พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 882
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันอย่างพูดไม่ออก จะขวางก็ขวางไม่อยู่แล้ว! ปกติเวลาฮูหยินอาบน้ำ ทั้งสองจะเข้าไปปรนนิบัติเสมอ วันนี้จู่ๆ ก็ให้พวกนางเฝ้าด้านนอก ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี หวังว่านายท่านจะไม่โชคร้ายหรอกนะ
ในห้องอาบน้ำเป็นสีทองเรืองรอง ทุกที่ล้วนฝังเลี่ยมไปด้วยทองคำและหยกขาว หรูหราไร้ที่เปรียบ
ปลาหลี่สองตัวที่สูงเท่าคนหนึ่งคนกำลังเงยหน้ากระดกหางราวกับมีชีวิตชีวา กำลังอ้าปากพ่นน้ำใส่อ่างหยกขาวที่ใสแจ๋วจนมองเห็นก้นอ่าง รอบอ่างน้ำฝังเลี่ยมด้วยทองคำ สร้างเป็นรูปเกล็ดปลา เหยียบบนนั้นไม่มีทางลื่นล้ม
ในห้องอบอวลไปด้วยไอน้ำ อุณหภูมิก็สูงกว่าด้านนอกเช่นกัน เหมียวอี้ที่ก้าวยาวบุกเข้ามากวาดตามองรอบหนึ่ง มองไม่ใครอยู่ในอ่างอาบน้ำ สายตาจึงไปหยุดอยู่ข้างๆ
บนเตียงหยกที่สลักรูปหงส์และมังกร อวิ๋นจือชิวกำลังนั่งอยู่บนบนนั้น ยกแขนสองข้างดึงปิ่นปักผมลงมา ถอดเครื่องประดับศีรษะออก พอเห็นเหมียวอี้ก็หัวเราะคิกคัก “ทำไมท่านสามีถึงมาที่นี่ล่ะคะ? หรืออยากจะมาแอบดูหม่อมฉันอาบน้ำ?”
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก แล้วเดินก้าวยาวเข้ามา นั่งลงข้างเตียงหยก แล้วบอกว่า “ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นเสียหน่อย มีส่วนไหนบนร่างกายเจ้าที่ข้าไม่เคยเห็นบ้าง จำเป็นต้องแอบดูด้วยเหรอ? ถ้าจะดูก็ต้องดูอย่างเปิดเผยไปเลย”
ผมนนุ่มดำขลับประลงบ่าและสยายไปด้านหลังราวกับน้ำตก อวิ๋นจือชิววางมงกุฎหงส์ลง แล้วพยักหน้าบอกว่า “ท่านสามีพูดจามีเหตุผล หม่อมฉันก็ไม่ได้ไล่ท่านออกไปใช่มั้ยล่ะคะ ตราบใดที่ท่านสามีชอบ หม่อมฉันจะไม่ยอมให้ท่านสามีดูเรือนร่างของหม่อมฉันได้อย่างไร? กลัวก็แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ท่านสามีอาจจะเบื่อหน่าย ถึงตอนนั้นเมื่อขอให้ท่านสามีดู เกรงว่าท่านสามีคงจะไม่สนใจ”
เหมียวอี้ทำหน้านิ่ง พูดเน้นย้ำทีละคำว่า “สามวันที่ผ่านมา สองวันแรกฝนตก เจ้ารู้รึเปล่า?”
อวิ๋นจือชิวเอามือป้องปากหัวเราะทันที นางรู้สถานการณ์แล้ว ไม่อย่างนั้นจะนั่งพูดอยู่ตรงนี้ด้วยกันดีๆ ได้อย่างไร จึงรีบเข้าไปนั่งกอดแขนเขาเอาไว้ “อย่าทำหน้าบึ้งสิคะ ล้วนเป็นความผิดหม่อมฉัน หม่อมฉันปวดใจแทบตาย ท่านเองก็จริงๆ เลยนะ ฝนตกแล้วไม่รู้จักหาที่หลบ”
เหมียวอี้ดึงแขนนางออก แล้วพูดอย่างหงุดหงิด “ข้าจะกล้าเหรอ? เถ้าแก่เนี้ยมีอำนาจบารมีขนาดไหน ต่างอะไรกับหญิงปากร้ายล่ะ? เวลาทะเลาะกันขึ้นมาเจ้าก็ไม่อายเลย แต่ข้ายังอายนะ!”
อวิ๋นจือชิวติดหนึบเหมือนขนมคอเป็ด เข้ามากอดแขนเขาอีก นางยิ้มอย่างสดใสราวดอกไม้ “ท่านสามีอย่าโมโหสิ โปรดระงับโทสะ ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของหม่อฉัน หม่อมฉันเป็นหญิงปากร้าย อย่าถือสาผู้หญิงปากร้ายอย่างหม่อมฉันได้มั้ยคะ?”
เหมียวอี้จ้องนาง ทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “เจ้าเองก็รู้ตัวเหรอว่าเป็นผู้หญิงปากร้าย? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ถ้าครั้งหน้าเป็นแบบนี้อีกอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
อวิ๋นจือชิวเอียงศีรษะไปซบไหล่ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน “หม่อมฉันรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าในใจของท่านสามีมีหม่อมฉัน ถึงได้ยอมรับความไม่ยุติธรรมแบบนี้ ท่านสามีเป็นชายชาตรีผู้สง่าผ่าเผยไม่กลัวตาย จะมากลัวหม่อมฉันได้อย่างไร ท่านตั้งใจจะยอมอ่อนข้อให้หม่อมฉันต่างหากล่ะ หม่อมฉันรู้สึกดีมากเลย รับรองว่าต่อให้อยู่ในฝันก็ยังยิ้มได้ มีสามีแบบนี้ นับว่าหม่อมฉันไม่เสียชาติเกิดแล้ว แต่สิ่งนี้ก็ทำให้หม่อมฉันเข้าใจหลักการบางอย่างเช่นกัน หากวันใดท่านสามีไม่ยอมทนรับความอยุติธรรมนี้เพื่อหม่อมฉันแล้ว ก็แสดงว่าในใจท่านสามีไม่มีหม่อมฉันอีกต่อไป ในภายหลังหากมีโอกาส หม่อมฉันจะใช้วิธีการนี้ทดสอบท่านสามีอีก”
เหมียวอี้ถลึงตาสองข้าง “อะไรนะ? เจ้ายังคิดจะมีครั้งต่อไปอีกเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวหัวเราะจนไหล่สั่น “ท่านไม่ต้องกังวลหรอก ระหว่างเราสองสามีภรรยาเท่าเทียมกันมาก ต่อไปหากหม่อมฉันทำอะไรผิด ขอเพียงท่านสามีเอ่ยมาคำเดียว รับรองว่าหม่อมฉันไม่เรื่องมากเสนอเงื่อนไขเหมือนท่านสามีแน่นอน อย่าว่าแต่ยืนสำนึกผิดเลย ถ้าท่านสามีให้ไปคุกเข่าหม่อมฉันก็จะไป รับรองว่าจะไม่บ่นสักคำ”
เหมียวอี้พลันยืนขึ้น กล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเครียดว่า “ข้าไม่ได้มีนิสัยชอบสั่งให้คนอื่นคุกเข่า ข้าไม่ให้เจ้าคุกเข่าหรอก เจ้าเองก็อย่าสั่งให้ข้าคุกเข่าเหมือนกัน ข้าเป็นผู้ชาย ไม่ทำตัวเหมือนผู้หญิงอย่างพวกเจ้าหรอก!” มารดาเจ้าสิ เขาสงสัยว่าการไปยืนตากฝนข้างนอกในครั้งนี้ อาจจะมีคนเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีครั้งหน้าอีกคนจะไม่หัวเราะเยาะแย่หรอกเหรอ
“เป็นผู้ชายแล้วยังไงล่ะ? อย่ามาใช้มุกนี้! ใช้มุกนี้กับข้าไม่ได้ผลหรอก!” อวิ๋นจือชิวหุบยิ้ม ผมงามห้อยลงมาประหลัง เหล่ตามองพร้อมถามว่า “หนิวเอ้อร์! ฟังจากที่เจ้าพูดแล้ว ครั้งหน้าเตรียมตัวจะไปโดยไม่บอกกล่าวอีกใช่มั้ย?”
“ข้าไม่อยากให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายกับข้า เจ้ายังมีเหตุผลอยู่มั้ย ไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้าย แล้วหันตัวเดินออกไป
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” อวิ๋นจือชิวพลันตวาดเสียงแหลม “เจ้าว่าใครไม่มีเหตุผล? หนิวเอ้อร์ ถ้าเจ้ากล้าก็ลองพูดอีกรอบสิ!” นางยกมือเช็ดตรงหว่างคิ้ว เช็ดโคลนซ่อนจิตออก เผยภาพมายาดอกบัวสีทองบานหนึ่งกลีบ ทำท่าเหมือนจะใช้กำลังข่มขู่
เหมียวอี้ที่หยุดฝีเท้าและหันตัวกลับมาตกตะลึงทันที จากนั้นก็เผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ รีบเดินเข้าไปใกล้ แล้วถามอย่างปลื้มใจมาก “เจ้าบรรลุระดับบงกชทองแล้วเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปาก ยกเท้าเตะหน้าแข็งเขาเพื่อระบายอารมณ์ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “ข้ายังไม่ทันได้คิดบัญชีกับเจ้า แต่เจ้าก็มาขึ้นอารมณ์ใส่ข้าแล้วเหรอ บอกมาเสียดีๆ ระหว่างเจ้ากับพี่น้องฝาแฝดคู่นั้นมันเป็นยังไงกันแน่?”
เหมียวอี้ที่กำลังลูบขาหัวใจกระตุกวูบ แสร้งถามอย่างงุนงงว่า “พี่น้องฝาแฝดอะไร?”
“หนิวเอ้อร์ เจ้าอย่ามาใช้มุกนี้กับข้า! ลูกสาวฝาแฝดของโอวหยางกวงท่านทูตสายชวด ลูกสาวของอันหรูอวี้แห่งแดนโพ้นสวรรค์ ชื่อโอวหยางหลางกับโอวหยางหวน เจ้ากล้าบอกมั้ยว่าเจ้าไม่รู้จัก?” อวิ๋นจือชิวยืนขึ้นตะคอกแล้ว
เหมียวอี้ตอบอย่างกินปูนร้อนท้องว่า “อ๋อ! เจ้าหมายถึงพวกนางเหรอ รู้จักสิรู้จัก แต่ไม่สนิทหรอก มีเรื่องอะไรเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วมุ่น “ไม่สนิทจริงเหรอ? แต่ข้าได้ยินมาว่าเจ้านอนกับพวกนางมาแล้วนะ? ได้ยินว่าเจ้ายอมรับออกมาเองตอนงานนิทรรศการของวิเศษที่แดนอู๋เลี่ยง ข้าก็สงสัยอยู่ ว่าทำไมตอนนั้นถึงทำท่าจะสู้ตายกับเจ้า สงสัยจะเป็นเพราะท่านบุรุษเหมียวไปนอนกับลูกสาวของเขา” พูดจบก็เดินมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วใช้นิ้วแหลมจิ้มที่หน้าอกเหมียวอี้ “หนิวเอ้อร์! เจ้านี่ไม่ธรรมดาเลยนะ! ข้าดูไม่ออกเลย! ยังจะมาเล่นลูกไม้อีก ที่แท้เจ้าก็มีรสนิยมแบบนี้ ฝาแฝดคู่นั้นรสชาติไม่เลวเลยใช่มั้ยล่ะ?”
เหมียวอี้แทบจะเหงื่อท่วมหัว โดนนางจิ้มจนเดินถอยหลัง แต่กลับแสร้งทำสีหน้าโมโห “ไอ้เลวที่ไหนมันพูดจาไร้สาระ เจ้าบอกมาซิ ใครจะมันสร้างข่าวลือ ข้าจจะไปคิดบัญชีกับมัน!”
อวิ๋นจือชิวคว้าคอเสื้อเขาเอาไว้ แล้วพูดเน้นทีละคำว่า “คิดบัญชีเหรอ? ได้! หนิวเอ้อร์ เจ้าฟังให้ดีนะ ปราชญ์เซียนมู่ฝานจวิน นางบอกข้าเองกับปาก ทั้งยังบอกด้วยว่าพวกผู้ชายเจ้าชู้หลายใจ ให้ข้าจับตาดูเจ้าไว้ให้ดี! ข่าวสารของนางใช้สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบติดรึไงล่ะ พูดแบบนี้แสดงว่าต้องมีมูลเหตุ!”
“…” เหมียวอี้ทำสีหน้าไม่ถูก มู่ฝานจวินกินยาผิดมาเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าจะมายุ่งเรื่องในครอบครัวของข้า! จึงถามอย่างสงสัยว่า “พูดจริงรึเปล่า? นางพูดเรื่องด้วยเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวดึงหูของเขา ออกแรงบิดพร้อมบอกว่า “นอกจากนางแล้ว ที่แดนเซียนยังมีใครกล้าพูดข่าวเสียหายของคุณชายรองแห่งแดนโพ้นสวรรค์อีกล่ะ! ไอ้เวรนี่ เจ้าคิดจะปิดบังข้าไม่จนถึงเมื่อไร!”
“ฮูหยิน เบาหน่อยๆ เจ็บ!” เหมียวอี้เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน เขาเขย่งเท้าเพราะโดนนางดึงหูยกขึ้นสูงมาก เมื่อโดนจับจุดอ่อนเพราะเป็นฝ่ายทำเรื่องผิดแบบนี้ เขาก็ไม่กล้าตอบโต้ ทำได้เพียงร้องออกมา “ให้ข้าพูดบ้างไม่ได้เหรอ! นั่นเป็นความผิดพลาดแท้ๆ เลย แม่งเอ๊ย ข้าต่างหากที่เป็นคนที่โชคร้ายที่สุด เรื่องนี้ต้องเล่าตั้งแต่ตอนที่ข้าไปโรงเตี๊ยมเมฆาวายุครั้งแรก”
พออวิ๋นจือชิวปล่อยมือจากเขา เท้าที่อยู่ใต้กระโปรงก็บินออกมา เตะที่หน้าแข้งเขาอย่างแรง แล้วกล่าวอย่างดุดันว่า “บอกมา! ทำไมมาเกี่ยวข้องกับโรงเตี๊ยมของข้าได้? เจ้าบ้านี่ พวกเจ้าคงไม่ได้มาแอบทำเรื่องหน้าไม่อายกันในโรงเตี๊ยมหรอกมั้ย?”
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ นางคงโมโหตายแน่ๆ เหตุผลก็ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะเหมียวอี้นอนกับนางที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ถ้ายังแอบนอนกับคนอื่นในโรงเตี๊ยมของนางอีก จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร!
เหมียวอี้เอามือลูบหูลูบขาอีกครั้ง เจ็บทั้งข้างบนข้างล่าง ทั้งยังต้องหาโอกาสโบกไม้โบกมืออีก “เปล่านะ เปล่าเลย ไม่เคยทำเรื่องผิดต่อเจ้าที่โรงเตี๊ยมแน่นอน เจ้าเองก็รู้มูลเหตุก่อนหน้า ครั้งแรกที่ข้าไปโรงเตี๊ยมเมฆาวายุก็เพราะได้รับคำสั่งให้ไปหาเรือมังกรอเวจีที่ทะเลทรายม่านเมฆา…”
เขาไม่รู้ว่ามู่ฝานจวินรู้เรื่องนี้มากแค่ไหนกันแน่ และไม่รู้ว่านางบอกเมียตัวเองไปมากแค่ไหน ถ้าหากพูดไม่ตรงกัน เขากังวลว่าผู้หญิงคนนี้จะสู้กับตนอย่างสุดชีวิตแน่นอน ทำได้เพียงเล่าต้นสายปลายเหตุอย่างละเอียด
เริ่มตั้งแต่ไปปฏิบัติภารกิจลับที่ทะเลทรายม่านเมฆา ตอนหลังโดนลอบสังหารระหว่างที่ตามหาเรือมังกรอเวจี อันเจิ้งเฟิงจึงส่งโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายมาปกป้องตน อยากจะล่อมือสังหารออกมา แต่พอเจอเรือมังกรอเวจีแล้ว ฝาแฝดคู่นั้นก็โดนพิษราคะที่อยู่ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา จากนั้นเขาก็เล่าเหตุการณ์ที่ตัวเอง ‘ประสบเคราะห์’ ด้วยสีหน้าขื่นขม
สิ่งที่เล่าออกมาล้วนเป็นความโศกเศร้า พอเล่าจบก็พูดเสริมอีกว่า “ข้าต่างหากล่ะที่เป็นเหยื่อ! หลังจากนั้นมาข้าก็ไม่เคยแตะต้องพวกนางอีกเลยจริงๆ อยากจะหลบยังหลบไม่ทันเลย!”
เหตุการณ์ในระหว่างนั้น อวิ๋นจือชิวรู้แล้ว รวมทั้งเห็นภาพที่เหมียวอี้โดนลอบสังหารในทะเลทรายกับตาตัวเอง ได้เห็นความห้าวหาญดุร้ายของเหมียวอี้กับตาตัวเองมาแล้ว ตอนนั้นเขามีวรยุทธ์บงกชเขียว แต่กำจัดนักพรตบงกชแดงไปได้สองคน
อันที่จริง ตั้งแต่เจอเหมียวอี้ที่วัดเมี่ยวฝ่าครั้งแรก จนกระทั่งเหมียวอี้โดนลอบสังหารโดยนักพรตบงกชแดงสองคนที่ทะเลทรายม่านเมฆา ทั้งยังสู้ตายกับเฟิงเสวียนเพื่อแย่งชิงตน สิ่งเหล่านั้นทำให้นางได้รับรู้ถึงด้านที่กล้าหาญของผู้ชายคนนี้อย่างลึกซึ้งแล้ว ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาวแน่นอน
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่หลังจากได้ฟังความจริง อวิ๋นจือชิวก็ยังโกรธจนหน้าเขียวอยู่ดี ตอนแรกที่ได้ฟังนางค่อนข้างรับไม่ไหวจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายของตนจะโดนผู้หญิงสองคนขืนใจ! เรียกได้ว่าโมโหจนตัวสั่น จู่ๆ ก็ทำตัวเหมือนคนบ้า “นางตัวดีสองคนนั้น ข้าจะฆ่าทิ้งซะ!”
พอหันตัวมาก็เห็นนางผมสยายพุ่งไปข้างนอก เหมียวอี้ตกใจจนหน้าถอดสี ถลันตัวเข้าไปขวางนางไว้ กอดนางแน่น พร้อมพูดขอร้องว่า “ไม่ใช่แล้วมั้ง! เจ้าคงไม่คิดจะทำเรื่องแบบนี้ให้ใหญ่โตขึ้นหรอกใช่มั้ย? เรื่องนี้พวกนางก็ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน ท่านย่าขอรับ ท่านไว้หน้าข้าสักหน่อยดีมั้ย!”
ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะดึงมวยผมของเขาเอาไว้ แล้วกดลงไปกับพื้นโดยตรง จากนั้นก็ลงหมัดลงเท้าซ้อมราวกับพายุคลั่ง ซ้อมไปพลางด่าไปพลาง “เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่รึเปล่า! ไอ้คนไร้ประโยชน์ ถ้าเจ้าไปขืนใจพวกนาง ข้ายังจะนับถือว่าเจ้ากล้าหาญอยู่หรอก โอ้แม่เจ้า! ชายหนุ่มผู้สง่าผ่าเผยโดนผู้หญิงสองคนขืนใจ เจ้าไม่รู้จักขัดขืนเลยเหรอ? ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ไอ้เวรเอ๊ย ทำไมเจ้าไม่ไปตายซะล่ะ! โดนผู้หญิงขืนใจแล้วยังกล้ามาขึ้นเตียงกับข้าอีก เจ้ามันไร้ยางอาย!”
เหมียวอี้โดนซ้อมจนมุดไปอยู่ที่มุมกำแพง หดตัวอยู่ที่มุมกำแพง เอามือกุมศีรษะร้องโอดครวญ “แม่งเอ๊ย! ตอนนั้นข้าวรยุทธ์เท่าไรล่ะ ข้าวรยุทธ์บงกชเขียวนะ พวกนางสองคนวรยุทธ์บงกชม่วง แค่กระดิกนิ้วทีเดียวข้าก็ขยับตัวไม่ได้แล้ว มิหนำซ้ำพวกนางยังมีกันสองคน เจ้าจะให้ข้าขัดขืนอย่างไรล่ะ?”
“แล้วเจ้ายังมีหน้าอยู่มาจนวันนี้ได้ยังไง ทำไมไม่กัดลิ้นตัวเองตายไปซะ?”
“กัดลิ้นตัวเองตายเหรอ? ถุยสิ เจ้าคิดได้เนอะ เจ้ายังมีเหตุผลอยู่รึเปล่า!”
“ข้าไม่มีเหตุผลงั้นเหรอ!” อวิ๋นจือชิวคำราม แล้วซ้อมเขาอย่างโมโหบ้าคลั่ง
เป็นเพราะเสียงซ้อมคนดังเกินไป เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างนอกจำต้องวิ่งเข้ามาดูความเคลื่อนไหว พอเห็นภาพนี้ ทั้งสองก็ตกตะลึงพรึงเพริด นึกไม่ถึงว่าเวลาฮูหยินระเบิดอารมณ์แล้วจะซ้อมนายท่านแบบนี้! จึงรีบเข้ามาดึงแขนอวิ๋นจือชิวเอาไว้พร้อมกัน “ฮูหยินโปรดระงับโทสะ! ท่านทำแบบนี้นายท่านอาจจะตายได้นะเจ้าคะ!”
…………………………