พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 910
อวิ๋นเป้ากับอันหรูอวี้หันไปมองเหมียวอี้พร้อมกัน ต่างก็มองด้วยสายตาที่อึ้งทึ่ง รวบรวมกำลังได้มหาศาลขนาดนี้ภายในรวดเดียว ตอนนี้ต่อให้อีกสี่แดนร่วมมือกันก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว ถึงอย่างไรแดนปีศาจกับแดนอู๋เลี่ยงก็มีนักพรตบงกชทองตายไปเยอะขนาดนั้น
เยารั่วเซียนที่กลายเป็นตัวประกันได้รับรู้ถึงพลังของเหมียวอี้แล้ว แอบรู้สึกปลงอนิจจังอยู่บ้าง นี่ใช่นักพรตบงกชขาวกระจอกที่ตัวเองเจอในปีนั้นรึเปล่า?
คนจากสำนักหลอมของวิเศษอื่นที่ดูอยู่ไกลๆ แอบทึ่ง ไอ้เหมียวจัญไรสมกับเป็นไอ้เหมียวจัญไร กลายเป็นบุคคลที่กล้าต่อกรกับหกปราชญ์แล้ว สมคำร่ำรือจริงๆ!
คนบางคนก็พึมพำในใจ สงสัยเวลาจะแต่งเมียคงต้องหาเมียที่ช่วยสงเคราะห์ช่วยเหลือได้ซะแล้ว ดูอย่างไอ้เหมียวจัญไรสิ ดูแค่ภูมิหลังของเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นรองเท้ามือสองหรือไม่ก็ยังจะแต่งอยู่ดี ตอนนี้เห็นข้อดีได้อย่างชัดเจน ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ จะดึงคนของนภาจอมมารมาช่วยเหลือได้เหรอ แปลว่าคนเราถ้าอยากประสบความสำเเร็จ ก็ต้องมองโลกตามความเป็นจริงถึงจะดี!
“ไป!” เหมียวอี้จับตัวประกันพลางตะโกนบอก
“คิดจะไปเหรอ?” ฟู่หยวนคังแสยะยิ้ม
แทบจะไม่ต้องพูดอะไรเลย ฝาไห่ อวี้หนูเจียว จีเต๋อไห่นำกำลังพลเคลื่อนไหวทันที อีกสี่แดนก็รวมมือกันแล้วเช่นกัน ล้อมพวกเหมียวอี้เอาไว้แล้ว
“แกล้งสลบ!” เหมียวอี้พลันถ่ายทอดเสียงบอกเยารั่วเซียน แล้วจู่ๆ ก็ชกที่แผ่นหลังเยารั่วเซียนอย่างแรงหนึ่งหมัด
ตุ้บ! เยารั่วเซียนที่ไม่ได้เตรียมป้องกันโดนชกจนมึน กระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ด่าในใจอย่างบ้าคลั่ง ชกพ่อเจ้าสิ… แต่ยังไม่ทันเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ก็โดนเหมียวอี้จับยัดเข้ากระเป่าสัตว์แล้ว
เหมียวอี้โดนกดดันจนทำอะไรไม่ถูกแล้วเช่นกัน จำเป็นต้องเล่นบทโหดกับเยารั่วเซียนสักหน่อย ถ้าให้คนอื่นดูออกว่าเขาไม่กล้าฆ่าเยารั่วเซียน จะต้องพุ่งตัวมาลงมือกับเขาโดยตรงแน่นอน
ขณะเดียวกันก็เคียดแค้นการกระทำของเยารั่วเซียนมาก เลยฉวยโอกาสระบายอารมณ์ไปสักหน่อย เป็นเพราะโมโหตาแก่นี่มากจริงๆ มีเรื่องอะไรก็ไม่บอกล่วงหน้าสักคำ ถ้าเจ้าอยากจะล้างความอัปยศจริงๆ พวกเราจะช่วยเจ้าหาทางไม่ได้เชียวเหรอ? อย่างน้อยก็น่าจะคิดหาวิธีที่ปลอดภัยกว่านี้หน่อย หนีมาอย่างนี้มันใช่เรื่องซะที่ไหน? เป็นการวางกับดักให้คนตายจริงๆ!
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จะบ่นตำหนิไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงแก้ไขปัญหา เห็นเพียงเหมียวอี้ขยุ้มมือไปข้างหลัง ชุยหย่งเจินที่สะบักสะบอมก็ถูกจับออกมา ตอนนี้กระบี่วิเศษในมือจ่ออยู่บนคอของชุยหย่งเจินแล้ว “ฟู่หยวนคัง เชื่อฟังข้าสักหน่อยก็พอ พากำลังคนของแดนอู๋เลี่ยงถอยออกไปให้หมด ไม่อย่างนั้นข้าจะเชือดศิษย์น้องเจ้าทิ้งซะ!”
เมื่อเห็นชุยหย่งเจินทำท่าทางขวัญผวา ตัวสั่นงันงก กลัวจนหัวหด ฟู่หยวนคังก็ตกใจมาก
ไม่ว่าจะเป็นพวกอวิ๋นเป้าหรือพวกฝาไห่ก็พากันอึ้งกิมกี่ ชุยหย่งเจินยังไม่ตายเหรอ? เมื่อครู่ไอ้เวรนี่มันบอกว่าตายแล้วไม่ใช่เหรอ?
ตอนแรกเหมียวอี้ไม่ได้บอกอวิ๋นเป้าว่าชุยหย่งเจินยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่เขาเป็นศพของทั้งแปดคน ก็นึกว่าสองคนนี้จะตายไปแล้วเหมือนกัน
สงสัยเจ้าเด็กนี่จะไม่ซื่อสัตย์กับตนด้วยเหมือนกัน ยังซุกซ่อนความลับเอาไว้ อวิ๋นเป้าทั้งโมโหทั้งอยากขำ แต่ก็ยังดีใจมากกว่า เขายิ้มมุมปาก ความรู้สึกแบบนี้ดีจริงๆ ได้ตัวประกันมาไว้ในมือเพิ่มอีกคนแล้ว!
อันหรูอวี้เองก็เลิกคิ้ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะมีแผนสำรอง! ขณะที่รู้สึกชื่นชม ในใจก็ยิ่งรู้สึกดื้อรั้น เพราะเขาดันไม่ใช่ลูกเขยของตนน่ะสิ โดนผู้หญิงคนอื่นคว้าไปก่อนแล้ว ผู้ชายดีๆ โดนผู้หญิงไม่ดีล่อลวงไปแล้ว!
ตั้งแต่เหมียวอี้แต่งงานกับอวิ๋นจือชิว อันหรูอวี้ก็ช่วยลูกสาวตัวเองหาผู้ชายดีๆ เหมือนกัน แต่นางนำเหมียวอี้มาเป็นมาตรฐาน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ หวังว่าจะหาผู้ชายที่ดีกว่าเหมียวอี้ให้ลูกสาวทั้งสองของตัวเอง จะได้ปลอบโยนหัวใจที่รู้สึกสูญเสียของตัวเองได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การหาผู้ชายมาตรฐานเดียวกับเหมียวอี้นั้นลำบากจริงๆ!
ฝ่ายแดนอู๋เลี่ยงสบตากันเลิกลั่ก มีคนฝ่ายเราไปเป็นตัวประกันอยู่ในมือของอีกฝ่าย ทำอย่างไรดี?
หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นศิษย์น้องของตัวเอง ฟู่หยวนคังก็ตะคอกอย่างโมโหว่า “ไอ้เหมียวจัญไร ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องศิษย์น้องข้าแม้แต่ปลายผมก็ลองดูสิ!”
ฉับ! เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง ใช้กระบี่ตัดทันที ตัดผมของชุยหย่งเจินทิ้งแล้ว ทำให้ชุยหย่งเจินผมปลิวสยายทันที จากนั้นกระบี่ก็ย้ายลงมาจ่อคอชุยหย่งเจินอีก เหมียวอี้แสยะยิ้มพร้อมบอกว่า “ขู่ข้าเหรอ? หลังจากข้าตีฝ่านักพรตหนึ่งแสนแปดหมื่นคนที่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตรออกมาได้ ข้าก็ไม่รู้แล้วว่าคำว่า ‘ตาย’ เขียนยังไง! ถอยออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นกระบี่จะไม่ตัดแค่ที่ผมแล้วนะ!” คมกระบี่ย้ายไปบนแขนของชุยหย่งเจิน
อวิ๋นเป้าพูดกลั้วหัวเราะ “ฟู่หยวนคัง ถอยไปซะดีๆ เถอะ เจ้าเด็กนี่มันกล้าทำจริงๆ นะ ถ้าเขาเผลอถอดเสื้อผ้าศิษย์น้องเจ้าให้ทุกคนได้เชยชมล่ะ แบบนั้นพวกเราก็ไม่สบายใจแล้ว”
เหงื่อแตก! เหมียวอี้เหงื่อแตกนิดหน่อย ยังมีคนที่โหดกว่าตัวเองอีก ขนาดข้ายังไม่กล้าถอดเสื้อผ้าผู้หญิงต่อหน้าฝูงชนเลย แต่จะว่าไปแล้ว เหมือนคำขู่แบบนี้จะได้ผลยิ่งกว่าฆ่าชุยหย่งเจินอีก เรื่องแบบนี้นภาอู๋เลี่ยงทนเสียหน้าไม่ไหวหรอก!
“อาแปดพูดจามีเหตุผล ส่งต่อผู้หญิงคนนี้ให้อาแปดจัดการก็แล้วกัน!” เหมียวอี้โบกมือ โยนชุยหย่งเจินออกไปทันที
อวิ๋นเป้ารับตัวนางมาไว้ในมือ ทำสีหน้าไม่ถูกนิดหน่อย อดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน เขาแค่เตือนเหมียวอี้นิดหน่อยว่าจะขู่นภาอู๋เลี่ยงอย่างไรให้ได้ผล ใครจะคิดว่าเจ้าเด็กนี่จะโยนเรื่องขาดคุณธรรมมาให้เขาทำ!
แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อย อวิ๋นเป้าไม่พูดพร่ำเพลง คว้าคอเสื้อชุยหย่งเจินแล้วดึงลง หัวไหล่ที่ขาวดุจหิมะของชุยหย่งเจินเปิดเผยออกมาทันที
“หยุดนะ!” ฟู่หยวนคังคำรามทันที
อวิ๋นเป้ากลับทำท่าจะดึงเสื้อผ้าของชุยหย่งเจินต่อ “ฟู่หยวนคัง ให้คนของนภาอู๋เลี่ยงถอยไป ไม่อย่างนั้นถ้ามือข้าสะบัดทีเดียว เรือนร่างของศิษย์น้องเจ้าก็จะถูกเปิดโปงเดี๋ยวนี้!”
ฟู่หยวนคังตาแทบจะถลน หันซ้ายกันขวาแล้วสั่งว่า “ถอยไป!”
“ช้าก่อน!” จีเต๋อไห่ตะคอก จากนั้นก็หันไปทางสำนักงามวิจิตร “เฟิงเป่ยเฉิน ลูกศิษย์เจ้าตกอยู่ในมือคนอื่น ถ้าเจ้ายังไม่โผล่หน้าออกมาก็จะฟังดูไม่เข้าท่าแล้ว!”
ทุกคนตกใจมาก เฟิงเป่ยเฉินก็อยู่ที่นี่เหมือนกันเหรอ?
อวิ๋นเป้ากับเหมียวอี้แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว เรื่องที่กังวลที่สุด สงสัยจะหลีกเลี่ยงไม่พ้น!
เหมียวอี้กลับพลิกฝ่ามมือแล้วขยุ้ม นำจีเหม่ยเหมยที่ตัวสั่นระริกอยู่ในสภาพสะบักสะบอมออกมาอีก เอากระบี่จ่อที่คอจีเหม่ยเหมย พูดอย่างรู้สึกอับอายปนโมโห “จีเต๋อไห่ เสียงดังไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าก็ถอยไปเหมือนกัน! ถ้ากดดันจนข้าหมดทางเลือก ก็อย่านึกว่าข้าไม่กล้าถอดเสื้อผ้าน้องสาวเจ้านะ!”
“ฮ่าๆ! ยังมีอีกหนึ่ง!” อวิ๋นเป้าหัวเราะลั่น กล่าวอย่างร่าเริงสุดๆ ว่า “เจ้าเด็กนี่มีตัวประกันเยอะเชียวนะ!”
เรื่องที่จีเต๋อไห่กังวลที่สุดเกิดขึ้นแล้ว ตอนที่เห็นชุยหย่งเจินยังมีชีวิตอยู่ เขาก็กังวลนิดหน่อย ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาหวังว่าน้องสาวตัวเองตายไปแล้ว จะได้ไม่ต้องออกมาทนรับความอับอาย แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สมหวัง ฉากที่ไม่อยากเห็นมากที่สุดได้โผล่ขึ้นมาแล้ว เขาหน้าบึ้งทันที โมโหจนตัวสั่น กำหมัดสองข้างไว้แน่น “ไอ้เหมียวจัญไร เจ้าบังอาจ!”
“ถ้าข้าปกป้องไม่ได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง เจ้าคิดว่าข้าจะกล้ามั้ยล่ะ!” เหมียวอี้กล่าว
ซวบ! เงาคนคนหนึ่งแฉลบมาจากสำนักงามวิจิตร แล้วลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ เฟิงเป่ยเฉินปรากฏตัวอยู่ด้านบน มองดูชุยหย่งเจินที่อยู่ในมืออวิ๋นเป้าอย่างเงียบๆ สายตาเหลือบลง สีหน้าเรียบเฉยเย็นชา
กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นแอบตกใจ อาศัยพลังของพวกเขา ถ้าอยากจะแย่งคนกับเฟิงเป่ยเฉิน ก็ไม่มีความหวังเลย
เหมียวอี้ก็ยิ่งแอบร้องในใจ เฝ้าหวังมาตลอดว่าจะมีแค่ฉินซีอยู่ที่นี่คนเดียว หวังว่าเฟิงเป่ยเฉินจะไม่อยู่ด้วย ตอนนี้พอเห็นเฟิงเป่ยเฉินปรากฏตัว ความหวังสุดท้ายในใจก็ดับลงทันที ฉากกำบังเดียวที่มีอยู่ในมือก็คือชุยหย่งเจินแล้ว หวังว่าจะใช้ประโยชน์ได้!
สาเหตุที่เขาเหลือชุยหย่งเจินกับจีเหม่ยเหมยเอาไว้ ก็เพราะหวังว่ายามหน้าสิ่วหน้าขวานจะนำมาเป็นยันต์ป้องกันตัวได้ สามารถพาตนกลับไปอย่างปลอดภัยได้
เฟิงเป่ยเฉินกวาดสายตาเย็นเยียบมองเหมียวอี้ สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่บนตัวอวิ๋นเป้า แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าไม่เอาท่านจื่อหยางแล้ว ปล่อยชุยหย่งเจิน แล้วข้าจะละเว้นชีวิตพวกเจ้า ปล่อยพวกเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัย”
จริงหรือโกหก? ไม่ต้องการท่านจื่อหยางแล้วเหรอ? ทุกคนรู้สึกค่อนข้างแปลกใจ สงสัยท่านอาจารย์จะเอาใจใส่ลูกศิษย์ของตัวเองมาก เพื่อที่จะช่วยลูกศิษย์ของตัวเอง แม้แต่ท่านจื่อหยางที่มีความสำคัญต่อสถานการณ์โดยรวมก็ไม่สนใจแล้ว
คนของสำนักหลอมของวิเศษอื่นๆ ที่ดูอยู่ไกลๆ ก็ยิ่งแอบชื่นชม อาจารย์ทำได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่าไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว
แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ลูกศิษย์แต่ละคนของหกปราชญ์ กว่าจะเลี้ยงและฝึกฝนมาจนถึงขั้นนี้ได้นับว่าไม่ง่ายเลย ต้องใช้ทรัพยากรไปมากมายกว่าจะได้ลูกศิษย์สักหนึ่งคน ถ้าตายไปสักคนก็ถือว่าเป็นความเสียหายอันใหญ่หลวงของหกปราชญ์
“ท่านอาจารย์!” ฟู่หยวนคังพลันหันไปถ่ายทอดเสียงเรียกเฟิงเป่ยเฉิน ความหมายที่แฝงอยู่ในนั้นก็คือ อย่าบอกนะว่าท่านจะปล่อยท่านจื่อหยางไปแบบนี้จริงๆ? ท่านทูตหลายคนตายไปโดยสูญเปล่าอย่างนี้น่ะเหรอ?
เฟิงเป่ยเฉิยถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ตอนแรกอาจารย์เห็นแก่ผลประโยชน์จนหน้ามืดตามัว คิดผิดไป! เขาจะหลอมสร้างอะไรก็ไม่หลอม ดันมาหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตร เกรงว่าอีกห้าปราชญ์ก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเป็นแบบนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มาตั้งแต่แรก! เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จื่อหยางเหลือแค่ทางตายเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะไปตกอยู่ในมือใคร คนนั้นก็ปกป้องเขาไม่ได้ คนพวกนี้นิสัยเป็นอย่างไร ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าอีก ปราชญ์ที่เหลือจะต้องรุมโจมตีแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้พวกเราปล่อยเขาไป แต่เจ้าคิดว่าพวกที่เหลือจะปล่อยเขาไปเหรอ? ตอนนี้ไม่รู้ว่าเบื้องหลังยังซ่อนใครเอาไว้อีก รอให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเองไปสักพัก คนที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคงจะปรากฏตัว รอดูอีกสักหน่อย!”
ฟู่หยวนคังกวาดสายตามองฝาไห่และคนอื่นๆ แวบหนึ่ง เข้าใจกระจ่างในทันที ต่อให้ฝ่ายพวกเขาปล่อยไป แต่พวกฝาไห่ไม่ปล่อยไปแน่นอน
หลังจากอวิ๋นเป้าไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก็ถามว่า “เฟิงเป่ยเฉิน เจ้ารักษาคำพูดรึเปล่า?”
“เจ้าคิดว่าเด็กๆ อย่างพวกเจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะทำให้ข้ากลับคำพูดเหรอ?” เฟิงเป่ยเฉินกล่าวด้วยอย่างยึดมั่นในคุณธรรม
อวิ๋นเป้าคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเห็นด้วย หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยกล่าวคำนี้ต่อหน้าฝูงชน ไม่ว่าเบื้องหลังจะเป็นคนอย่างไร แต่ภายนอกก็ยังต้องรับประกัน
อวิ๋นเป้าหันมามองเหมียวอี้ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เฟิงเป่ยเฉินให้คำสัญญาต่อหน้าฝูงชนแบบนี้น่าจะเชื่อถือได้ มีคนมากมายกำลังมองอยู่ ถ้าแรงกดดันจากฝ่ายนภาอู๋เลี่ยงหมดไป พวกเราก็จะออกไปจากที่นี่ได้อย่างมั่นใจขึ้นกว่าเดิม”
เดิมทีเหมียวอี้ก็จะคิดจะจับชุยหย่งเจินเป็นตัวประกันอยู่แล้ว แต่เขาไม่เคยคิดจะปล่อยชุยหย่งเจินไปเลย เพราะถ้าปล่อยยนางไป ความลับของตัวเองก็จะถูกเปิดเผยทั้งหมด จึงตอบเสียงดังทันทีว่า “เฟิงเป่ยเฉิน พวกเราไม่ฆ่าชุยหย่งเจินก็ได้ แต่ต้องรอให้พวกเราออกไปจากแดนอู๋เลี่ยงก่อน”
เฟิงเป่ยเฉินมองต่ำพลางกล่าวว่า “ข้าถอยให้แล้วก้าวหนึ่ง แต่คนจัญไรอย่างเจ้าได้คืบจะเอาศอก คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ! เพื่อความปลอดภัยของลูกศิษย์ข้า เงื่อนไขข้อนี้ก็ใช่ว่าจะตอบตกลงไม่ได้ อยากออกจากแดนอู๋เลี่ยงก็ง่ายมาก ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับแดนโพ้นสวรรค์ด้วยตัวเอง ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยปล่อยตัวประกันก็ยังไม่สาย แต่ท่านทูตสี่คนของข้าจะตายเปล่าไม่ได้” จากนั้นก็ชี้ไปตรงข้างกายอันหรูอวี้ “เอาชีวิตท่านทูตของแดนเซียนมาแลกสี่คน! ไม่อย่างนั้นก็ต้องปล่อยคนเดี๋ยวนี้! เงื่อนไขสองข้อนี้ เจ้าเลือกมาหนึ่งข้อ ไม่อย่างนั้นข้าก็ยอมตัดใจทิ้งชีวิตของชุยหย่งเจิน ดีกว่ายอมให้คนจัญไรอย่างเจ้ามาขู่ได้ตามใจชอบ อย่างมากหลังจากจบเรื่องก็แค่ฆ่าพวกเจ้าให้ลงหลุมศพไปเพื่อนนาง ข้าพูดจริงทำจริง เจ้าจะเอาอย่างไรก็คิดเอง!”