พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 1017 เกิดความเห็นต่าง
นี่ไม่ใช่สิ่งที่พูดออกมาเพราะซาบซึ้งใจ แต่ความจริงใจที่อยู่ในการกระทำของอีกฝ่ายทำให้คนชื่นชมด้วยความเลื่อมใส ยังไม่ต้องพูดถึงมูลค่าของเกราะรบผลึกแดงทั้งชุด ขอเพียงปานเยว่กงได้สวมเกราะรบชุดนี้ อาศัยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าของเขา ถ้าไม่มียอดฝีมือระดับบงกชรุ้งลงมือ ก็แทบจะเป็นเรื่องยากมากที่จะมีคนขัดขวางเขาได้
การที่เหมียวอี้มอบเกราะรบให้เขา แฝงความหมายว่ามอบยันต์ป้องกันตัวสำหรับการหนีเอาชีวิตรอดให้สองสามีภรรยา ที่บอกว่าเลื่อมใสความจริงใจของเหมียวอี้ ไม่สู้บอกว่าเลื่อมใสในหัวใจของเหมียวอี้ดีกว่า เขาพบว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเอาหัวใจของคนทรามมาวัดหัวใจของสัตตบุรุษ
ขณะเดียวกัน การที่สามารถมอบของวิเศษทั้งชุดให้คนอื่นแบบนี้ได้ ก็ยิ่งทำให้สองสามีภรรยาเชื่อ ว่าเขาคือคนของตระกูลโค่วที่เป็นอ๋องสวรรค์โค่วจริงๆ
เกราะรบผลึกแดงทั้งชุดได้ทำลายความเคลือบแคลงที่อยู่ในใจสองสามีภรรยาทิ้งไปแล้ว สามารถไปด้วยแบบวางใจเต็มที่แล้ว
สำหรับเหมียวอี้ สิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องจิตใจอะไรทั้งนั้น กำลังทรัพย์ของเขาก็ไม่ได้มากถึงขั้นมอบเกราะรบผลึกแดงทั้งชุดให้ง่ายๆ แต่ก็อย่างที่บอก ถ้าไม่มีแม้แต่ชีวิต ต่อให้กุมของดีกว่านี้ไว้ในมือ ก็จะกลายเป็นของคนอื่นอยู่ดี ของวิเศษหนึ่งชิ้นสามารถแลกการปกป้องจากยอดฝีมือได้หนึ่งร้อยปี สามารถทุ่มเทช่วยเหลือให้เขาทำภารกิจสำเร็จ ช่วยเสริมจุดด้อยด้านวรยุทธ์ให้เขาได้ แบบนี้คุ้มค่ามากกว่า
“ถ้าเจ้าเป็นคนที่สามารถตัดใจทิ้งเมียได้โดยไม่แยแส ข้าก็ไม่มีทางเป็นเพื่อนกับเจ้าหรอก!” เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ นับว่าตอบรับปานเยว่กงแล้ว จากนั้นก็เรียกให้ทุกคนเดินทางต่อด้วยกัน
กลุ่มนี้ขาดเจิ้งหรูหลงไปหนึ่งคน แต่ก็มีคนเพิ่มมาอีกสองคน สองสามีภรรยาเรียกได้ว่าตามติดอยู่ข้างซ้ายและขวาของเหมียวอี้
ยิ่งเดินทางไปทางทิศตะวันตก ฟ้าก็ยิ่งดำมืด ลมหนาวค่อยๆ พัดวูบ เบื้องล่างกลายเป็นแดนหิมะแล้ว
เมื่อเห็นว่ากำลังบุกเข้าไปในแดนราตรีนิรันดร์ ปานเยว่กงก็ถามว่า “จะไปจับใคร?”
“โจรราคะที่ทำเรื่องชั่วซ้ำแล้วซ้ำอีก เจิงอีอี!” สวีถังหรานตอบ
ปานเยว่กงกับชิงเหมยสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสองเงียบงัน สำหรับตำหนักสวรรค์ เจิงอีอีอาจจะเป็นนักโทษที่ทำเรื่องเลวร้ายมาก แต่สำหรับนักพรตอิสระ เจิงอีอีกลับเป็นวีรบุรุษ เป็นวีรบุรุษที่สู้กับตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ นอกจากขุนนางของตำหนักสวรรค์ ก็ไม่เคยได้ยินว่าเจิงอีอีแตะต้องผู้หญิงที่ไหนเลย เพียงแต่พวกเขาไม่มีทางบอกสิ่งเหล่านี้กับพวกเหมียวอี้ได้
เมื่อเห็นสองสามีภรรยาทำสีหน้าแปลกไป เหมียวอี้จึงถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้ารู้จักเขาเหรอ?”
“ไม่นับว่ารู้จักเหรอ เคยเจอหน้าครั้งสองครั้ง ไม่ได้สนิท แต่เขาอาจจะเป็นคนของสมาคมวีรชน” ปานเยว่กงถ่ายทอดเสียงตอบ
“สมาคมวีรชน?” เหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนทันที รีบถามว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเขาคือคนของสมาคมวีรชน?”
ปานเยว่กงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ไม่แน่ใจหรอก แต่ข้าเคยเห็นคนของตระกูลหวงฝู่ ผู้คุมงานของสมาคมวีรชน ชื่อหวงฝู่ตวนฮ่าว”
เหมียวอี้ตาเป็นประกายทันที มารดาของหวงฝู่จวินโหรวชื่อหวงฝู่ตวนหรง นั่นก็แปลว่าหวงฝู่ตวนฮ่าวอาจจะอยู่รุ่นเดียวกับมารดาของหวงฝู่จวินโหรว เขาถามอย่างสงสัยมากว่า “เจ้ากำลังบอกว่า เจิงอีอีกับหวงฝู่ตวนฮ่าวมีความเกี่ยวข้องกันเหรอ?”
ปานเยว่กงตอบว่า “เป็นเรื่องที่นานมากแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าบังเอิญเห็นเขากับหวงฝู่ตวนฮ่าวแอบพบกันในหุบเขาที่ลับตาคน ดูเหมือนเขาจะเคารพหวงฝู่ตวนฮ่าวมาก ทั้งยังมอบของบางอย่างให้หวงฝู่ตวนฮ่าวด้วย ข้าก็เลยสงสัยว่าเจิงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน ถึงอย่างไรสมาคมวีรชนก็เป็นแหล่งรวมคนจากสามลัทธิเก้านิกายในแดนฝึกตน ถ้าเจิงอีอีอยู่ที่สมาคมวีรชนก็เป็นเรื่องปกติมาก”
เป็นเรื่องปกติมากเหรอ? นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้ถึงเบื้องหลังที่แท้จริงของสมาคมวีรชนน่ะสิ! เหมียวอี้นิ่งเงียบ แต่ในใจกลับกังวลและสงสัย ค่อนข้างตกใจ
เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ เบื้องหลังที่แท้จริงของสมาคมวีรชนก็คือประมุขชิง ตัวละครใหญ่ของแดนฝึกตน หรือที่เรียกว่าราชันสวรรค์ของตำหนักสวรรค์นั่นเอง ถ้าเจิงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน ทำไมถึงมาอยู่บนรายชื่อนักโทษที่ต้องจับกุมในครั้งนี้ได้ล่ะ? แล้วอีกอย่าง ถ้าเจิงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชนจริงๆ ทำไมถึงต่อต้านคนของตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ ทำไมถึงทำเรื่องต่ำทรามกับภรรยาของขุนนางตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ?
ถ้าการวินิจฉัยของปานเยว่กงผิดพลาด ก็แสดงว่าเจิงอีอีไม่ใช่คนของสมาคมวีรชนเลย แต่เจิงอีอีมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ไม่มีเหตุผลที่หวงฝู่ตวนฮ่าวจะไม่รู้ว่าเจิงอีอีเป็นใคร ทว่าทั้งสองกลับไปมาหาสู่กันอย่างลับๆ ทำไปเพื่ออะไรกัน? ถ้าจะพูดให้ถูก ในเมื่อหวงฝู่ตวนฮ่าวสามารถหาเจิงอีอีพบ นั่นก็แปลว่าสมาคมวีรชนสามารถตามหาเจิงอีอีพบเช่นกัน แสดงว่าที่จริงแล้วทางราชันสวรรค์สามารถรู้เบาะแสของเจิงอีอีได้ ถ้าต้องการจะกำจัดคนที่ต่อต้านตำหนักสวรรค์คนนี้ทิ้งจริงๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย
เบื้องหลังซ่อนความจริงแบบไหนเอาไว้กันแน่? ความคิดแวบไปแวบมาราวกับสายฟ้าแลบ ในหัวเหมียวอี้ก็มีความคิดผ่านเข้ามามากมาย ค่อนข้างประหลาดใจสงสัย…
ยอดเขาเจ็ดสิบสองลูกที่ทอดตัวต่อเนื่องกัน ยอดภูเขาหิมะเจ็ดสิบสองลูกกระจัดกระจายอย่างกว้างขวาง และเป็นที่ซ่อนตัวของเจิงอีอีเช่นกัน ตอนที่พวกเขาเดินทางมาถึง ท้องฟ้าก็มีเมฆปกคลุมหนาแน่น ลมหนาวพัดหิมะลอยตลบอบอวล แถมฟ้าก็มืดอีก ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นมาก ต่อให้มีดวงตาอิทธิฤทธิ์ที่เหมือนคบเพลิง แต่ก็ยากที่จะทนกับอุปสรรคที่สัมผัสได้จริง
ทั้งหกคนเหยียบลงบนยอดภูเขาหิมะลูกหนึ่ง พอมองไปรอบๆ ก็ทำให้ปวดใจอยู่บ้าง ฮวาหูเตี๋ยไม่ได้หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ สืบได้เพียงว่าเจิงอีอีซ่อนตัวอยู่บริเวณนี้ ไม่สามารถระบุแม้กระทั่งรังลับที่เจิงอีอีใช้ฝึกตนหลังจากเลิกปรากฏตัวต่อโลกภายนอก ยังต้องให้พวกเขาคิดหาวิธีการเอาเอง
แต่ในสายตาของปานเยว่กงกับชิงเหมย ที่จริงในใจของสองสามีภรรยาหวาดผวาไม่หาย ตกตะลึงในข่าวสารที่กว้างขวางของตำหนักสวรรค์ ขนาดพวกเขาอยู่ที่ดาววิงวอนชีพมานานหลายปี ก็ยังไม่รูเลยว่าเจิงอีอีซ่อนตัวอยู่ที่นี่ แต่คนที่ตำหนักสวรรค์ส่งมากลับกลับมุ่งสู่สถานที่เป้าหมายได้ได้โดยตรง ตอนนี้ยิ่งทำให้คิดว่า ไม่ใช่เพราะตำหนักสวรรค์ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ แต่เป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาคิดบัญชีก็เท่านั้นเอง เมื่อถึงเวลาไม่ว่าใครก็หนีไม่รอดทั้งนั้น ทำให้ยิ่งอยากแก้ไขคดีที่ติดตัวชิงเหมย
“เหมือนมีคนมาแย่งจับก่อนแล้ว!” หยางไท่พลันกล่าวพลางหันซ้ายหันขวา
ต่อให้เขาไม่บอก คนอื่นๆ ก็สังเกตเห็น มีคนกำลังร่ายอิทธิฤทธิ์ตามหาไปมาอยู่ที่ภูเขาแต่ละลูก ในบรรดาคนพวกนั้นมีคนที่คุ้นตา เคยเจอกันแล้วที่จวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าฉลูมะแม ไม่ต้องบอกเลย ผู้บัญชาการอีกกลุ่มมาถึงก่อนแล้ว สามารถมาโผล่ตรงนี้ได้ ก็แสดงว่ามาจับเจิงอีอีเหมือนกัน
พวกเขาสังเกตเห็นอีกฝ่ายแล้ว อีกฝ่ายก็สังเกตเห็นพวกเขาแล้วเหมือนกัน มีบางคนเหาะเข้ามาลงตรงหน้าพวกเขา เขาแววตาคมดุดุจอินทรี กิริยาเจ้าเล่ห์ดังหมาป่าเหลียวหลัง กวาดสายตามองแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้านี่เอง” สายตาที่กลอกกลิ้งไปมาบนตัวมู่หรงซิงหัวก็ยิ่งแฝงความหมายลึกซึ้ง
หยางไท่ มู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานทำสายตาอึดอัดนิดหน่อย ตอนที่ได้รับความอับอายจากเซี่ยโห้วหลงเฉิง คนกลุ่มนี้ก็อยู่ข้างๆ พอดี ได้เห็นและได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดตอนเหาะลงมา มู่หรงซิงหัวก็พยายามอดทนอดกลั้น พยายามเจียดรอยยิ้มกุมหมัดคารวะ “ขอบังอาจถามชื่อแซ่”
“ได้สิ! เยี่ยนจื่อเกอ” อีกฝ่ายกุมหมัดคารวะตอบ และไม่สนใจคนอื่น จ้องเพียงมู่หรงซิงหัวพร้อมหรี่ตายิ้ม “ขอบังอาจทราบนามอันไพเราะของแม่นางได้ไหม?”
“มู่หรงซิงหัว!” มู่หรงซิงหัวฝืนตอบ
“คนก็สวย ชื่อก็ไพเราะ” เยี่ยนจื่อเกอถามกลั้วหัวเราะอีก “อย่าบอกนะว่ามาจับตัวเจิงอีอีเหมือนกัน?”
“ใช่!” มู่หรงซิงหัวพยักหน้า “นึกไม่ถึงว่าพี่เยียนจะมาถึงก่อนแล้ว”
เยี่ยนจื่อเกอตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอก! ดูท่าทางแล้ว ผู้บัญชาการมู่หรงเป้นหัวหน้ากลุ่มสินะ ข้ามีความดีมาเสนอ ไม่สู้มาเป็นพันธมิตรกับพวกเราดีไหม คนมากกำลังก็เยอะ รอจนการทดสอบจบลง ไม่ว่าจะจับได้กี่คนก็จะแบ่งเฉลี่ยเท่ากัน เป็นยังไง?”
มู่หรงซิงหัวมองซ้ายมองขวา พอเห็นทุกคนดูค่อนข้างลังเล จึงตอบไปว่า “ให้พวกเราปรึกษากันสักหน่อย”
“ก็ได้! งั้นพวกเจ้าค่อยๆ ปรึกษากันไป” เยี่ยนจื่อเกอพูดทิ้งท้ายแล้วจากไป
ส่วนการปรึกษาหารือทางนี้ก็เกิดความเห็นต่างแล้ว เห็นได้ชัดว่ามู่หรงซิงหัวกับหยางไท่อยากจะเป็นพันธมิตรกับฝ่ายนั้น
“พวกเขามีกันสิบคน คนมากกำลังก็มาก เป็นพันธมิตรกับพวกเขาสามารถรับประกันความปลอดภัยของพวกเราได้” หยางไท่กล่าว
“ก็เพราะพวกเขามีกำลังมากไง ถ้าการทดสอบจบแล้วพวกเขาไม่ยอมแบ่งคะแนนเท่าๆ กัน พวกเราจะทำยังไงล่ะ?” สวีถังหรานขมวดคิ้ว
หยางไท่ตอบว่า “ต่อให้ได้ผลงานเยอะ แต่สุดท้ายก็สู้ความสำคัญของชีวิตตัวเองไม่ได้! ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงกังวลว่าพวกเราจะมีเจตนาไม่ดี อาจจะไม่มาเป็นพันธมิตรกับพวกเรา แต่ตอนนี้มีเรื่องดีๆ มาหาถึงที่แล้ว ทำไมต้องปฏิเสธด้วยล่ะ? อย่างมากพวกเราก็ได้ผลประโยชน์น้อยหน่อยก็เท่านั้นเอง”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ปานเยว่กงกับชิงเหมยก็สบตากันแวบหนึ่ง ทั้งคู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะมุ่งเน้นการช่วยเหลือให้โค่วเหวินหลานรักษาตำแหน่งของตัวเอง แต่ตอนนี้กลับจะให้ไปช่วยคนอื่น นี่มันหลักการอะไรกัน? ทั้งสองมองไปที่เหมียวอี้ แต่เห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าเรียบเฉยไม่พูดอะไร
“น้องหนิว เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?” เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่พูดอะไร สวีถังหรานก็เริ่มร้อนใจ หลังจากถามแบบนั้นไปแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงถาม “น้องหนิว เจ้าต้องคิดดูให้ดีนะ มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่มีคนรักลับๆ คอยหนุนหลัง ต่อให้ผู้บัญชาการใหญ่รักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้ เดี๋ยวกลับไปแล้วก็ไม่มีความเสียหายอะไรกับตำแหน่งพวกเขา พวกเขาจึงหวังแค่ให้ตัวเองปลอดภัย ไม่สนใจผลงานอะไรเลย แต่เจ้ากับข้านั้นไม่เหมือนกัน เดี๋ยวถ้ากลับไปแล้วรายงานผลงานไม่ได้ ก็ไม่มีใครช่วยพูดให้พวกเราแล้วนะ”
เหมียวอี้รู้ว่าเขาไม่ได้กลัวว่าจะรายงานผลงานไม่ได้ แต่กังวลว่าถ้าไม่มีขาของโค่วเหวินหลานให้กอด ก็อาจจะโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเล่นงานจนตายได้ แต่ก็ยังตอบว่า “อีกฝ่ายกล้าขอเป็นพันธมิตรกับพวกเราอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ ทั้งยังไม่กังวลเลยสักนิด ชัดเจนว่ามันใจที่จะจัดการพวกเราแล้ว ข้าเห็นด้วยกับความเห็นของผู้บัญชาการสวี”
สวีถังหรานได้ยินแล้วดีใจ ทว่าหยางไท่กลับพูดเสียงต่ำ “หนิวโหย่วเต๋อ อย่าลืมนะว่าตอนที่มานายท่านหัวหน้าภาคสั่งอะไรไว้ ครั้งนี้ให้ผู้บัญชาการมู่หรงเป็นหัวหน้านะ”
เหมียวอี้เงียบงัน ถ้าไปยั่วโมโหเฉาว่านเสียง ก็จะมีปัญหาแน่นอน แต่ถ้ามาถึงขั้นนี้แล้วต้องตัดสินใจเลือก เขาก็ยังรู้สึกว่าขาของโค่วเหวินหลานใหญ่น่ากอดมากกว่า ถ้าโดนโค่วเหวินหลานทิ้งขึ้นมา ตนก็ไม่มีใครหนุนหลังแล้ว ตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกก็จะถูกแทนที่อย่างรวดเร็ว ต่อให้คุ้มกันส่งมู่หรงซิงหัวกลับไปได้อย่างปลอดภัย แต่อาศัยตำแหน่งของเฉาว่านเสียงก็ต้านทานไม่ไหวหากเบื้องบนจะยัดคนลงมารับตำแหน่งที่มั่งคั่ง ตนไม่ได้สนิทอะไรกับเฉาว่านเสียงด้วย ไม่มีค่าอะไรให้เฉาว่านเสียงช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง ส่วนคำสัญญาที่เฉาว่านเสียงให้ไว้ คนประเภทที่ไม่มองเห็นลูกน้องเป็นคนแบบนี้ คำพูดคำจาเชื่อถือไม่ได้เลย เมื่อเวลานั้นมาถึงแล้วอีกฝ่ายลืมสัญญา เจ้าก็โวยวายอะไรไม่ได้เช่นกัน สำหรับในด้านนี้ คำพูดของคนจากตระกูลใหญ่อย่างโค่วเหวินหลานน่าเชื่อถือมากกว่า
ที่สำคัญที่สุดก็คือ วิธีการเป็นพันธมิตรโดยยอมหลีกทางเรื่องผลประโยชน์ให้แบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทรยศโค่วเหวินหลาน จะต้องเจอกับความโมโหเดือดดาลจากโค่วเหวินหลานแน่นอน ตนไม่ได้มีเฉาว่านเสียงหนุนหลังเหมือนมู่หรงซิงหัว ทนการล้างแค้นจากโค่วเหวินหลานไม่ไหว ถึงตอนนั้นคงอึดอัดจนทำตัวไม่ถูก คงไม่มีใครมาช่วยคนทรยศอย่างเขาด้วย
ขนาดสวีถังหรานยังเข้าใจถึงความสัมพันธ์อันร้ายกาจนี้เลย ไม่มีเหตุผลที่เหมียวอี้จะไม่เข้าใจ หลังจากเงียบไปครู่เดียว ก็กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “หัวหน้าภาคเฉาควบคุมข้าไม่ได้หรอก ข้าฟังคำสั่งผู้บัญชาการใหญ่โค่วเท่านั้น”
“ในเมื่อเจ้าพูดแบบนี้แล้ว งั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหมือนกัน! มู่หรง พวกเขาสองคนไม่เห็นหัวหน้าภาคเฉาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ดูท่าจะไม่สามารถร่วมทางกันต่อไปได้อีก ไม่สู้แยกกันดีมั้ย ต่างคนต่างไป!” หยางไท่กล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ตอนนี้เรียกได้ว่าพูดจาได้อย่างมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ถึงอย่างไรก็คิดว่าตัวเองหาพันธมิตรที่แข็งแกร่งกว่าได้แล้ว
สวีถังหรานอ้าปากค้าง ฉีกหน้ากันเร็วเกินไปแล้วมั้ง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ต้องปรึกษากันเยอะๆ หน่อยสิ ขนาดคนอย่างเขายังคิดตามไม่ทันเลย
…………………………