พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 902
ยาเจี๋ยตันขั้นสี่นับเป็นยาเจี๋ยตันขั้นสูงของพิภพเล็ก ถึงอย่างไรทรัพยากรก็มีจำกัด นักพรตบงกชทองก็มีจำนวนจำกัดเช่นกัน ยาเจี๋ยตันขั้นสี่ย่อมมีจำนวนจำกัดอยู่แล้ว ต่อให้เป็นนักพรตบงกชทอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีของวิเศษขั้นสี่ได้ เกราะรบขั้นสี่ทั้งชุดแบบนี้ ยังไม่ถึงพูดถึงว่าในนั้นมียาเจี๋ยตันขั้นสี่อยู่กี่เม็ด แต่แค่เกราะรบขั้นสี่ชุดนี้ ถ้าให้นักพรตบงกชทองใช้ร่วมกับเกราะของพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง ต่อให้สู้กับหกปราชญ์ก็สามารถต้านทานได้บ้าง สามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้เยอะมาก
อย่าว่าแต่เหมยซาง แม้แต่ชุยหย่งเจินก็ตาเป็นประกาย ต่างก็คาดไม่ถึงว่าบนตัวเหมียวอี้จะมีของวิเศษระดับนี้อยู่
ซวบ! ในชั่วพริบตาเดียวเหมียวอี้ก็ถือดาบพุ่งฝ่าฝุ่นดินขึ้นบนฟ้า ทุกคนเงยหน้ามอง แล้วพุ่งตัวตามขึ้นไปเช่นกัน
เหมียวอี้ที่หมายจะไปทางสำนักงามวิจิตรพลันหยุดชะงัก ห้าคนที่นำโดยชุยหย่งเจินเหาะเข้ามาขวางทางเขาไว้แล้ว ความต่างด้านวรยุทธ์ก็อยู่ตรงนี้ ถ้าอยากจะอาศัยความเร็วเพื่อฝ่าวงล้อมก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เห็นเหมียวอี้ทำท่าใจเย็นหนักแน่น เหมือนจะไม่ได้มีเจตนาฝ่าวงล้อมสักเท่าไร
“เกราะรบชุดนี้คือของข้า!” ชุยหย่งเจินประกาศ
“นั่นก็ต้องดูว่าใครจับตัวเขาได้!” จีเหม่ยเหมยกล่าว
เมื่อพูดจบ เหมยซางก็พลิกฝ่ามือถือทวนยาวด้ามหนึ่งไล่ตาม
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะไม่สนใจเขาเลย เสียงยิงดังซวบ เหมียวอี้ชิงลงมือก่อน พุ่งเป้าไปที่ชุยหย่งเจินโดยตรง เขากำหนดเป้าหมายของตัวเองแล้ว นั่นก็คือจัดการกับชุยหย่งเจินก่อน
ชุยหย่งเจินสุขุมใจเย็น เพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาเลย ไม่มีท่าทีจะลงมือ ลอยตัวอยู่บนฟ้าอย่างไม่สะทกสะท้าน
กลับเป็นสี่คนทางซ้ายและขวาของนางที่ถลันตัวออกไป เรียงแถวหน้ากระดานอยู่ตรงหน้านางแล้ว
พอเหมียวอี้ที่พุ่งตัวออกมาพลิกฝ่ามือโบก เงาคนกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูง
ตั๊กแตนแปดสิบห้าตัวกรูออกมาราวกับฝูงผึ้ง พุ่งใส่ทั้งสี่คนที่ขวางทางราวกับธนูที่พุ่งออกจากสาย
เยารั่วเซียนยังนับว่ามีมโนธรรมอยู่บ้าง อาจจะรู้ว่าเหมียวอี้มาที่นี่แล้วจะมีอันตราย ประกอบกับเขาไม่สามารถควบคุมตั๊กแตนพวกนี้ให้ต่อสู้ได้ จึงไม่ได้นำเจ้าพวกนี้ของเหมียวอี้ไปด้วยทั้งหมด ถึงขั้นทิ้งสิ่งของเอาไว้ไม่น้อย แล้วเหมียวอี้ก็นำตั๊กแตนพวกนั้นมาด้วยทั้งหมดเพื่อป้องกันตัว ถึงอย่างไรก็มาแดนอู๋เลี่ยง เห็นๆ กันอยู่ว่าเขากับนภาอู๋เลี่ยงมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เป็นไปไม่ได้ที่ตนไม่เตรียมตัวให้มากๆ หน่อยๆ
พวกนั้นมันตัวอะไร? ชุยหย่งเจินงุนงง สี่คนที่อยู่ตรงหน้านางก็ทำสีหน้าตะลึงงันเช่นกัน ไม่เคยเห็นของเล่นแบบนี้มาก่อน ตั๊กแตนเหรอ? ตั๊กแตนตัวหนึ่งใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ?
ทั้งสี่รีบโบกอาวุธในมือ ต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง พอได้ลงมือก็ยิ่งตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าวรยุทธ์ระดับบงกชทองจะทำลายเกราะของตั๊กแตนพวกนี้ไม่ได้ แต่ตั๊กแตนพวกนี้กลับทำลายเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ทำให้พวกเขาตระหนกตกใจมาก
นี่ไม่ใช่ตั๊กแตนสิบห้าตัวที่เหมียวอี้ใช้ก่อนหน้านี้ แต่เป็นตั๊กแตนแปดสิบห้าตัว กดดันให้ทั้งสี่ฉุกละหุกในชั่วพริบตาเดียว ต่อให้ตั๊กแตนจะโดนพวกเขาโจมตีจนกระเด็นออกไปตัวแล้วตัวเล่า แต่ทั้งสี่ก็ต้านทานตั๊กแตนมากมายขนาดนี้ไม่ไหวเหมือนกัน ตัวที่เหลือโจมตีไปทางชุยหย่งเจิน
เมื่อเห็นนักพรตระดับบงกชทองโจมตีตั๊กแตนประหลาดพวกนี้ไม่ตาย ชุยหย่งเจินก็สีหน้าเปลี่ยน รีบเรียกทวนยาวด้ามหนึ่งมาไว้ในมือ โต้ตอบอย่างห้าวหาญ โจมตีตั๊กแตนที่ประชิดเข้ามาจนกระเด็นออกไปตัวแล้วตัวเล่า
ในมือของเหมียวอี้ที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง แสงสีฟ้าพลันเปล่งออกมา ดาบใหญ่กวาดโจมตีเข้ามาด้วยความมุทะลุดุดันจนตั้งรับไม่ทัน แสงสีฟ้าสายหนึ่งกลืนเข้าคายออก สะบัดหางราวกับดาวหาง กวาดใส่ทั้งสี่คนที่กำลังขวางทาง
ทั้งสี่ที่กำลังโดนตั๊กแตนล้อมโจมตีจนฉุกละหุกตกใจมาก รับรับมืออย่างเร่งด่วน ตีโต้แสงสีฟ้าที่กวาดโจมตีเข้ามา
แต่พวกเขาโจมตีได้เพียงส่วนหางของดาวหางเท่านั้น เกราะพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวกลับต้านทานแสงสีฟ้าที่โผเข้ามา แสงสีฟ้าที่โผใส่หน้าซึมเข้าไปในผิวหนังโดยตรง
พอโดนแสงสีฟ้าโจมตี ทั้งสี่ก็ทำสีหน้าเหมือนเจอผีทันที ความในการลงมือช้าลงทันที ตั๊กแตนบินขวักไขว่ทะลุทั้งสี่คนจนมีเลือดสดพุ่งออกมาสายแล้วสายเล่าทันที
“อา…” เสียงกรีดร้องสี่ครั้งพลันหยุดลง คนเป็นๆ ทั้งสี่คนแทบจะโดนฉีกร่างในชั่วพริบตาเดียว
ชุยหย่งเจินที่โดนกดดันจนฉุกละหุกก็ตกใจจนหน้าถอดสีเช่นกัน ตะโกนออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “เรือมังกรอเวจี!”
แสงสีฟ้าสายหนึ่งที่เหมือนทั้งมังกรบินเหมือนทั้งพายุหมุนถูกปล่อยออกจากดาบใหญ่ในมือเหมียวอี้ ชุยหย่งเจินที่กำลังโดนฝูงตั๊กแตนโหดล้อมโจมตีไม่มีที่ให้หลบ โดนแสงสีฟ้าที่ม้วนหมุนเข้ามาชะล้างคาที่
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในหัวชุยหย่งเจินพลันมีภาพภาพหนึ่งแวบเข้ามา นั่นก็คือภาพที่เหมียวอี้กับเฟิงเสวียนต่อสู้กันที่ทะเลทรายม่านเมฆา เหมือนเหมียวอี้จะนำดาบยาวสีม่วงด้ามนี้ออกมาใช้เหมือนกัน… ความหวาดกลัวอันไร้ที่สิ้นสุดขยายออกจากในร่างกายทันที ความรู้สึกหวาดกลัวที่ไม่อาจควบคุมได้ล้นทะลัก ทั้งตัวสั่นเทิ้มอย่างระงับไม่อยู่
นางคิดว่าตัวเองกำลังจะตายแล้ว จะต้องตายด้วยน้ำมือของตั๊กแตนน่าสะพรึงกลัวฝูงนี้แน่นอน
ใครจะคิดว่าตั๊กแตนพวกนี้จะพุ่งกลับหลังอย่างรวดเร็ว ละทิ้งโอกาสที่จะสังหารนาง แต่รีบบินกลับไปอยู่ด้านหลังเหมียวอี้
ตั๊กแตนที่กำจัดสี่คนก่อนหน้านี้ไป ในตอนนี้ได้บินกรูเข้ามาล่วงหน้าแล้ว มาล้อมโจมตีท่านทูตทั้งสี่ของแดนปีศาจ
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ก่อหน้านี้ตอนที่สี่คนนั้นยังไม่ตาย ก็มีตั๊กแตนส่วนใหญ่บินเข้ามาด้วยความเร็วสูงแล้ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป ท่านทูตแดนปีศาจทั้งสี่ที่พุ่งเข้ามาแย่งชิงเกราะรบแทบจะไม่รู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของท่านทูตทั้งสี่ของแดนอู๋เลี่ยง ทั้งสี่ที่พุ่งเข้ามาก็โดนตั๊กแตนน่ากลัวพวกนั้นล้อมไว้แล้วเช่นกัน ตกอยู่ในสภาพเดียวกับสี่คนก่อนหน้านี้ ฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก
“เรือมังกรอเวจี!” จีเหม่ยเหมยร้องอุทานขณะที่เห็นตั๊กแตนพวกนั้นพุ่งเข้ามา
นางร้องอุทานเหมือนกับชุยหย่งเจินก่อนหน้านี้ สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร นางเคยเห็นภาพที่หกปราชญ์ดันทุรังบุกขึ้นเรือมังกรอเวจีเมื่อห้าหมื่นปีก่อน แสงสีฟ้าที่เหมือนกับดาวหางนั่นเหมือนกับสิ่งที่ผีดิบบนเรือมังกรอเวจีโจมตีออกมา
ไม่ใช่แค่พวกเขาสองคน สิบคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเคยเห็นภาพเหตุการณ์เมื่อห้าหมื่นปีก่อนมาแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ตอนนั้นจีเหม่ยเหมยยังเด็ก เพิ่งจะบรรลุระดับบงกชแดง ทว่าตอนนั้นหกปราชญ์แทบจะยอมแลกทุกอย่าง ไม่ว่าลูกน้องคนไหนที่เหาะได้ก็นำมาใช้งานทั้งหมด เพียงเพราะอยากจะขึ้นเรือมังกรอเวจี ในตอนนั้นอวิ๋นจือชิวที่ยังเป็นสาวแรกรุ่นก็อยู่ด้วยเหมือนกัน
ในปีนั้นที่ทะเลทรายท่านเมฆาเกิดการต่อสู้กันจนมืดฟ้ามัวดิน ไม่รู้ว่ามีคนตายไปตั้งเท่าไร!
เหมียวอี้พุ่งเข้าหาชุยหย่งเจินด้วยความเร็วสูง ชูคมดาบขึ้นมา แล้วฟันดาบไปข้างหลังทีเดียว มังกรฟ้าพุ่งไปยังเหมยซางที่ไล่นำหน้ามาทันที
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เหมยซางตะลึงงัน ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป เกินกว่าภาพที่เขาจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง แทบจะใช้เวลาแค่ชั่วพริบตาเดียว ท่านทูตทั้งสี่ของแดนอู๋เลี่ยงก็ร่างแหลกแล้ว จากนั้นตนก็โดนตั๊กแตนน่ากลัวนั่นล้อมไว้อีก
เหมยซางหวาดระแวงกลัว รีบโจมตีตั๊กแตนหมายจะหลบหนี แต่กลับโดนตั๊กแตนมาดักไว้ตัวแล้วตัวเล่า มีประสบการณ์แล้วว่าพลังโจมตีของตั๊กแตนเฉียบคมขนาดไหน ทั้งยังเห็นแสงสีฟ้าโจมตีเข้ามาราวกับมังกรบิน ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะต้านทานตั๊กแตนหรือต้านทานแสงสีฟ้าดี ได้แต่แค้นพ่อแม่ที่คลอดออกมาให้มีแขนน้อย เรียกได้ว่าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
ปั้ง! ในขณะเดียวกัน เหมียวอี้ที่มีสีหน้าเย็นเยียบดุร้ายก็หมุนตัวและเสยหมัดออกมา โจมตีอย่างหนักหน่วงหนึ่งที โจมตีโดนหน้าอกของชุยหย่งเจินอย่างรุนแรง
ขณะที่กระดูกแตกร้าว “พลั่ก” ชุยหย่งเจินกระอักเลือดสดคำหนึ่ง ลูกตาแทบจะถลนออกมา กระเด็นออกไปทั้งตัว
เหมียวอี้ที่ถลันตัวไล่ตามมาบีบคอนางไว้ บีบจนนางแทบจะคอหัก แต่ก็ยังไม่ได้ฆ่านาง แต่พลิกฝ่ามือเก็บเข้าในกระเป๋าสัตว์โดยตรง
ขณะที่เสียงกรีดร้องของเหมยซางดังขึ้น เหมียวอี้ก็ถือดาบลากพื้นและหันตัวมา จากนั้นก็พุ่งตัวไล่ตามท่านทูตแดนปีศาจอีกสามคน ซึ่งขณะนี้กำลังหลบหนีอยู่ภายใต้การล้อมโจมตีของฝูงตั๊กแตน
แสงสีฟ้าที่สะบัดไล่ตามไปคอยหนุนช่วยตั๊กแตนอีกแรง พอโจมตีโดนสักคนก็ไม่สนใจแล้ว แค่ส่งต่อให้ตั๊กแตนจัดการก็พอ แล้วเขาก็พุ่งเข้าไปเสริมอีกแรง
เมื่อไล่ตามไปได้รอบหนึ่ง เหมียวอี้ที่ฟันแสงสีฟ้าออกไปสามครั้งติดต่อกันก็เลี้ยวกลับทันที พุ่งเป้าไปยังตัวละครที่สำคัญกว่า
ขณะที่เสียงกรีดร้องดังขึ้นสามครั้งติดต่อกัน เหมียวอี้ที่ถือดาบข้างเดียวก็ลอยไปหาจีเหม่ยเหมยที่อยู่ไม่ไกล ร่างกายที่สวมเกราะทองลอยอยู่ภายใต้แสงจันทร์ สีหน้าเย็นเยียบเหี้ยมโหด สายตาที่จ้องมองออกไปก็ยิ่งมืดครึ้มน่าหวาดกลัว
จีเหม่ยเหมยได้รับการปฏิบัติดีที่สุด มีแค่ตั๊กแตนสี่ตัวบินวนอยู่รอบกายนาง และไม่มีท่าทีว่าจะสังหารนาง เพียงล้อมไว้ไม่ให้นางหนีไปไหน ภายใต้การรุกโจมตีเป็นระยะ กลับกดดันให้นางใช้มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจ
ท่ามกลางหมอกปีศาจที่เข้มข้น จีเหม่ยเหมยใช้มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจทางซ้ายทีขวาที ทว่าปราณปีศาจนั่นใช้ไม่ได้ผลกับตั๊กแตนเลย นอกจากจะไม่กระทบเลยแม้แต่น้อย กรงเล็บอันแหลมคมของตั๊กแตนยังฝ่าปราณปีศาจที่โจมตีเข้ามาได้อย่างง่ายดายอีกด้วย
บินเข้ามาเสียงดังหึ่งๆ บนตัวตั๊กแตนแปดสิบกว่าตัวมีรอยโดนทำร้าย บนกระดองที่ทนทานมีรอยแผลไขว้ตัดสลับกัน
โดนตั๊กแตนมากมายขนาดนี้ล้อมไว้ทีเดียว จีเหม่ยเหมยก็ขนหัวลุก ตกใจจนหน้าถอดสี เป็นการสู้กลับครั้งสุดท้ายตอนใกล้ตายโดยแท้
เหมียวอี้มองประเมินครู่หนึ่ง ตอนนี้ไม่ลังเลแล้ว กลัวว่าชักช้าแล้วจะมีปัญหาอื่นเข้ามาแทรก จึงยกดาบในมือขึ้นอย่างช้าๆ แล้วลงมืออย่างรวดเร็ว ลำแสงสีฟ้าสายหนึ่งฟาดลงไป พุ่งเข้าไปในปราณปีศาจที่กำลังล้อมรอบ โดนตัวจีเหม่ยเหมยที่กำลังดิ้นรนเหมือนสัตว์ป่าที่โดนขัง เห็นเพียงนางสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
ตั๊กแตนที่ล้อมโจมตีแยกย้ายออกไปทันที ฝูงตั๊กแตนหลีกทางให้แล้ว เหมียวอี้ถือดาบลอยเข้าไป ยืนเผชิญหน้าอยู่กับจีเหม่ยเหมย ยืนห่างกันแค่ครึ่งจั้ง
“จีเหม่ยเหมย ข้าบอกแล้วใช่มั้ย! ใครจะตายก็ยังไม่แน่หรอก” เหมียวอี้กล่าวอย่างเย็นชา
จีเหม่ยเหมยสั่นเทิ้มไปทั้งตัว มองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ราวกับเห็นมารร้ายที่น่ากลัวที่สุด นางตกลงจากฟ้าทันที ตกลงมานั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น พอเงยหน้ามอง ก็เห็นร้องเท้าสีทองคู่หนึ่งเหยียบลงตรงหน้าอย่างช้าๆ
ฉึก! ดาบยาวในมือเหมียวอี้ปักลงบนพื้น ยื่นมือไปบีบคอนางยกขึ้นมา รู้สึกได้ถึงความสั่นเทิ้มที่มาจากร่างกายนาง
สภาพจีเหม่ยเหมยในเวลานี้ ใช้คำว่าขี้ขลาดเหมือนหนูมาบรรยายได้เลย โดนบีบคอจนหน้าแดงก่ำ แต่กลับไม่กล้าต่อต้าน แม้แต่ร้องก็ไม่กล้าร้อง ได้แต่หวาดกลัวอยู่อย่างนั้น
นึกถึงตอนที่อยู่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์ ขนาดสงเวยประมุขถิ่นทิศตะวันออกโดนทีเดียวยังทนไม่ไหว แล้วจะนับประสาอะไรกับนาง!
ภายใต้แสงจันทร์ ตั๊กแตนแปดสิบห้าตัวบินลงมาจากฟ้ามาบินขนาบพื้นล้อมรอบทั้งสองคน แต่ละตัวกำลังส่ายหน้า กระดองแข็งบนตัวสะท้อนอยู่ภายใต้แสงจันทร์ เหราะรบสีทองที่ยืนอยู่ตรงกลางก็กำลังสะท้อนแสงเช่นกัน
“เดิมทีข้าก็ไม่มีความแค้นอะไรกับเจ้า และไม่อยากจะไปหาเรื่องพวกเจ้าด้วย แต่พวกเจ้าสองแม่ลูกกลับมาเจอข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้เจ้าก็จะมาทำร้ายข้าถึงที่! จีเหม่ยเหมย เจ้ารู้บ้างรึเปล่า ลูกชายเจ้าสังหารผู้หญิงของข้า…” เหมียวอี้บีบคอนาง ในหัวมีภาพน้ำตาสองหยดหยดใส่หน้าเขา ชั่วชีวิตนี้เขาไม่มีทางลืมภาพนั้นลง ความรู้สึกเวลาอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่กลับช่วยอะไรไม่ได้ พอนึกถึงทีไรก็เหมือนกับโดนมีดคว้านหัวใจ
เหมียวอี้ค่อยๆ มีแนวโน้มเหมือนโดนจิตมารเข้าแทรก แววตาน่าหวาดกลัว ถึงขั้นใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย บีบคอจนจีเหม่ยเหมยร้องเสียงประหลาดออกมา ให้ความรู้สึกเหมือนคอจะขาดได้ตลอดเวลา
ทว่าสุดท้ายก็ยังไม่ลงมือสังหาร ปล่อยให้รอดชีวิตไว้สักคนก็ยังพอใช้ประโยชน์ได้
ตุ้บ! หมัดหนักชกเข้าที่หน้าอกครั้งแล้วครั้งเล่า กระดูกซี่โครงแตกละเอียด เลือดสดที่กระอักออกมา อยากจะพ่นก็พ่นไม่ออก เพราะยังโดนบีบคออยู่ จากนั้นก็โดนเหมียวอี้จับยัดเข้ากระเป๋าสัตว์โดยตรง