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งก็พรั่งพรูออกจากทวน ไหลหรอกเข้าไปในเกราะรบของเจิ้งหรูหลงโดยตรง
“อา…” เสียงกรีดร้องน่าเวทนาดังก้องทั่วฟ้า เปลวเพลิงร้อนแรงโผล่จากรอยแยกบนเกราะรบของเจิ้งหรูหลง ไม่นานก็มีผิวเนื้อโดนเผาไหม้จนหลายเป็นเถ้าถ่านปลิวไป ประเดี๋ยวเดียวเปลวเพลิงก็เผาคนเป็นๆ จนไหม้หายไปหมดแล้ว
เหมียวอี้ที่กำลังขี่เดรัจฉานสับปลับกางนิ้วทั้งห้า ดูดของที่ตกจากตัวเจิ้งหรูหลงเข้ามา แล้วก็โบกมือเก็บเอาไว้ทั้งหมดโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ขณะเดียวกัน เดรัจฉานสับปลับที่อยู่บนฟ้าก็เลี้ยวอย่างฉับพลัน มันหยุดชะงักกลางอากาศ แล้วเหมียวอี้ก็ชูทวนชี้ไปทางสามคนที่ไล่ตามเข้ามา
พวกมู่หรงซิงหัวที่ไล่ตามมารีบหยุด เห็นประกายไฟล่องลอยทั่วท้องฟ้า นั่นคือร่างที่กำลังเผาไหม้ของเจิ้งหรูหลง ในอากาศมีกลิ่นแปลกๆ อบอวล
ทั้งสามเรียกได้ว่าตกใจไม่เบา เมื่อครู่เพิ่งใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดูเจิ้งหรูหลงสิ้นชีพภายใต้ทวนของเหมียวอี้ไป ยังไงพวกเขาก็นึกไม่ถึง ว่าเจิ้งหรูหลงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมียวอี้ ความตื่นตะลึงในใจยากที่จะบรรยายออกมาได้
สวีถังหรานแอบกินปูนร้อนท้อง เจ้าบ้านี่ห้าวหาญเหมือนตอนอยู่ที่ยอดเขาโอนเอนไม่มีผิด ไม่น่าเชื่อว่าจะไล่สังหารนักพรตบงกชทองขั้นเจ็ด ทั้งยังสังหารสำเร็จแล้วด้วย!
“หนิวโหย่วเต๋อ ทำไมต้องฆ่ากันเอง?” มู่หรงซิงหัวตะคอกถาม
เหมียวอี้ชี้หัวทวนไปที่นาง พร้อมตวาดว่า “นางแพศยา! ข้าอุตส่าห์ให้เจ้าเป็นหัวหน้า ฟังคำสั่งเจ้า แต่เจ้ากลับรวมหัวกันวางแผนทำร้ายข้า แล้วยังจะมาตีหน้าซื่ออีก ทำไมกล้ารังแกข้าแบบนี้!”
…………………………
[1] กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง 狡兔三窟 หมายถึงคนเจ้าเล่ห์ที่มีที่หลบซ่อนตัวมากมาย