พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 883
อวิ๋นจือชิวที่โดนดึงแขนเดือดดาลจนหัวเราะออกมา “ผู้ชายของข้า ข้าจะตบจะตีอย่างไรก็ได้ ถ้าข้าไม่อยากใช้งานแล้ว จะให้ตอนทิ้งก็ยังได้ เรื่องตรงนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า ออกไป!” ขณะที่พูดก็ชกกำแพงที่หุ้มด้วยทองคำหนึ่งหมัด
ปั้ง! กำแพงสีทองเหลืองอร่ามเกิดเป็นรอยหมัดลึกทันที ถ้าใช้หมัดนี้ชกคน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผลจะเป็นยังไง
ตอนทิ้ง? จะไม่ใช่เรื่องของพวกเราได้ยังไง? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกเราแน่นอน! หญิงรับใช้ทั้งสองตกใจมาก พอเห็นอวิ๋นจือชิวลงมือโหดเหี้ยมกับสามีตัวเองแบบนี้ ก็เป็นการทำลายแนวคิดสามีเป็นช้างเท้าหน้าของทั้งสองมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอวิ๋นจือชิวจะตอนเหมียวอี้ทิ้งได้จริงๆ ทั้งสองตาลีตาลานเข้ามาวิงวอน “ฮูหยิน ตีอีกไม่ได้แล้ว ตีอีกไม่แล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”
แต่ใครจะไปคาดคิดล่ะ เหมียวอี้ที่โดนซ้อมจนหน้าปูดตาช้ำจะลุกขึ้นมาจากมุมกำแพง แล้วโบกมือบอกทั้งสองว่า “พวกเจ้าออกไปเถอะ ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า ฮูหยินกำลังเล่นกับข้า”
เขาไม่มีทางเลือก เขานึกเสียใจทีหลังที่ตัวเองบอกความจริงกับอวิ๋นจือชิว ดูจากปฏิกิริยาของอวิ๋นจือชิวแล้ว ก็แสดงว่านางไม่ได้รู้ความจริงมาก่อนเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่อัดอั้นมาถึงตอนนี้แล้วค่อยลงมือหรอก ถ้าอวิ๋นจือชิวปากไม่มีหูรูดเปิดโปงเรื่องเน่าเหม็นให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ได้ยิน เขาจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง ย่อมต้องอยากไล่หญิงรับใช้ทั้งสองออกไปเร็วๆ อยู่แล้ว
นายท่านหน้าปูดหน้าช้ำเลือดออกปากออกจมูก ทั้งสองได้แต่พูดไม่ออก โดนตีขนาดนี้แล้ว จะเล่นกันเฉยๆ ได้ยังไง?
แต่เหมียวอี้พูดขนาดนี้แล้ว ทั้งสองยังจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงค่อยๆ ถอยออกไป
“เล่นกันเหรอ? หน้าไม่อาย ใครเล่นกับเจ้า!” กระโปรงยาวโบกสะบัด ขายาวเตะออกมาแล้ว
ขนาดใส่กระโปรงยาวยังโหดได้ขนาดนี้ มาดอันห้าวหาญของนางมารร้ายหมายเลขหนึ่งแห่งนภาจอมมารถูกเปิดเผยออกมาหมดสิ้น
“เจ้ายังไม่พออีกเหรอ!” เหมียวอี้ร่ำร้อง แล้วรีบเอามือกุมศีรษะนั่งย่อลงที่มุมกำแพง แต่ยังไม่ลืมที่จะเตือนว่า “มองบ้าอะไร! ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า ยังไม่ถอยไปอีก!”
เหมียวอี้สะอื้นในใจ วันนี้เสียหน้าหมดแล้ว!
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ถอยไปตรงประตูเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หมัดและเท้าที่ฮูหยินปล่อยใส่ตัวนายท่าน เรียกได้ว่ารุนแรงเหมือนตีกลอง เมื่อโดนเขาตะคอกแบบนั้น พวกนางก็ทำได้เพียงแข็งใจถอยออกไป
ผ่านไปพักใหญ่ อวิ๋นจือชิวที่ผมยุ่งสยาราวกับคนบ้า ลักษณะสง่าภูมิฐานหายไปหมดสิ้นก็ยืนเท้าเอวเฝาอยู่ที่มุมกำแพง กำลังกดดันสามีตัวเอง ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้จึงหยุดลงมือ “ไม่ใช่สิ! เจ้าเองก็ไม่ใช่ผู้หญิง จะโดนขืนใจง่ายๆ ได้อย่างไร ขอแค่สิ่งที่อยู่ต้หว่างขาเจ้ามันไม่ได้เรื่อง อาศัยแค่พวกนางจะขืนใจเจ้าได้อย่างไร? เจ้าเองก็โดนพิษราคะนั่นเหมือนกันใช่มั้ย หรือว่าพวกนางวางยาเจ้า? วางยาก็เป็นไปไม่ได้หรอก ลูกสาวของอันหรูอวี้ไม่น่าจะพกอะไรแบบนั้น! ร่ายอิทธิฤทธิ์บีบบังคับเหรอ?”
รองเท้าปักลายที่อยู่ใต้กระโปรงยื่นออกมา เหยียบบ่าเหมียวอี้ที่กำลังกุมศีรษะ “บอกมาเสียดีๆ ตอนนั้นคนชั่วอย่างเจ้าพายเรือตามน้ำ[1]ใช่มั้ย?”
เหมียวอี้พลันยืนขึ้น เอามือเช็ดลือดที่จมูก แล้วตะคอกอย่างเดือดดาลเหลืออด “ใช่แล้ว ข้าพายเรือตามน้ำเอง! อวิ๋นจือชิว เจ้าอย่าทำเกินไปได้มั้ย! ให้เจ้าด่าก็แล้ว ให้เจ้าตีก็แล้ว เจ้าจะเอายังไงอีก? ถ้าเก่งนักก็ฆ่าข้าทิ้งเลย ข้าจะไม่โต้ตอบด้วย!”
เมื่อเห็นสภาพเขาหน้าบวมตาปูดแล้วยังพูดจาใส่อารมณ์ได้ อวิ๋นจือชิวที่กำลังยืนเท้าเอวก็ชะงักไป จากนั้นก็เอามือปิดปากกลั้นขำ หัวเราะจนตัวค่อยๆ งอ เอาสองมือกุมทอง หัวเราะจนหายใจไม่ทันจริงๆ
ความโมโหเดือดดาลหายไปในชั่วพริบตาเดียว ไม่ใช่เพราะสภาพอนาถของเหมียวอี้ยั่วให้ขำ แต่สาเหตุหลักเป็นเพราะเหมียวอี้ยอมรับว่าตอนนั้นพายเรือตามน้ำ
ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ ก็เป็นเรื่องยากที่นางจะหายโกรธได้ สำหรับนางแล้ว สภาพจิตใจของนางก็เทียบได้กับสภาพจิตใจของผู้ชาย เหมือนเวลาที่ผู้ชายรู้ว่าผู้หญิงของตัวเองเคยโดนผู้ชายคนอื่นขืนใจมาก่อน แบบนั้นน่าสะอิดสะเอียนพอสมควร ถ้าลองเอาใจเขามาใส่ใจเราดูบ้าง ก็เหมือนกับกลืนแมลงวันตัวหนึ่งลงท้องไป
ทว่าในยุคนี้นั้นเป็นแบบนี้ การที่ผู้ชายมีผู้หญิงหลายคน ก็ไม่ใช่เรื่องที่รับได้ยากสำหรับผู้หญิง ค่านิยมในสังคมมนุษย์มีอานุภาพรุนแรงมาก รุนแรงพอที่จะทำให้เหล่าอนุภรรยาเข้าใจได้ หลังจากรู้ว่าเหมียวอี้ไม่ได้โดนขืนใจแบบนั้นจริงๆ แต่เป็นการพายเรือตามน้ำและได้ตักตวงผลประโยชน์ นางก็ไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนแล้ว กอปรกับเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะมามีอะไรกับนาง นางเองก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่าซักไซ้หาความต่อแล้ว
“หัวเราะบ้าอะไร! ผู้หญิงปากร้าย!” เหมียวอี้ด่าอย่างโมโห แล้วเดินวนอ้อมนางออกไป
“จะไปไหน?” อวิ๋นจือชิวที่หัวเราะจนเจ็บท้องดึงแขนเขาไว้ไม่ยอมปล่อย
“เจ้าคิดว่าจะไปไหนล่ะ? เจ้ารู้จักมั้ยว่าอะไรที่เรียกว่าช้างเท้าหน้า? เจ้ารู้มั้ยว่าอะไรที่เรียกว่าคุณธรรมของสตรี? เจ้าเคยเห็นเมียที่ไหนทำตัวแบบเจ้าบ้างมั้ย?” เหมียวอี้กำลังอยู่ในอารมณ์เดือดดาล เอามือเช็ดเลือดที่ปากกับจมูกอีกครั้ง พอมองเห็นเลือดสดบนฝ่ามือ ก็บ่นอย่างโมโหอีกว่า “อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว! ข้าไม่คู่ควรกับเจ้าหรอก พวกเราแยกทางกันก็ได้นะ! ข้าจะไปเขียนหนังสือขอเลิกภรรยา นับแต่นี้ไปก็ทางใครทางมัน!”
ต่อให้คำพูดจะไม่น่าฟังสักแค่ไหน แต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่เก็บมาใส่ใจ กอดแขนเขาต่อไปไม่ยอมปล่อย ก้มหน้ากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านสามี หม่อมฉันผิดไปแล้ว ล้วนเป็นความผิดของหม่อมฉัน เอาอย่างนี้มั้ย ข้าให้เจ้าตีข้าคืน หม่อมฉันจะไม่โต้ตอบเด็ดขาด!”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าเหรอ!” เหมียวอี้กล่าวอย่างโมโห
อวิ๋นจือชิวปล่อยเขาทันที ยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างสง่าผ่าเผย เชิดใบหน้างามขึ้นมา ทำท่าเหมือนรอให้เขาตบตีได้ตามอำเภอใจ
เหมียวอี้ง้างฝ่ามือขึ้นมา โบกไปทางใบหน้านาง ลมวูบหนึ่งพัดใส่จนผมงามปลิวสยาย ใบหน้าขาวหมดจดน่าหลงใหลปรากฏตรงหน้าเหมียวอี้ ตอนนี้อวิ๋นจือชิวหลับตาแล้ว แพขนตายาวกำลังสั่นไหวเบาๆ
ฝ่ามือที่โบกเข้ามาหยุดชะงักอยู่ใกล้ใบหน้านาง ห่างไม่ถึงหนึ่งฝามือด้วยซ้ำ
เหมียวอี้ทำสีหน้าค่อนข้างดุร้าย หลายครั้งที่อยากจะขยับฝ่ามือ แต่สุดท้ายก็ตบไม่ลง
เมื่อเห็นว่าไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร! อวิ๋นจือชิวก็ค่อยๆ ลืมตาข้างหนึ่งมองเขา จากนั้นก็ลืมตาอีกข้าง ดวงตางามทั้งสองข้างก็กลายเป็นเหมือนกับบ่อน้ำ ขณะที่มองเขา นางกัดริมฝีปาก ดวงตาฉายแววเคลิบเคลิ้ม ใช้มืออันอ่อนนุ่มจับมือของเหมียวอี้เอาไว้ แล้วเอามาคลอเคลียใบหน้าตัวเองเบาๆ พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าหวานชื่นอ่อนโยน “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านสามีรักตัดใจตบหน้าข้าไม่ลงจริงๆ!”
“ถุย! ข้าแค่ไม่อยากถือสาผู้หญิงปากร้ายอย่างเจ้าเฉยๆ หรอก!” เหมียวอี้สะบัดมือออก เอามือเช็ดเลือดที่จมูกอีกครั้ง ก่อนจะสะบัดชายเสื้อแล้วหันหน้าเดินออกไป
อวิ๋นจือชิวสะบัดกระโปรง ถลันตัวไปขวางเขา แล้วทำสีหน้าเหมือนสาวน้อยกำลังอ้อนวอน “ท่านสามีอย่าโมโหสิคะ หม่อมฉันยอมรับผิดแล้ว! ท่านสามีรอก่อนนะ หม่อมฉันจะทำโทษตัวเอง จะไปคุกเข่าที่ประตูใหญ่นอกตำหนักสามวันเดี๋ยวนี้เลย!”
นางใช้สองมือยกกระโปรง แล้ววิ่งออกไปข้างนอกอย่างแน่วแน่
เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด ไม่สนใจใยดี แต่ชั่วพริบตาเดียวก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล แม่งเอ๊ย ผู้หญิงบ้าคนนี้คงไม่วิ่งออกไปคุกเข่าหน้าประตูตำหนักจริงๆ หรอกใช่มั้ย?
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าห่างไปไกลแล้ว ก็รีบถลันตัวตามออกไปทันที
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่ตรงทางเดินนอกห้องอาบน้ำเห็นอวิ๋นจือชิววิ่งออกมาก่อน ขณะกำลังจะไปดูว่านายท่านโดนซ้อมเป็นอย่างไรบ้าง แต่ปรากฏว่าสักพักก็เห็นนายท่านวิ่งตามออกมาแล้ว
อวิ๋นจือชิววิ่งมาถึงประตูตำหนักนอนแล้ว เหมียวอี้ที่วิ่งตามมาดึงแขนนางเอาไว้ จากนั้นก็ชี้นางซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่รู้ว่าควรจะว่านางอย่างไรดี สุดท้ายก็กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “เจ้าคิดจะเอายังไงกันแน่? ไม่รู้จักจบจักสิ้นใช่มั้ย?”
“หม่อมฉันยอมรับผิดแล้ว หม่อมฉันจะไปคุกเข่าชดใช้ความผิดที่ประตูใหญ่นอกตำหนักไง ยังไม่พอใจเหรอ? หากท่านสามีรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะหายโกรธ เช่นนั้นก็ตีข้าสักยก แล้วจากนั้นข้าก็จะไปคุกเข่าที่ประตูใหญ่อีก แบบนี้ไม่ได้เหรอ?” อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ
“อวิ๋นจือชิว เจ้าช่วยหยุดพักสักหน่อยได้มั้ย?” เหมียวอี้ยื่นปากเข้าไปตะคอกตรงหูนาง แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเหล่านางในดังเข้ามาใกล้ จึงรีบกันไปมอง กลัวว่าจะมีคนมาเห็นใบหน้าอนาถยับเยินของตน จึงรีบดึงแขนอวิ๋นจือชิวเดินออกไป
อวิ๋นจือชิวโดนดึงให้เดินออกมา ในดวงตางามฉายแววเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็มองหลังศีรษะที่โดนตีจนยุ่งเหยิงของเหมียวอี้ด้วยแววตาหวานซึ้ง สีหน้าของนางชื่นมื่นมาก คิดว่าสุดท้ายแล้วผู้ชายคนนี้ก็ยังรักและทะนุถนอมนาง สุดท้ายก็ยอมรับความไม่เป็นธรรมแทนนาง โชคดีที่เมื่อครู่นี้นางไม่ได้โมโหหน้ามืดจนตีเขาตาย!
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่รีบเดินเข้ามาชะงักงัน เห็นนายท่านดึงตัวฮูหยินกลับไปที่ห้องอาบน้ำอีกแล้ว
แล้วสีหน้าของฮูหยินนั่นมันอะไรกัน? ทำไมทำท่าเหมือนจะสำลักความสุขตายล่ะ! ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง เรื่องนี้ยากจะเข้าใจ ทำได้เพียงกลับไปเฝ้าอยู่ที่ประตูห้องอาบน้ำอีกครั้ง
เหมียวอี้เดินกลับมาในห้องอาบน้ำด้วยความเดือดดาล แล้วดึงผู้หญิงข้างหลังออกมาผลัก
อวิ๋นจือชิวล้มลงบนเตียงหยก ขระมองดูสภาพยับเยินของเหมียวอี้ นางก็รู้สึกผิดเหมือนกัน รู้สึกอับอายนิดหน่อย ซ้อมจนผู้ชายของตัวเองมีสภาพเป็นแบบนี้ได้ ถ้าไม่พิจารณาตัวเองสักหน่อย ก็จะดูไม่เข้าท่าเกินไปแล้ว เหมือนไม่ใช่เรื่องที่ผู้หญิงปกติจะทำได้
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ลงมือซ้อมคนแบบนี้? ตอนอยู่ที่นภาจอมมารนางทำแบบนี้บ่อย แต่ตอนหลังไม่ได้ทำนานแล้ว ครั้งล่าสุดก็คือตอนจบงานนิทรรศการของวิเศษที่แดนอู๋เลี่ยง ครั้งนั้นอวิ๋นเฟยหวงลูกชายของอวิ๋นเป้าแย่งยาแก่นเซียนสามสิบเม็ดของเหมียวอี้ไป นางโมโหมาก จึงจับอวิ๋นเฟยหวงผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเองมาซ้อมอย่างโหดเหี้ยมยกหนึ่ง แล้วแย่งยาแก่นเซียนกลับมาคืนให้เหมียวอี้ หลังจากนั้นก็คือครั้งนี้ นางซ้อมสามีตัวเองจนสภาพเป็นแบบนี้แล้ว…
“ท่านสามีอยากจะลงโทษหม่อมฉันอย่างไรคะ หม่อมฉันยอมรับผิดแล้ว” อวิ๋นจือชิวมองเขาตาปริบๆ
“ท่านย่า! ท่านบรรพบุรุษ!” เหมียวอี้ประสานมือคำนับนาง “เจ้าอย่าหาเรื่องได้มั้ย? ถือว่าข้าขอร้องได้มั้ย?”
“งั้นเจ้ายังจะซ้อมข้ารึเปล่าล่ะ?” อวิ๋นจือชิวถาม
“มิบังอาจ! ข้ายอมรับผิด! ข้าสมควรตาย! ข้าโดนกรรมตามสนอง! ข้าติดหนี้ชีวิตเจ้าแล้ว ตกลงมั้ย? ข้าขอร้องให้เจ้าปล่อยข้าไป ตกลงมั้ย?” เหมียวอี้ประสานมือคารวะต่อไป แล้วจู่ๆ ก็พบว่าเท้าข้างหนึ่งที่สวมรองเท้าปักยื่นมาตรงหน้า
พอเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นอวิ๋นจือชิวใช้สองมือยันข้างหลัง ยกเท้าข้างหนึ่งมาตรงหน้าเขา พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าหยาดเยิ้ม “ช่วยถอดรองเท้าให้ข้าหน่อยสิคะ!”
เหมียวอี้กำหมัดสองข้าง เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะซ้อมคน อารมณ์ค่อนข้างฮึกเหิม “เจ้าคิดจะเอายังไงอีก? ยังไม่จบใช่มั้ย? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด!”
“ช่วยถอดรองเท้าให้หน่อย ข้าจะอาบน้ำ” อวิ๋นจือชิวกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เหมียวอี้โบกมือปัดเท้านางออกไป “เจ้าไม่มีมือหรือไง?”
อวิ๋นจือชิวจึงถามว่า “เจ้าจะช่วยหรือไม่ช่วย? ถ้าเจ้าไม่ช่วย ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าให้อภัยข้าจริงรึเปล่า ถ้าตอนหลังเจ้ากลับมาซ้อมข้า ข้าจะทำอย่างไรล่ะ?”
“…” เหมียวอี้ทำท่าเหมือนจะเป็นบ้า คว้าข้อเท้านางเอาไว้ แล้วใช้มืออีกข้างดึงรองเท้าโยนไปข้างหลัง แล้วดึงถุงเท้ายาวของนางลงมา ก่อนจะโยนออกไปอย่างไม่ใส่ใจ
“ยังมีข้างนี้อีก!” เท้างามอีกข้างแตะลงพื้น
เหมียวอี้โน้มตัวเข้ามาจับขาที่อยู่ใต้กระโปรงของนางขึ้นมา เพิ่งจะโยนรองเท้าข้างนั้นออกไป จู่ๆ เท้างามขาวใสดุจหยกข้างหนึ่งก็ประทับลงบนหน้าเขา
“หนิวเอ้อร์ หอมมั้ย?”
เพี้ยะ! เหมียวอี้ตบออกไป “เหม็น!”
เพิ่งจะดึงถุงเท้าของเท้าข้างนั้นออกไป ขาสองข้างที่อยู่ใต้กระโปรงก็ไขว้คอเขาไว้ไม่ยอมปล่อย เหมียวอี้ที่โดนขากักไว้โน้มตัวมองนางอย่างเย็นเยียบ
“หนิวเอ้อร์ ข้าถามอะไรเจ้าอย่างหนึ่งสิ จากบ้านไปนานขนาดนี้ เจ้าได้แตะต้องผู้หญ่งบ้างรึเปล่า?” อวิ๋นจือชิวถามอย่างสุขุมเยือกกเย็น
หัวใจกระตุกวูบ คำพูดนี้จี้ใจดำท่านขุนนางเหมียวอีกครั้ง นี่คือเรื่องที่เขารู้สึกผิดที่สุด เมื่อนางถามแบบนี้ ตัวเขาเองยังรู้สึกเลยว่าที่โดนซ้อมเมื่อครู่นี้ก็สมน้ำหน้าแล้ว ความโมโหในใจหายไปในชั่วพริบตาเดียว ที่เพิ่มขึ้นคือความว้าวุ่นหวาดหวั่น
แต่หลังจากมีบทเรียนเมื่อครู่นี้แล้ว ต่อให้โดนตีให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับ พยายามทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเสียงฮึดฮัดแล้วตอบว่า “ข้าบอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าข้าโดนขังในค่ายกลมารโลหิตสามร้อยกว่าปี จะมีอารมณ์ไปทำเรื่องเหลวไหลแบบนั้นเสียที่ไหน”
อวิ๋นจือชิวพูดดูถูกว่า “เชอะ! พระที่เคยกินเนื้อสัตว์มาบอกว่าตัวเองกินเจเนี่ยนะ ใครจะไปเชื่อล่ะ! อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นแล้วเจ้าจะพูดอะไรก็ได้นะ ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อน เมื่อถึงวันนั้นข้าไม่ซ้อมเจ้าง่ายๆ แบบนี้หรอก ข้าจะตอนของเจ้าทิ้งซะ!”