พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 908
ความสามารถที่ควรแสดงก็แสดงออกมาหมดแล้ว ถ้ายืนหยัดทนต่อไปก็ไม่มีความหมาย เยารั่วเซียนโบกมือปล่อยลำแสงเล็กๆ ออกมาสายหนึ่ง ทำให้เจดีย์งามวิจิตรเล็กหยุดหมุนทันที
มนุษย์ดินที่กำลังสู้กับพวกโม่หมิงในเจดีย์พังทลายลงทันที ทลายลงบนพื้นดิน เรียกได้ว่าฝุ่นกลับสู่ฝุ่น ดินกลับสู่ดิน
ขณะเดียวกันนี้เอง จู่ๆ บนฟ้าก็ปรากฏหลุมดำหมุนวน พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง ล้วนเป็นคนในวงการนี้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก เหาะขึ้นไปโดยมีโม่หมิงเป็นคนนำ ทยอยกันเข้าไปในหลุมดำนั่น
ผ่านไปครู่เดียว คนที่โดนขังอยู่ในเจดีย์ก็ทยอยกันออกมาคนแล้วคนเล่า มาปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคนอีกครั้ง
ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว โม่หมิงเหาะออกมาลอยนิ่งๆ อยู่บนฟ้า แล้วมองไปทางเยารั่วเซียนที่กำลังร่ายวิชาอยู่ท่ามกลางแสงแห่งรุ่งอรุณ เขาทำสีหน้าสับสน เห็นเพียงเยารั่วเซียนโบกมือ จากนั้นเจดีย์งามวิจิตรเล็กก็พลันหดเล็กลง ตกลงมาอยู่บนฝ่ามือของเยารั่วเซียนอีกครั้ง
เยารั่วเซียนถามว่า “ทุกท่านอยู่ในวงการนี้เหมือนกันทั้งนั้น ถึงแม้อานุภาพของเจดีย์หลังนี้จะเทียบกับเจดีย์งามวิจิตรที่พวกท่านหลอมสร้างไม่ได้ แต่พวกท่านก็คงจะดูออก ว่าในด้านการใช้งานไม่ได้ด้อยกว่าเจดีย์งามวิจิตรของพวกท่านเลย เซี่ยงไป่ถิง เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร?”
เซี่ยงไป่ถิงตอบด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก “ศิษย์น้อง นี่ไม่ใช่ของวิเศษที่คนคนเดียวสามารถหลอมสร้างออกมาได้ ต่อให้เป็นเจดีย์งามวิจิตรขนาดเล็ก แต่วัตถุดิบสิ้นเปลืองที่อยู่ในนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนคนเดียวจะรับไหว ต้องมีคนช่วยเจ้าแน่นอน”
“วัตถุดิบสิ้นเปลืองจะมาจากไหนก็ไม่สำคัญ!” เยารั่วเซียนยกฝ่ามือรองเจดีย์วิเศษขึ้นมา แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ถ้าเจ้าไม่เชื่อว่าข้าหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรเองคนเดียว ก็ไม่เป็นไรหรอก! เจดีย์งามวิจิตรคือของวิเศษที่รวมทักษะการหลอมแบบต่างๆ เอาไว้ด้วยกัน ทักษะการหลอมของใครสูงกว่า ทักษะใครรอบด้านกว่า พวกเรามาประลองกันเดี๋ยวก็รู้เอง! ใช้วัตถุดิบแบบเดียวกัน ใช้เวลาที่กำหนดเหมือนกัน แล้วมาดูว่าใครจะสามารถหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรออกมาได้ ให้สหายในวงการหลอมของวิเศษทั้งใต้หล้าตัดสินแพ้ชนะ!”
นี่เป็นการตบหน้า! ถ้าเจ้าไม่เชื่อว่าข้าสามารถหลอมสร้างออกมาได้ ข้าก็จะไม่แก้ตัว พวกเรามาประลองต่อหน้าฝูงชนเลยดีกว่า ดูว่าเจ้ากับข้าใครจะทำได้! คนในวงการอาชีพหลอมของวิเศษกำลังแอบกระซิบกระซาบกัน สามารถอาศัยวรยุทธ์บงกชแดงหลอมสร้างของวิเศษแบบนี้ออกมาได้ ช่างเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ในวงการหลอมของวิเศษจริงๆ ตอนนี้กำลังดูว่าเซี่ยงไป่ถิงจะกล้ารับคำท้าหรือไม่
มีเพียงเหมียวอี้ที่รู้ดีที่สุดว่าหลายปีมานี้เยารั่วเซียนใช้ชีวิตอย่างไร ทุกครั้งที่ไปหา ส่วนใหญ่ก็จะเห็นเยารั่วเซียนกำลังขีดเขียนวาดภาพประหลาดบางอย่าง กำลังครุ่นคิดพิจารณา กำลังศึกษาค้นคว้าทักษะการหลอมของวิเศษไม่หยุด ไม่เคยสนใจภาพลักษณ์ของตัวเอง ทำไปเพื่อนล้างความอัปยศในวันนี้เท่านั้น!
และการที่เยารั่วเซียนพูดแบบนี้ต่อหน้าฝูงชน ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีความมั่นใจ บุคคลระดับสูงของสำนักงามวิจิตร คนของสำนักงามวิจิตรที่ร่วมหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตร เรียกได้ว่าพากันตกตะลึงมาก ของวิเศษที่ทุกคนต้องร่วมมือกันถึงจะหลอมสร้างสำเร็จ แต่เขาจะทำมันด้วยตัวคนเดียวต่อหน้าฝูงชนงั้นเหรอ?
ถ้าปล่อยให้เยารั่วเซียนหลอมสร้างสำเร็จต่อหน้าฝูงชน ก็เท่ากับทำลายชื่อเสียงบารมีของทั้งสำนักงามวิจิตรน่ะสิ!
คนทั้งสำนักงามวิจิตรรู้ดีอยู่แก่ใจ อาศัยความสามารถของเซี่ยงไป่ถิง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรได้ อย่าว่าแต่เซี่ยงไป่ถิงเลย ทั้งสำนักงามวิจิตรก็ไม่มีใครทำได้เหมือนกัน มิหนำซ้ำยังเป็นเจดีย์งามวิจิตรที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติด้วย ต่อให้ทั้งสำนักงามวิจิตรร่วมมือกันก็ไม่แน่ว่าจะหลอมสร้างออกมาได้ เพราะไม่รู้วิธีการ!
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องยิ่งสะเทือนใจ การหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรในปีนั้น เพราะทุกคนร่วมมือกันถึงได้ทำสำเร็จ ทำคนเดียวไม่ไหว ดังนั้นหากคนบางคนหรือคนบางส่วนอยากจะเปิดเผยวิธีการหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตร ก็ไม่มีทางเปิดเผยได้ นอกเสียจากทุกคนจะเปิดเผยพร้อมๆ กันทีเดียว
แบบนี้หมายความว่าอย่างไร? ความหมายว่าจื่อหยางแค่ได้ยินข่าวลือของเจดีย์งามวิจิตร ก็สามารถค้นคว้าวิธีการหลอมสร้างได้แล้ว ทั้งยังเติมเต็มช่องโหว่ของเจดีย์งามวิจิตรแล้วด้วย พรสวรรค์แบบนี้ทำให้คนทึ่งจนพูดไม่ออก!
บอกไม่ถูกเลยว่าตอนนี้ในใจของทุกคนรู้สึกอย่างไร รู้เพียงว่าในปีนั้นสำนักงามวิจิตรได้ทอดทิ้งลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงคนหนึ่งไปแล้ว ตอนนี้ลองมาคิดดูสิ เสียดายหรือไม่เสียดาย?
ตอนนี้อีกฝ่ายกลับมาทวงถามความเป็นธรรมแล้ว…
หลังจากเหตุการณ์ตรงนั้นเงียบลง เยารั่วเซียนก็จ้องเซี่ยงไป่ถิงพร้อมถามว่า “ทำไมล่ะ? ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักงามวิจิตรผู้สง่าผ่าเผย ไม่กล้ารับคำท้าจากลูกศิษย์ที่โดนทอดทิ้งรึไง?”
เซี่ยงไป่ถิงเกร็งกล้ามเนื้อบนใบหน้า ตอบเสียงเข้มว่า “ข้ายอมรับว่าข้าหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรไม่ได้ ถ้าเจ้าหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรต่อหน้าฝูงชนได้ ข้าก็จะยอมแพ้!” ไม่ง่ายเลยที่จะพูดแบบนี้ออกมาได้ เขาโดนกดดันจนถึงที่สุดแล้ว
“ดี!” เยารั่วเซียนขานรับ เอามือยันเจดีย์วิเศษไว้ แล้วบอกว่า “บนตัวข้ามีวัตถุดิบหลอมของวิเศษไม่พอ ข้าจะทำลายเจดีย์วิเศษหลังนี้ต่อหน้าทุกคน แล้วนำวัตถุดิบมาหลอมสร้างใหม่ หลอมสร้างใหม่อยู่ที่นี่ต่อหน้าทุกคน ให้ทุกคนคอยจับตาดู เจ้าตกลงมั้ย?”
ไม่มีอะไรต้องคัดค้าน เซี่ยงไป่ถิงพยักหน้า “ตกลง!”
“อย่าตอบตกลงเร็วเกินไปแล้ว ข้ามีเงื่อนไขมาเสนอ!” เยารั่วเซียนกล่าว “ถ้าข้าหลอมสร้างสำเร็จ เจ้าก็ต้องออกจากตำแหน่งผู้สืบทอดสำนักงามวิจิตร เพราะเจ้าไม่คู่ควร แล้วต้องออกจากสำนักงามวิจิตรไปด้วย!”
เหมียวอี้แอบขำในใจ ยังนึกว่าตาแก่นี่จะไม่เสนอเงื่อนไขอะไรเสียแล้ว ลงทุนถ่อมาถึงที่นี่ คงจะอยากล้างแค้นสักหน่อยนั่นแหละ
หารู้ไม่ว่าเยารั่วเซียนไม่ได้มีเจตนาจะล้างแค้นเลย แต่เขามีความผูกพันกับสำนักงามวิจิตร รู้สึกจากใจจริงว่าคุณสมบัติอย่างเซี่ยงไป่ถิงไม่เหมาะจะเป็นเจ้าสำนักงามวิจิตร
บางคนก็มองในแง่ดี บางคนก็มองในแง่ลบ นานาจิตตัง คนไม่เหมือนกัน ย่อมมองเรื่องเดียวกันด้วยทัศนะที่ต่างกันอยู่แล้ว วิธีคิดที่มีต่อเรื่องต่างๆ มักแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล
“ข้ารับปาก!” เซี่ยงไป่ถิงกล่าวเสียงเข้ม “แล้วถ้าเจ้าหลอมสร้างไม่สำเร็จล่ะ?”
“ถ้าข้าหลอมสร้างไม่สำเร็จ ข้าจะปลิดชีพตัวเองเพื่อรับโทษ มอบชีวิตของข้าให้เจ้า!” เยารั่วเซียนตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เซี่ยงไป่ถิงถอนหายใจ “ศิษย์น้อง ข้าไม่เอาเปรียบเจ้าหรอก และไม่ได้ต้องชีวิตเจ้าด้วย เจ้าแค่ต้องให้เวลาก็พอ… ข้าคงมาเฝ้าเจ้าหลอมสร้างซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้เรื่อยๆ ไม่ได้ เจ้ากำหนดเวลาให้ตัวเองก็แล้วกัน ข้าไม่ฝืนใจเจ้าหรอก!”
นี่ก็คือจุดที่เฉลียวฉลาดของเขา เขาก็อยากจะลองเชิดหน้าชูตาตัวเองอยู่หรอก แต่ก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรออกมาได้อย่างไร ถ้าใช้วิธีการบีบบังคับก็มีแต่จะเสียหน้า! ตอนนี้ต้องให้เยารั่วเซียนหลอมสร้างไปคนเดียว เขาถึงจะมีโอกาสชนะ ขอเพียงเยารั่วเซียนหลอมสร้างไม่สำเร็จ ต่อให้แค่ทำพลาดก็ตาม นั่นก็แปลว่าเขาชนะแล้วเหมือนกัน มีโอกาสชนะย่อมดีกว่าไม่มีโอกาสชนะอยู่แล้ว
แล้วอีกอย่าง ถ้าเยารั่วเซียนแพ้แล้วเขาจะเอาชีวิตของเยารั่วเซียน เขาก็จะดูไร้น้ำใจไร้เหตุผลในสายตาคนอื่น การเอาชีวิตของเยารั่วเซียนไม่มีประโยชน์อะไรกับเขา ถ้าจะทำอย่างนั้น อย่างน้อยก็ทำอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ และที่บอกว่าไม่อยากเอาเปรียบ ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าศิษย์พี่อย่างเขาใจกว้าง
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็ด่าในใจว่า ไอ้เจ้าเล่ห์!
แต่จากมุมมองของเหมียวอี้ ถ้าลบอคติส่วนตัวทิ้งไป อาศัยแค่คำพูดเมื่อครู่นี้ของเซี่ยงไป่ถิง เขารู้สึกว่าคนอย่างเซี่ยงไป่ถิงเหมาะสมจะเป็นเจ้าสำนักงามวิจิตรมากกว่า ส่วนเยารั่วเซียนก็เหมาะกับการค้นคว้าวิธีการหลอมของวิเศษมากกว่า สำหรับเหมียวอี้แล้ว ควรจะจับคนที่มีประโยชน์ไปวางไว้ในจุดที่ใช้ประโยชน์ได้ ถ้าให้คนนิสัยอย่างเยารั่วเซียนไปเป็นเจ้าสำนัก กลับจะสร้างความวุ่นวายให้สำนักงามวิจิตรด้วยซ้ำ
“หนึ่งร้อยวัน!” เยารั่วเซียนเอ่ยตอบคำเดียว
หนึ่งร้อยวันเหรอ? เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ เจ้าอยู่ในอาณาเขตของอีกฝ่ายหนึ่งร้อยวัน แบบนั้นโอกาสที่จะเกิดปัญหาก็ยิ่งสูงน่ะสิ ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะมีวิธีอะไรทีทำให้เจ้าพลาดก็ได้ เซี่ยงไป่ถิงคนนี้ไม่ใช่เล่นๆ นะ!
“ได้!” เซี่ยงไป่ถิงยื่นมือ “ศิษย์น้องเชิญตามสะดวก!” จากนั้นก็หันตัวไปกุมหมัดคารวะโม่หมิง “ศิษย์ละอายใจยิ่งนัก!”
ส่วนเยารั่วเซียนก็เหาะลงไปที่พื้นทันที เหาะลงไปอยู่บนพื้นราบด้านล่าง ควักลูกแก้วพลังปรารถนากำหนึ่งมาไว้ในมือ นั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์
ตัวแทนของหกแดนแต่ละคนเริ่มตาเป็นประกาย ไม่รู้ว่าเกิดความคิดอะไรขึ้นมา
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว รู้สึกได้ลางๆ ถึงความไม่ชอบมาพากล ตาเป็นประกายวูบไหวเล็กน้อย แล้วเหาะออกจากกลุ่มคนไปเงียบๆ กลับไปยังที่พักของนภาจอมมาร แล้วกำชับให้ท่านทูตของแดนมารที่เฝ้าอยู่พาฉินเวยเวยออกไปก่อน
ฉินเวยเวยไม่ได้คัดค้านอะไร นางรู้ว่าถ้าตัวเองอยู่ที่นี่ต่อไป ก็อาจจะกลายเป็นภาระของเหมียวอี้ได้
กลับเป็นท่านทูตของแดนมารที่ไปถามความเห็นของอวิ๋นเป้าก่อน อวิ๋นเป้าพยักหน้าเล็กน้อย เท่ากับอนุญาตแล้ว เข้าถึงได้กลับมา แล้วพาฉินเวยเวยจากไปเงียบๆ
ส่วนเหมียวอี้ก็รีบถอดหน้ากากบนใบหน้าออก กลับมาใส่เสื้อผ้าตัวเดิม นำมีดสั้นออกมาทิ่มแทงบนแขนจนเกิดแผลเล็กๆ ถูเลือดมาป้ายที่มุมปากสองสามที แล้วก็รีบดึงผมตัวเองให้ยุ่งเหยิง ฉีกเสื้อผ้าให้ขาด จากนั้นรีบกลิ่งบนพื้น ทำให้ตัวเองมีสภาพสะบักสะบอมเหมือนประสบเหตุร้ายมา
พอเห็นเขาทำแบบนี้ ท่านทูตแดนมารอีกคนที่เฝ้าอยู่ก็อดถามไม่ได้ว่า “ท่านเขยเหมียว ทำอะไรของท่านน่ะ?”
เหมียวอี้กระโดดพรวดขึ้นมาจากพื้น แล้วมองดูตัวเองอย่างรู้สึกพอใจ เสร็จแล้วถึงได้ตอบว่า “เตรียมตัวให้พร้อม จะแสดงบทบู๊แล้ว!” พูดจบก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ในชั้นลอย เฟิงเป่ยเฉินกำลังยืนอยู่ริมหน้าต่างลายฉลุดอกไม้ เขาเอียงหน้ามามองฉินซีที่อยู่ข้างๆ “ข้าว่าไม่ต้องประลองแล้วล่ะ ข้าเชื่อว่าท่านจื่อหยางมีความสามารถที่จะหลอมสร้างออกมาได้ ฮูหยินคิดว่าอย่างไร?”
“ข้าไม่เข้าใจค่ะ” ฉินซีตอบอย่างเย็นชา
เจอกับความน่าเบื่ออีกแล้ว แต่เฟิงเป่ยเฉินก็ชินแล้วที่นางเป็นแบบนี้ หันไปหาเหมียวจวินอี๋ที่อยู่ข้างหลังอีก “จวินอี๋ เรื่องประลองไม่ต้องรีบหรอก ควบคุมจื่อหยางนั่นมาไว้ในมือพวกเราให้ได้ก่อน อีกประเดี๋ยวจะได้ไม่มีใครแอบวางแผนชั่วกับเขา ไปจัดการ!”
ผ่านไปครู่เดียว เหมียวจวินอี๋ก็โผล่มาอีกครั้ง จ้องเยารั่วเซียนที่อยู่ข้างล่างพร้อมบอกว่า “จื่อหยาง ชะลอเรื่องประลองไว้ก่อนแล้วกัน เจ้าไปปรึกษารายละเอียดกับศิษย์พี่ของเจ้าก่อน ตรงนี้มีความแค้นอีกเรื่องที่ต้องจัดการ! ไป่ถิง พาศิษย์น้องของเจ้าออกไปก่อน”
“ขอรับ!” เซี่ยงไป่ถิงสงสัยในใจ แต่ก็ยังเอ่ยรับและเข้ามา
“ช้าก่อน” อวิ๋นเป้าพลันตะคอกห้าม “เดิมทีท่านจื่อหยางก็ถูกสำนักงามวิจิตรของพวกเจ้าไล่ออกมาแล้ว ถ้าให้เขาไปกับพวกเจ้า ใครจะไปรู้ว่าพวกเจ้าจะเล่นไม่ซื่ออะไรกับเขารึเปล่า แบบนี้ไม่ยุติธรรมกับการประลอง! ข้าว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า พวกเจ้ากับแดนเซียนจัดการเรื่องความแค้นกันต่อไปเถอะ ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ไม่สู้ยืนอยู่ข้างๆ คอยเป็นคนกลางดีกว่า ให้ท่านจื่อหยางมาอยู่กับฝ่ายข้าก่อน ข้ารับร้องว่าจะรักษาความปลอดภัยให้เขา!” ขณะที่พูดก็ตบหน้าอกเสียงดัง รับประกันอย่างหนักแน่นดุจเหล็กกล้า
“อวิ๋นเป้า พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนะ ทำไมบอกว่าความแค้นของแดนเซียนไม่เกี่ยวกับเจ้าล่ะ เขยของนภาจอมมารเป็นตายอย่างไรก็ไม่รู้ เจ้าจัดการเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนเถอะ!” อวี้หนูเจียวยืนขึ้น แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ท่านจื่อหยาง ข้าเป็นคนกลางถึงจะเหมาะที่สุด”
ฝาไห่ถลันตัวออกมา “อวี้หนูเจียว ให้อาตมาเป็นคนกลางก็เหมาะสมเหมือนกันนะ”
อวี้หนูเจียวแววตาวูบไหว หัวเราะคิดคักทันที “จะว่าไปก็ถูก มีแค่พวกเราสองแดนที่ไม่เกี่ยวจ้องกับเรื่องในวันนี้ ฝาไห่ พวกเราไม่สู้ร่วมมือกันเป็นคนกลางดีมั้ย?”
นางรู้ชัดอยู่แก่ใจ วันนี้ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่ยอมให้คนอื่นพาตัวท่านจื่อหยางนี่ไปง่ายๆ ลำพังนางฝ่ายเดียวถ้าคิดจะพาไปก็คงยาก ไม่สู้ร่วมมือกันดีกว่า แบบนั้นจะมีความมั่นใจมากกว่า
ฝาไห่เข้าใจเจตนาของนางทันที นั่นก็คือร่วมมือกันพาตัวเยารั่วเซียนไปก่อน จากนั้นถ้าเหลือแค่สองฝ่ายที่แย่งชิงกัน ทุกคนก็จะมีความมั่นใจแล้ว จึงประนมมือกล่าวทันที “อามิตตาพุทธ คำกล่าวนี้ช่างมีกุศล อาตมาเห็นด้วย!” ทั้งสองกลายเป็นพันธมิตรกันในชั่วพริบตาเดียว