พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 916
“ข้าน้อยยินดีขอรับ!” เหมียวอี้รีบเอ่ยรับ
ไม่ใช่ว่าไม่อยาก! เหมียวอี้ไม่ได้แยแสตำแหน่งประมุขปราสาทเลย ให้ใครเป็นก็ไม่ให้เป็น ประเด็นสำคัญคือให้เขาไปเป็นลูกน้องของอวิ๋นจือชิว เขารู้สึกแปลกนิดหน่อย ทำไมรู้สึกเหมือนได้กลับไปอยู่ที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุอีกรอบล่ะ ตัวเองกลายเป็นบริกรแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมู่ฝานจวินเป็นคนเตรียมการ ทำให้เขารู้สึกว่ามีบางจุดที่ไม่ชอบมาพากล
เมื่อได้ยินเขาตอบตกลงแล้ว มู่ฝานจวินก็พยักเล็กน้อยหน้าอย่างพอใจ “ยังคงเป็นอย่างที่บอก ผลประโยชน์ทุกอย่างยังเป็นของพวกเจ้าสองสามีภรรยา ใครจะเป็นประมุขปราสาทหรือใครจะเป็นลูกน้องก็เหมือนกัน เดี๋ยวในภายหลังข้าจะให้รางวัลชดเชยเจ้า”
“ขอรับ!” เหมียวอี้พยักหน้าซ้ำๆ ไม่รู้ว่าจะให้รางวัลอะไรได้ แต่ภายนอกยังคงเจียดร้อยยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณที่ท่านปราชญ์ช่วยให้สมปรารถนา!”
เรื่องนี้ก็จบลงอย่างนี้แล้ว มู่ฝานจวินไม่ได้ถามอะไรมากอีก เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ท่านจื่อหยางนั่นอยู่ในมือเจ้าใช่มั้ย?”
“อยู่ในกระเป๋าสัตว์ของข้าน้อยขอรับ” เหมียวอี้พูดจบก็เรียกออกมา
“ไม่ต้องแล้ว!” มู่ฝานจวินยกมือห้าม” ส่งตัวให้อวิ๋นอ้าวเทียนแล้วกัน นี่คืออีกเรื่องที่จะให้เจ้าไปจัดการ”
ตั้งแต่ที่เฟิงเป่ยเฉินมาถึงแดนโพ้นสวรรค์แล้วไม่เอ่ยถึงเรื่องเยารั่วเซียนสักคำ เหมียวอี้ก็เดาออกแล้วมู่ฝานจวินก็ไม่ต้องการเยารั่วเซียนเหมือนกัน ตอนนี้ก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่ามู่ฝานจวินจะส่งต่อหายนะไปให้นภาจอมมาร
สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้เข้าใจอย่างแท้จริงแล้ว ว่าเยารั่วเซียนไม่อาจลงหลักปักฐานที่พิภพเล็กได้อีกต่อไป ถ้าปล่อยไว้ก็มีแต่จะตายสถานเดียว ไม่มีหกปราชญ์คนไหนย่อมปล่อยเขาไป
“ขอรับ! ข้าน้อยจะนำเขาไปส่งให้นภาจอมมารเดี๋ยวนี้! หากท่านปราชญ์ไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ข้าน้อยขอตัวอำลา!”
“ไม่จำเป็นต้องไปนภาจอมมาร ถ้าเจ้าไปตอนนี้ ถึงตอนนั้นถ้าอวิ๋นอ้าวเทียนได้คนไปแล้วไม่ยอมรับ คนอื่นก็นึกว่าข้าซ่อนคนเอาไว้น่ะสิ ต่อให้มีเป็นร้อยปากก็อธิบายไม่ได้ รออยู่ที่นี่แล้วกัน คาดว่าอีกไม่กี่วันตะแก่พวกนั้นก็คงจะมาถึง ถึงตอนนั้นก็ส่งมอบคนให้อวิ๋นอ้าวเทียนต่อหน้าทุกคน”
เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ ทำแบบนี้เท่ากับไม่เหลือทางรอดไว้ให้เยารั่วเซียนเลย แต่ก็ทำได้เพียงเอ่ยรับ
หลังจากได้รับคำสั่งจากมู่ฝานจวิน เหมียวอี้ก็ขอตัวออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้า แล้วโบกมือบอกพวกท่านทูตที่รออยู่ด้านนอก “ท่านปราชญ์ให้พวกเจ้าไปเข้าพบ”
กลุ่มท่านทูตเดินเข้าตำหนักทันที ส่วนเหมียวอี้ก็รออยู่ด้านนอก ถือโอกาสตอนไม่มีใครสนใจส่งสายตาให้เยว่เหยา
เยว่เหยาเข้าตำหนักไปพบมู่ฝานจวินทันที หลังจากออกมา ก็เรียกเหมียวอี้ “ประมุขปราสาทเหมียว”
เหมียวอี้ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะทันที “คุณชายหกมีอะไรจะกำชับขอรับ?”
“ตามข้ามานี่หน่อย” เยว่เหยาที่สวมชุดกระโปรงสีขาวเอ่ยเรียก แล้วดึงหงเฉินเหาะออกไปด้วยกัน เหมียวอี้เหาะตามไปทันที
พวกอันหรูอวี้แค่มองมาสองสามครั้ง และไม่ได้สนใจอะไร คิดว่ามู่ฝานจวินคงสั่งให้พวกเขาไปทำอะไรบางอย่าง
เยว่เหยากับหงเฉินพักอยู่ด้วยกัน อยู่บนภูเขาลูกเดียวกัน อยู่ในตำหนักที่งดงามราวกับวิมานหยก สิ่งของที่จัดวางไว้ล้วนเป็นของที่งดงามประณีตและหาพบได้น้อยในโลกนี้ เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์จะมาชื่นชมสภาพแวดล้อมของที่นี่ เพียงแต่ใช้สายตาสื่อสารกับเยว่เหยา
เยว่เหยาเข้าใจที่เขาสื่อ จึงไล่ให้ลูกน้องออกไป แล้วเข้ามาคล้องแขนเหมียวอี้ “พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ท่านอาจารย์ไม่ได้ทำอะไรท่านใช่มั้ย?”
“ไม่มีอะไร แค่ไม่ได้เป็นประมุขปราสาทแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องนี้หรอก” เหมียวอี้มองเทพธิดาหงเฉินที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง แต่ไม่ได้หลบเลี่ยงนาง เพราะรู้ว่าทั้งสองเป็นพวกเดียวกัน เขาใช้มือสองข้างประคองไหล่ของเยว่เหยา พร้อมาถามว่า “เจ้าสาม พี่ใหญ่ขอถามเจ้าอย่างจริงจังสักครั้ง ถ้าพี่ใหญ่กับอาจารย์ของเจ้าเกิดขัดแย้งอะไรกัน เจ้าจะยืนอยู่ฝ่ายไหน?”
เทพธิดาหงเฉินตะลึงงัน หันหน้าช้าๆ ไปมองทั้งสองคน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
เยว่เหยาก็ยิ่งตกใจไม่เบา ดวงตางามสดใสเบิกโพลงทันที ถามอย่างรู้สึกเหลือเชื่อว่า “พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงพูดแบบนี้ออกมาล่ะ? ท่านอยากทรยศแดนเซียนไปพึ่งพาแดนมารเพื่อฮูหยินคนนั้นใช่มั้ย?” สองไหล่สั่นเทิ้ม ใช้มือปัดของเขาที่อยู่บนบ่าตัวเองออก แล้วส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ “ข้าไม่ตอบตกลงหรอก!”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “เจ้าสาม เจ้าอย่านอกเรื่องไปไกล ไม่เกี่ยวกับพี่สะใภ้ของเจ้า ข้าแค่อยากถามเจ้าสักคำ ถ้าพี่ใหญ่พาเจ้าออกไปจากที่นี่ เจ้าจะยอมไปหรือเปล่า?”
“ไปที่ไหน?” เยว่เหยาถาม
“เจ้าไม่ต้องสนใจหรอกว่าจะไปที่ไหน พี่ใหญ่จะดูแลเจ้าอย่างดีแน่นอน”
“พี่ใหญ่ ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่? ถ้ามีข้าอยู่ ท่านอาจารย์ก็ไม่ทำอะไรท่านหรอก”
เหมียวอี้เริ่มร้อนใจนิดหน่อย ถามเสียงต่ำว่า “เจ้าสาม อย่าบอกนะว่าเจ้าดูไม่ออก? อาจารย์เจ้าใช้เจ้าเพื่อบีบจุดอ่อนข้ามาตลอด ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่ข้าก็ทำอะไรได้ไม่เต็มที่ ไปกับข้าเถอะ!”
เยว่เหยามองเทพธิดาหงเฉินอย่างกังวลมาก อยู่ดีๆ เหมียวอี้ก็จะให้นางทรยศอาจารย์ตัวเอง ทำให้นางทำอะไรไม่ถูกเลย
“เจ้าทิ้งศิษย์พี่หญิงของเจ้าไม่ลงใช่มั้ย?” เหมียวอี้หันไปมองเทพธิดาหงเฉิน” หงเฉิน ถึงอย่างไรเจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่สมปรารถนาอยู่แล้ว ไม่สู้ไปกับข้าดีกว่า ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เจ้าช่วยเกลี้ยกล่อมเจ้าสามหน่อย”
“ข้าอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ” เทพธิดาหงเฉินเดินลากกระโปรงยาวเข้ามาเบาๆ ถอนหายใจ แล้วบอกว่า “เหมียวอี้ ฝั่งหนึ่งก็อาจารย์ ฝั่งหนึ่งก็พี่ชาย อาจารย์ดูแลนางอย่างดีมาตั้งแต่ยังเด็ก เจ้าจะให้นางตัดสินใจเลือกได้อย่างไร ถ้าเปลี่ยนเป็นข้า ก็คงจะเลอะเลือนตามเจ้าไปไม่ได้เหมือนกัน”
เยว่เหยาพยักหน้า “พี่ใหญ่ ท่านอาจารย์ดูแลข้าอย่างดี ข้าทรยศนางไม่ได้หรอก พี่ใหญ่ ท่านไม่พอใจที่ท่านอาจารย์ถอดท่านออกจากตำแหน่งประมุขปราสาทเหรอ? พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องห่วงนะ รอให้อาจารย์หายโกรธก่อน ข้าจะไปขอร้องให้ ให้ท่านกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม ถ้ามีท่านอยู่ อาจารย์ก็ไม่กลั่นแกล้งท่านหรอก”
พอเหมียวอี้ได้ฟังคำตอบของนาง ก็รู้ว่านางไม่สามารถตัดสินใจเลือกระหว่างเขากับมู่ฝานจวินได้ รู้ว่าพูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
แล้วจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาที่แน่วแน่กล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งพลันรู้สึกห่อเหี่ยวใจ ใช้สองมือปิดหน้า ค่อยๆ นั่งยองๆ ลงบนพื้น แล้วก้มหน้าเงียบงันอยู่นานมาก
เทพธิดาหงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าบนตัวของผู้ชายคนนี้เต็มไปด้วยความจนใจ
เยว่เหยาเริ่มกลัวแล้ว นางนั่งย่อเข่าบนพื้น ใช้มือประคองแผ่นหลัง พลางถามอย่างกังวลว่า “พี่ใหญ่ ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจสิ!”
เหมียวอี้ถอยหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ใช้สองมือถูหน้าตัวเองอย่างแรง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มสดใสพลางลุกขึ้นยืน ยื่นมือใบลูบใบหน้าเยว่เหยาที่ลุกขึ้นยืนตามเขา พลางกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่มีอะไรหรอก ข้าก็พูดไปเรื่อยเปื่อย พี่ใหญ่ไม่ฝืนใจเจ้าหรอก ตราบใดที่เจ้าอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกมีความสุขก็ดีแล้ว”
โดนเขาลูบใบหน้าแบบนี้ เยว่เหยาก็หน้าแดงนิดหน่อย เชิดปากพูดว่า “พี่ใหญ่ ท่านบอกแล้วว่าจะแต่งงานกับข้าและศิษย์พี่หญิง ถ้าท่านแต่งงานกับพวกเราสองคนแล้ว พวกเราก็จะตามท่านไปได้อย่างสง่าผ่าเผย!”
เทพธิดาหงเฉินพูดไม่ออก เอามือลูบหน้าผากนางเบาๆ อย่างจนใจ
เหมียวอี้เองก็พูดไม่ออก เจ้าเด็กคนนี้เอาแต่คิดเรื่องนี้อยู่เสมอ จึงหัวเราะแห้งๆ พร้อมบอกว่า “เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว พี่ใหญ่แต่งงานกับพี่สะใภ้เจ้าแล้วนะ เออใช่ ทำไมข้าได้ยินพี่สะใภ้บอกว่าเจ้าทำตัวไม่เป็นมิตรกับนางตลอดเลย มันเรื่องอะไรกันแน่?”
เยว่เหยาทำสีหน้าเย็นชาทันที “นางไม่ใช่พี่สะใภ้ข้า ข้าไม่ยอมรับ”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “นี่เป็นงานสมรสที่อาจารย์เจ้าประทานให้เองเลยนะ ถ้าเจ้าไม่พอใจก็ไปต่อว่าอาจารย์เจ้าสิ”
“พี่ใหญ่ ท่านเล่นลูกไม้กับข้าใช่มั้ย?”
“ไม่เถียงกับเจ้าแล้ว!” เหมียวอี้ปัดมือที่นางชี้เข้ามา แล้วหันตัวไปบอกเทพธิดาหงเฉิน “หาห้องเงียบๆ สักห้อง เราไปคุยกันเป็นการส่วนตัวสักหน่อย”
เทพธิดาหงเฉินอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็พยักหน้าทันที ดึงกระโปรงเดินนำไปข้างหน้า เหมียวอี้เดินตามไปทันที
เยว่เหยาเดินตามอยู่หลังสุด “พี่ใหญ่ ท่าจะทำอะไร?”
“ศิษย์พี่เจ้าสวยขนาดนี้ ข้าก็ต้องไปคุยเกี้ยวพาราสีศิษย์พี่เจ้าสักหน่อยสิ!” เหมียวอี้พูดหยอก
หงเฉินเอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วพาเหมียวอี้ไปยังห้องสมาธิฝึกตนที่ใช้เป็นประจำ พอปิดประตูหิน เยว่เหยาที่ถูกกั้นให้อยู่ข้างนอกก็กระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด
หลังจากในห้องสมาธิเหลือแค่พวกเขาสองคน หงเฉินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เรื่องอะไร ทำไมต้องคุยกันส่วนตัว?”
“ข้าประสบปัญหาแล้ว เจ้าจะช่วยข้าสักหน่อยได้มั้ย?” เหมียวอี้กลับถ่ายทอดเสียง…
พอประตูหินเปิดออก ตอนที่ทั้งสองเดินออกมาอีกครั้ง แววตาของหงเฉินก็จริงจังเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน เยว่เหยาเข้ามากอดแขนนางทันที อยากรู้อยากเห็นแทบแย่แล้ว “ศิษย์พี่หญิง พวกท่านคุยอะไรกันเหรอ?”
“พี่ชายเจ้าชอบข้า!” หงเฉินยิ้ม
เยว่เหยาไม่เชื่อ จึงมองไปทางเหมียวอี้ “จริงหรือเปล่า?”
“ศิษย์พี่เจ้าปฏิเสธข้า!” เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน
เยว่เหยาพูดค่อนขอด “โกหก!” จากนั้นก็ถามอีกว่า “จริงหรือโกหกคะ?”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เทพธิดาหงเฉินก็ปรากฏตัวอยู่ในป่าลึกนอกแดนโพ้นสวรรค์ บังเอิญเจอกับพวกอวิ๋นเป้าและพวกทะเลดาวนักษัตรที่กำลังรอเหมียวอี้พอดี
ถึงแม้ทุกคนจะรอเหมียวอี้ แต่กลับรู้จักแยกแยะชัดเจน ต่างคนต่างยืนคนละฝั่ง ความสัมพันธ์ของสองฝ่ายไม่ได้ดีสักเท่าไร
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?” หงเฉินตะคอก
อวิ๋นเป้าหัวเราะร่า ไม่ตอบคำถามนาง แต่หันซ้ายหันขวาแล้วพูดหยอกล้อ “อย่าว่าไปเชียว เวลามู่ฝานจวินรับลูกศิษย์ แต่ละคนนี่เป็นยอดหญิงงามในโลกมนุษย์ เห็นแล้วน้ำลายไหล”
บรรดาท่านทูตของแดนมารหัวเราะลั่น ฝ่ายทะเลดาวนักษัตรก็มีคนขำเบาๆ เช่นกัน สายตาจ้องอยู่บนตัวหงเฉินอย่างกำเริบเสิบสาน
หงเฉินขมวดคิ้วเดินมาอยู่ตรงหลางระหว่างคนทั้งสองกลุ่ม แล้วเตือนว่า “ที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของพวกเจ้า รีบออกไปซะ ถ้ายั่วให้อาจารย์โมโห พวกเจ้าได้รับบทเรียนกลับไปแน่”
เหมือนจะไม่อยากคลุกคลีอยู่กับคนสกปรกพวกนี้นาน พอเตือนเสร็จก็หันหน้าเดินออกไปเลย ทำให้ผู้ชายกลุ่มนี้แอบหัวเราะ
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ฝูงชิงที่อยู่ฝ่ายทะเลดาวนักษัตรกลับอาศัยต้นไม้ใหญ่พรางตัว แอบลงจากเขาฝั่งนี้อย่างเงียบๆ หนีออกมาอย่างไร้สุ้มเสียงไม่นานก็มาถึงหุบเขาอีกแห่ง จากนั้นเหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบๆ
ที่ด้านหลังภูเขาหินลูกหนึ่ง เงาร่างของเทพธิดาหงเฉินวนออกมา นางไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เพียงโบกมือนำแผนหยกแผ่นหนึ่งขว้างออกมา
ฝูชิงรับมาไว้ในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย แต่หลังจากอ่านเนื้อหาในนั้นแล้ว ก็ทำท่าครุ่นคิด…
เหมียวอี้มาที่แดนโพ้นสวรรค์เป็นครั้งแรก ย่อมบอกเยว่เหยาว่าอยากจะออกไปเดินเล่นดูสักหน่อย ด้วยฐานะของเยว่เหยาไม่สะดวกจะไปเดินเล่นเป็นเพื่อน แต่ถ้าไม่ไปด้วยก็กลัวว่าเหมียวอี้จะบุกไปยังสถานที่ที่ไม่ควรล่วงล้ำ จึงให้หลันรั่วหญิงรับใช้ของตัวเองไปเป็นเพื่อน
ไม่ต้องพูดถึงทิวทัศน์อันงดงามของแดนโพ้นสวรรค์เลย เป็นสวรรค์บนโลกมนุษย์อย่างแท้จริง พื้นที่ของหนึ่งภูเขาซ่อนธรรมชาติเอาไว้สี่ฤดู มีน้ำตกลำธารใส ภูเขาสูงปกคลุมไปด้วยหิมะ ในหุบเขาละลานตาไปด้วยมวลหมู่ดอกไม้ เหล่าวิหคร้องขับขาน ศาลาที่อยู่โดยรอบปรากฏให้เห็นรางๆ
“ช่างเป็นสถานที่ที่งดงาม!” เหมียวอี้กล่าวชมมาตลอดทาง พอเดินมาถึงริมหน้าผาของซอกเขาแห่งหนึ่ง เขาทอดสายตามองด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
ข้างกายมีต้นสนเขียวชอุ่มหลายต้น พุ่มใบของมันกำลังปะทะลมสู้หมอก ด้านล่างของหน้าผามีกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก ล้วนเป็นน้ำที่ละลายจากหิมะบนภูเขา มีไอหมอกกระเพื่อมขึ้นมา
หลันรั่วกำลังแนะนำสถานที่ เหมียวอี้เพิ่งจะยื่นหน้ามองลงไปด้านล่างหน้าผา แต่จู่ๆ ก็มีเงาสีดำพุ่งพรวดขึ้นมาจากด้านล่าง สับฝ่ามือไปที่เหมียวอี้อย่างบ้าคลั่ง
หลันรั่วกับเหมียวอี้ตกใจมาก รีบหนีอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ที่มาเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ทั้งยังพุ่งเป้าไปที่เหมียวอี้ เหมียวอี้หนีไม่ทัน โบกมือโจมตีกลับภายใต้ความตื่นตะหนก
บึ้ม! เกิดเสียงดังสะเทือน หน้าผาพังทลาย “อั้ก” เหมียวอี้กระอักเลือกสดออกมาคำหนึ่ง โดนฝ่ามือสับจนตกลงไปพร้อมกับหน้าผาถล่ม คนชุดดำที่ปิดบังใบหน้ากระโดดตามลงไป