พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 906
บรรยากาศตึงเครียดทันที พายุกำลังจะกระหน่ำ!
จีเต๋อไห่สีหน้ามืดครึ้ม ประกาศคำเตือนครั้งสุดท้ายว่า “อันหรูอวี้ ส่งตัวจีเหม่ยเหมยกับเหมียวอี้มา!”
“ส่งตัวศิษย์น้องชุยมา!” ฟู่หยวนคังกล่าวตาม
เมื่อได้ยินทั้งสองกล่าวเช่นนี้ ก็ทำให้คนไม่น้อยตื่นตะลึง ไม่ใช่แค่สังหารท่านทูตทิ้งแปดคน แต่ชุยหย่งเจินกับจีเหม่ยเหมยก็ตกอยู่ในมืออีกฝ่ายด้วยเหรอ?
แม้แต่อันหรูอวี้ก็สังเกตได้ว่าเรื่องราวชักประหลาดพิลึก ยังไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ชุยหย่งเจินที่ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงถึงระดับหนึ่งแล้ว จะตกอยู่ในน้ำมือของเหมียวอี้ได้อย่างไร? เรื่องนี้ร้ายแรงเกินกว่าที่นางคาดการณ์ไว้ นางไม่เข้าใจว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ตอนนี้จะไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้น “ข้าไม่เข้าใจว่าพวกเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร!”
เหมียวอี้ที่ปลอมตัวปะปนอยู่กับกลุ่มคนบนฟ้าแอบขำ ตีกันเลยสิวะ! จะดีมากถ้าช่วยข้าเล่นงานนางป้าอันหรูอวี้ให้ตาย พวกเจ้ายิ่งตายเยอะเท่าไรก็ยิ่งดี เอาให้พินาศย่อยยับไปทั้งสองฝ่าย รอให้พลังปราณของพวกเจ้าเสียหายอย่างหนัก ถึงตอนนั้นถ้าเยารั่วเซียนปรากฏตัว ข้าจะได้ช่วยเขาไปได้สะดวกหน่อย!
โม่หมิงเจ้าสำนักงามวิจิตรที่กำลังดูเหตุการณ์อยู่บนฟ้า ตอนนี้เรียกได้ว่าปวดร้าวหัวใจ ถ้ายอดฝีมือกลุ่มนี้ตีกันขึ้นมา สำนักงามวิจิตรของเขาจะต้องจบเห่แน่ ไม่รู้ว่ามีลูกศิษย์ตั้งเท่าไรที่จะต้องติดร่างแหซวยไปด้วย ตอนสำนักงามวิจิตรโดนถล่มในปีนั้น ศิษย์ในสำนักบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ต้องใช้เวลาเป็นพันปีกว่าจะฟื้นฟูพลังชีวิตกลับมาได้ นึกไม่ถึงว่าจะประสบกับเรื่องนี้อีกแล้ว
เมื่อเห็นแต่ละคนถืออาวุธขึ้นมา ก็รู้ว่าศึกใหญ่กำลังจะปะทุ คนที่ไม่เกี่ยวข้องพากันถอยหลังแล้ว แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ ดันมีเสียงตะโกนดังมาจากแนวภูเขา “จื่อหยางอยู่นี่แล้ว! เซี่ยงไป่ถิง กล้าประลองกับข้าสักยกมั้ย!”
ทุกคนตะลึงงัน เหมียวอี้ก็งงเช่นกัน นี่คือเสียงของเยารั่วเซียนแน่นอน
ทุกคนเอียงศีรษะหันไปมอง ชำเลืองไปทางกลุ่มคนของสำนักหลอมของวิเศษที่ลอยอยู่บนฟ้า เห็นเพียงคนคนหนึ่งถลันตัวออกมาจากตรงกลาง เหาะไปอยู่บนฟ้าเหนือหุบเขา พอสะบัดแขนสองข้าง หนังกำพร้าบนใบหน้าก็ระเบิดออกและลอยไปกับสายลม เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชแดงขั้นหก
เหมียวอี้ถลึงตาจ้อง ถ้าไม่ใช่เยารั่วเซียนแล้วจะเป็นใครไปได้!
เพียงแต่วันนี้เยารั่วเซียนแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ มองไม่เห็นสภาพมอมแมมเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ในที่สุดก็สภาพเหมือนคนปกติขึ้นมาเสียที
“พี่หวง ท่าน…” เจ้าสำนักหลอมของวิเศษชี้ไปที่เยารั่วเซียน “ท่าน… ท่านคือท่านจื่อหยางเหรอ!”
เยารั่วเซียนหันตัวมา กุมหมัดคารวะพร้อมบอกว่า “พี่เปา ไม่ผิดหรอก ข้าคือจื่อหยาง! ในปีนั้นที่ได้เริ่มคบค้ากับพี่เปา ข้าโดนกดดันจนไม่มีทางเลือกจริงๆ จำเป็นต้องปิดบังชื่อแซ่ที่แท้จริง ครั้งนี้อาศัยให้สำนักของท่านคุ้มกันมาส่งที่นี่ เป็นเพราะจำใจจริงๆ หวังว่าพี่เปาจะไม่ถือสา คาดว่าบุคคลสำคัญมากมายที่อยู่ตรงนี้ก็จะไม่ถือสาสำนักของท่านเช่นกัน!” พูดจบก็ก้มหน้าขออภัยอีกครั้ง
เจ้าสำนักแซ่เปาท่านนั้นอึ้งกิมกี่ไปเลย
เหมียวอี้กระตุกมุมปาก นึกไม่ถึงว่าเยารั่วเซียนก็มีช่องทางของตัวเองเหมือนกัน ปะปนเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว สงสัยตัวเองจะสอนจระเข้ว่ายน้ำซะแล้ว!
แต่เจ้าจะโผล่มาตอนไหนก็ไม่โผล่ ดันมาโผล่ตอนนี้เนี่ยนะ? บอกว่าวันที่สิบเก้าไม่ใช่เหรอ? เหมียวอี้หมั่นไส้นิดหน่อย พบว่าเจ้าบ้าเยารั่วเซียนส่งปัญหาที่แก้ยากมาให้เขา ทั้งยังทำลายเรื่องดีๆ ของเขาด้วย!
อันที่จริงเยารั่วเซียนก็นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะลุกลามถึงขั้นนี้ เขามีวิธีของตัวเองในการแฝงตัวเข้ามา แต่จู่ๆ กลับมีข่าวลือดังสะเทือนใต้หล้า เปิดโปงความจริงเรื่องการประลองใหญ่ของสำนักงามวิจิตรในปีนั้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครทำ นอกจากเจ้าคนขาดคุณธรรมเหมียวอี้แล้วจะเป็นใครไปได้อีก เขาเองก็รู้ว่าเหมียวอี้หวังดีกับเขา แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
ตอนที่เขามาที่นี่ ตอนกลางวันก็เจอเหมียวอี้แล้วเหมือนกัน แต่จนใจที่ไม่สะดวกจะเข้าไปคลุกคลี เขาเองก็เดาออกว่าเหมียวอี้อาจจะมาเพราะเขา แต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดคิดไม่ถึงเลยก็คือ เรื่องราวที่กำลังลุกลามใหญ่โตอยู่ตอนนี้ เหมียวอี้ติดกับดักแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง!
จู่ๆ เยารั่วเซียนก็พบว่าตัวเองเห็นแก่ตัวเกินไป ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้จริงๆ เขาจะเผชิญหน้ากับเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยังไง ความเจ็บปวดรวดร้าวในใจตอนนี้ ยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
และสาเหตุที่ปรากฏตัวตอนนี้ ก็เพราะไม่อยากให้สำนักงามวิจิตรถูกทำลายเพราะตัวเอง ถึงแม้ครั้งนี้จะมาเพื่อล้างความอัปยศ แต่ถึงอย่างไรสำนักงามวิจิตรก็เป็นสถานที่ที่ชุบเลี้ยงเขามาจนโต ทั้งยังมีบุญคุณถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ด้วย ถ้าหากไม่มีสำนักงามวิจิตร ก็ไม่มีเขาในตอนนี้เช่นกัน เขาแค่อยากล้างความอัปยศ ไม่ได้อยากทำลายสำนักงามวิจิตร
ส่วนจะมีชีวิตรอดต่อไปได้หรือไม่นั้น ก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของเขาเลย ตอนที่มาเขาก็ไม่เคยคิดว่าจะรอดชีวิตกลับไปอยู่แล้ว จึงนำตั๊กแตนรวมทั้งทรัพยากรฝึกตนทั้งหมดทิ้งไว้ที่ปราสาทดำเนินสุริยันของเหมียวอี้
เห็นอยู่ตำตาว่ากำลังจะตีกันแล้ว แต่เพราะการปรากฏตัวของเยารั่วเซียน ทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายลงทันที ความสนใจของทุกคนไปอยู่ที่ตัวเขาหมดแล้ว
ซวบ! เงาคนคนหนึ่งถลันมาอยู่ตรงหน้าเยารั่วเซียน โม่หมิงเจ้าสำนักสำนักงามวิจิตรนั่นเอง เขามองเยารั่วเซียนด้วยแววตาสับสน เหมือนจะสังเกตเห็นว่าเยารั่วเซียนแก่ลงเยอะ ถามด้วยน้ำเสียงจนใจว่า “ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้?”
เยารั่วเซียนมองเขา เหมือนกำลังอยู่ในอารมณ์ฮึกเหิม เพียงก้มหน้าเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบอะไร
โม่หมิงถามด้วยสีหน้าขื่นขมเศร้าโศก “เจ้ายังจะกลับมาทำไมอีก? ในเมื่อไปแล้ว ยังจะกลับมาอีกทำไม? หายตัวไปตั้งหลายปีขนาดนี้ จะโผล่มาอีกทำไม? ไม่ง่ายเลยกว่าจะอยู่รอดมาได้ ทำไมไม่ใช่ชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี?” ถามเหมือนจะสื่อว่า ทำไมต้องถ่อมารนหาที่ตาย!
อารมณ์ที่ข่มอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเยารั่วเซียน ราวกับระเบิดออกมาในชั่วพริบตาเดียว เขาคำรามอย่างโกรธแค้นว่า “ไม่ยุติธรรม! ก็เพราะไม่ยุติธรรมไง! ไม่ว่าใครก็ปฏิบัติต่อข้าอย่างขาดความยุติธรรมได้ แต่ไม่ใช่ท่าน! ท่านคือคนที่ข้าเชื่อใจมากที่สุด! เหตุใดจึงทำเช่นนั้นกับข้า? ข้าทำอะไรผิดกันแน่? ข้าแค่อยากทวงถามความยุติธรรม!” ตอนพูดประโยคสุดท้าย เขากำหมัดและคำรามออกมาจนเสียงแทบแตก
โม่หมิงเหลือบมองผมที่หงอกขาวของเยารั่วเซียน ถอนหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วบอกว่า “เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องถามว่าเพราะอะไร จะทวงความยุติธรรมได้หรือไม่แล้วยังไงล่ะ? การได้มีชีวิตอยู่ต่อไปย่อมดีกว่าสิ่งใดทั้งนั้น ทำไมไม่ปิดบังชื่อแซ่แล้วใช้ชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีๆ ทำไมต้องมาที่นี่ ทำไมโง่เง่าขนาดนี้?”
ในขณะนี้เอง เงาคนคนหนึ่งแวบมาอยู่ข้างกายโม่หมิง เป็นเหมียวจวินอี๋นั่นเอง นางชี้เยารั่วเซียนพร้อมตะคอกว่า “ศิษย์อกตัญญู! บังอาจมาทำตัวกำเริบเสิบสานที่นี่เหรอ ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้ ในปีนั้นก็ไม่ควรใจดีปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตไปเลย แทนที่จะรู้จักตอบแทน กลับจะมาทำลายสำนัก นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาพาลเกเร เด็กๆ! มาจับตัวศิษย์ทรยศคนนี้ไว้!”
ศิษย์สำนักงามวิจิตรหลายคนถลันตัวเข้ามาทันที แต่ใครจะคาดคิด โม่หมิงพลันตะคอกว่า “หลีกไปให้หมด!”
ศิษย์พวกนั้นชะงักงันอยู่บนฟ้า ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อฟังใครดี สิ่งนี้ทำให้เหมียวจวินอี๋เดือดดาลทันที แต่คาดไม่ถึงว่าโม่หมิงจะคว้าข้อมือนางไว้ สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า “หลีกไป!”
เหมียวจวินอี๋ค่อยๆ หันหน้ามามองเขา “เจ้าว่าอะไรนะ?”
“ข้าบอกให้เจ้าหลีกไป!” โม่หมิงตะคอกเสียงดัง เหมือนจะระเบิดอารมณ์อย่างถึงที่สุดแล้ว ตะคอกอย่างโมโหว่า “เจ้าหรือข้ากันแน่ที่เป็นเจ้าสำนักงามวิจิตร!” เขากวาดสายตามองลูกศิษย์พวกนั้นอีก “ข้าให้พวกเจ้าหลีกไป ไม่ได้ยินรึไง?”
ศิษย์พวกนั้นหัวหดทันที ค่อยๆ เหาะกลับไปอย่างรู้สึกลำบากใจ
“เจ้า…” เหมียวจวินอี๋โกรธจนหน้าเขียว ยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่จู่ๆ กลับได้ยินคนถ่ายทอดเสียงถามอย่างเย็นเยียบ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เหมียวจวินอี๋สีหน้าเปลี่ยนทันที ก้มหน้าถอยออกไปแต่โดยดี ถลันตัวกลับไปที่สำนักงามวิจิตร เข้าไปในหน้าต่างบานหนึ่งของชั้นลอยที่กำลังเปิดอยู่
ในชั้นลอยนั้น เฟิงเป่ยเฉินกำลังยืนเอามือไขว้หลัง มองดูเหตุการณ์ข้างนอกผ่านหน้าต่างที่ฉลุลายดอกไม้ โดยมีฉินซียืนอยู่ข้างกาย
“ท่านปราชญ์!” เหมียวจวินอี๋ก้าวขึ้นมา แล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง “ศิษย์อกตัญญูนั่นน่าโมโหจริงๆ ข้า…”
เพียะ! เสียงดังฟังชัด เฟิงเป่ยเฉินหันมาตบหน้านางฉาดหนึ่ง แล้วก็เตะนางจนล้มไปนั่งอยู่บนพื้น ก่อนจะแสยะยิ้ม “นี่ไม่ใช่ผลงานที่เจ้าทำในปีนั้นหรอกเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะคนโง่เง่าอย่างเจ้า จะเกิดเรื่องเหมือนอย่างวันนี้เหรอ? วันนี้ศิษย์พี่หญิงของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างก็ยังไม่รู้ ทั้งยังทำให้ข้าเสียท่านทูตไปสี่คนอีก ข้ายังไม่ทันได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย เจ้ายังกล้าทำบุ่มบ่ามอีก หรือเห็นคำพูดข้าเป็นเพียงลมที่ผ่านหู? ข้าว่าเจ้าต่างหากที่เป็นศิษย์ทรยศ!”
เหมียวจวินอี๋นั่งเอามือกุมหน้าและก้มศีรษะอยู่บนพื้น ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ฉินซีที่อยู่ข้างๆ เอียงหน้ามองนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น หันกลับไปมองนอกหน้าต่างต่อไป
เฟิงเป่ยเฉินพ่นเสียงทางจมูก เอามือไขว้หลังแล้วหันตัวมา มองดูเหตุการณ์นอกหน้าต่างต่อไป
ตอนนี้มีคนอีกคนถลันตัวมาอยู่ข้างกายโม่หมิงแล้ว ไม่ใช่ใครที่ไหน โม่จวินหลันลูกสาวของเขานั่นเอง เฟิงเป่ยเฉินเห็นแล้วขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
“หลันเอ๋อร์ เจ้ามาทำอะไร?” โม่หมิงตะคอก “หรือเจ้าก็ไม่เชื่อฟังคำพูดข้าเหมือนกัน?”
โม่จวินหลันไม่สนใจเขา จ้องแต่เยารั่วเซียน พลางถามด้วยสีหน้าเศร้าสลด “ศิษย์พี่รอง! ข่าวลือข้างนอกมาจากท่านรึเปล่า เป็นเรื่องจริงรึเปล่า?”
พอเยารั่วเซียนเห็นนางปรากฏตัว เห็นใบหน้างามที่คุ้นเคยของนาง เขาก็รู้สึกตื่นเต้นหวั่นไหวอีก หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงย่างรวดเร็ว อึกอักพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่ แต่หลังจากมองโม่หมิงแวบหนึ่ง ในดวงตาก็ฉายแววเจ็บปวด จู่ๆ ก็กำหมัดทุบหน้าอกตัวเองเสียงดังตุ้บๆ พลางประกาศเสียงดังต่อหน้าทุกคน “ข่าวลือข้างนอกไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย ข้าไม่ใช่คนปล่อยข่าวด้วย แท้จริงแล้วมีคนต่ำทรามคอยชักใย มีคนคอยปั่นป่วนสถานการณ์ ข้ามาที่นี่เพราะอยากจะประลองอย่างสง่าผ่าเผยเท่านั้น!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เหมียวอี้ก็แยกเขี้ยวยิงฟัน ด่าในใจว่า ไอ้แก่เอ๊ย ข้าอุตส่าห์หวังดีช่วยเจ้า แต่กลับกลายเป็นคนต่ำทรามคอยชักใยไปแล้ว!
แต่การที่เยารั่วเซียนพูดแบบนี้ออกมา ก็ไม่ต่างอะไรกับการลบล้างชื่นเสียงฉาวโฉ่ของสำนักงามวิจิตรต่อหน้าฝูงชน จะมีคำอธิบายใดที่มีน้ำหนักไปกว่าคำให้การที่เขาพูดเองกับปากในเวลานี้ล่ะ?
เฟิงเป่ยเฉินที่ดูสถานการณ์อยู่ในชั้นลอยพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาก้มมองเหมียวจวินอี๋ที่นั่งอยู่ข้างหลัง แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ดูออกเลย จื่อหยางคนนี้ยังรู้สึกสนใจหลันเอ๋อร์มาก พอหลันเอ๋อร์ปรากฏตัว เขาก็ยอมกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมทุกอย่าง ดูเหมือนจะไม่สนใจว่าหลันเอ๋อร์แต่งงานแล้ว สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นความจริงใจ! ลูกเขยประเสริฐแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ แต่กลับโดนเจ้าทิ้งไปเสียได้ จำคำของข้าเอาไว้นะ เรื่องนี้ควรค่าที่จะทำ การหาผู้ชายที่ดีต่อหลันเอ๋อร์จากใจจริงนั้นแย่ตรงไหนเหรอ? เป็นผู้ชายนะ ไม่ใช่ผู้หญิง รูปร่างหน้าตาของผู้ชายไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเลย มีความสามารถก็ย่อมดีกว่าอะไรทั้งนั้น!”
เหมียวจวินอี๋กัดริมฝีปากโดยไม่ตอบอะไร
ส่วนโม่หมิงที่อยู่ตรงหน้า ในใจกลับเหมือนโดนคลื่นโหมซัดใส่ ได้แต่มองดูลูกศิษย์ที่ถูกทอดทิ้งอย่างพูดไม่ออก การที่เยารั่วเซียนพูดคำนี้ออกมาต่อหน้าทุกคน ในใจเขารู้ดีที่สุดว่าเยารั่วเซียนกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมขนาดไหน เมื่อพูดแบบนี้ต่อหน้าทุกคนแล้ว ต่อไปก็ไม่มีโอกาสลบล้างความไม่เป็นธรรมอีก ถ้าพูดกลับไปกลับมาก็จะไม่มีใครเชื่อแล้ว ใครจะไปรู้ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จ ทำแบบนี้เท่ากับต้องแบกรับความไม่เป็นธรรมไปทั้งชาติ!
โม่จวินหลันแค่มองตาเยารั่วเซียนเท่านั้น นางไม่พูดอะไรสักคำ เหมือนจะอ่านอะไรออกจากความขื่นขมที่ฉายอยู่ในดวงตาของเขา ดวงตานางไม่ได้ฉายแววดีใจเพราะคำตอบนี้ได้พิสูจน์อะไร แต่กลับเศร้าสลดผิดหวังด้วยซ้ำ
“หลันเอ๋อร์หลีกไป!” โม่หมิงหันหน้าไปสั่ง
หลังจากโม่จวินหลันหันตัวเหาะจากไปเงียบๆ โม่หมิงก็ถามเสียงดังว่า “ไป่ถิง! ศิษย์น้องจะมาประลองกับเจ้า เจ้ากล้ารับคำท้ามั้ย?”