พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 917
ต้นสนและก้อนหินถล่มลงมาเสียงดังโครม ทั้งคนทั้งหินตกลงสู่ลำธารที่ไหลเชี่ยวกรากใต้หน้าผา บึ้ม! ละอองน้ำที่ระเบิดพุ่งขึ้นฟ้าเป็นเครื่องพิสูจน์ศึกเดือดที่อยู่ใต้กระแสน้ำอันเชี่ยวกราก
ใต้เสาน้ำมีแสงสีฟ้าลอยวนเวียน ไม่รู้ว่าคืออะไร ดูน่าตกใจกลัวมาก แต่เสียงความเคลื่อนไหวดุเดือดก็เงียบสงบลงเร็วมาก
หลันรั่วที่เหาะขึ้นฟ้าตกใจไม่เบา มองไม่ชัดว่าสถานการณ์ข้างล่างเป็นอย่างไร จึงร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกน “ข้าศึกโจมตี ช่วยด้วย!”
ที่จริงนางไม่ต้องร้องขอความช่วยเหลือเลย ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ คนของแดนโพ้นสวรรค์ไม่ได้หูหนวก เงาคนเหาะแฉลบมาคนแล้วคนเล่า เรียกได้ว่าใครที่มาได้ก็มาหมด สะเทือนไปถึงปราชญ์เซียนมู่ฝานจวินเช่นกัน ถึงกับต้องมาดูด้วยตัวเอง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ฮูเหยียนไท่เป่าจ้องหลันรั่วที่อยู่ในอาการหวาดกลัวพลางตะคอกถาม
เยว่เหยาที่มาถึงช้ากว่าคนอื่น พอเห็นแค่หลันรั่วแต่ไม่เห็นเหมียวอี้ นางก็ยิ่งตกใจ รีบถามว่า “หลันรั่ว เป็นอะไรไป?”
หลันรั่วชี้ไปใต้หน้าผาที่ถล่ม “มีคนปิดบังใบหน้าลอบโจมตีประมุขปราสาทเหมียว!”
พอพูดจบก็ไม่จำเป็นต้องบอกอะไร ฮูเหยียนไท่เป่า อันหรูอวี้ จงเจิ้นรวมทั้งท่านทูตคนอื่นๆ ก็เคลื่อนไหวทันที กลุ่มนักพรตบงกชทองรีบค้นหาอย่างรวดเร็ว
มู่ฝานจวินที่อยู่บนฟ้าส่งสายตาให้หงเฉิน หงเฉินเข้าใจความหมาย จึงเข้ามาดึงเยว่เหยาที่อยู่ในอาการร้อนรน เตือนนางว่าอย่าแสดงออกเกินไป ไม่อย่างนั้นทุกคนจะดูออกว่านางกับเหมียวอี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา
“เหมียวอี้ล่ะ?” มู่ฝานจวินถามหลันรั่ว
หลันรั่วชี้ไปใต้หน้าผา “โดนคนที่ปิดบังใบหน้าโจมตีตกหน้าผาไปแล้ว เป็นตายอย่างไรไม่ทราบเจ้าค่ะ”
เยว่เหยาแทบจะน้ำตาไหลพราก ยังดีที่หงเฉินร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเอาไว้
ดวงตามู่ฝานจวินฉายแววเย็นเยียบ เอียงศีรษะไปทางถังจวิน ถังจวินเข้าใจที่นางจะสื่อ ขณะกำลังจะเหาะลงไปหาที่ใต้หน้าผา ใครจะคิดว่าเงาร่างที่สะบักสะบอมจะกระโดดออกมาจากใต้หน้าผาที่มีไอน้ำขมุกขมัว ทั้งตัวเปียกโชก แกว่งแขนข้างหนึ่งขึ้นมาบนหน้าผา ส่วนแขนอีกข้างถือดาบสีม่วงยันพื้นเพื่อประคองร่างที่โซเซ จ้องมองกลุ่มคนบนฟ้าด้วยสีหน้าดุร้าย นอกจากเหมียวอี้แล้วจะเป็นใครไปได้อีก!
“มีเรื่องอะไรกันแน่?” มู่ฝานจวินถามตรงๆ
เหมียวอี้ปากสั่นระริก อยากจะบอกแต่พูดไม่ออก “อั้ก…” จู่ๆ ก็อ้าปากกระอักเลือดออกมาอีกคำ พยุงร่างตัวเองไม่ไหวแล้ว ก้นกระทกลงพื้นและหงายหลัง นอนหายใจรวยรินอยู่อย่างนั้น
ทุกคนเหาะลงมาเหยียบพื้น ถังจวินก้าวเข้ามานั่งคุกเข่าข้างเดียว หลังจากยื่นมือเข้าไปร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการของเหมียวอี้เสร็จแล้ว ก็เงยหน้ารายงานว่า “ท่านอาจารย์ แขนหักหนึ่งข้าง กระดูกซี่โครงหักหมด บาดเจ็บสหัสมาก!”
ถ้าเยว่เหยาไม่ได้ถูกหงเฉินควบคุมไว้ ก็คงจะโผเข้าไปตั้งนานแล้ว
มู่ฝานจวินทำสีหน้าเคร่งเครียด สั่งเพียงว่า “ช่วยชีวิต!”
“ขอรับ!” ถังจวินนำสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาทันที เป่าหมอกประกายดาวหลายกลุ่มเพื่อรักษาเยียวยา
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง คนที่ตามหาจนทั่วทุกที่ก็กลับมา ที่พากลับมาด้วยคือพวกอวิ๋นเป้าและกลุ่มปีศาจทะเลดาวนักษัตร พวกเขาอยู่แถวนี้พอดี จึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัย แต่พอได้ยินว่าเหมียวอี้โดนจู่โจมจนได้รับบาดเจ็บ พวกเขาก็เป็นฝ่ายตามมาเองโดยไม่ต้องบังคับ
“เจ้าห้า นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ประมุขถิ่นสี่ทิศรีบมาล้อมถาม
หลังจากหยียบลงพื้นและชำเลืองมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง อวิ๋นเป้าก็เงยหน้ามองมู่ฝานจวิน “ใครเป็นคนทำ?”
มู่ฝานจวินไม่แยแสเขาเลย แต่สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนถ่อมาลอบโจมตีถึงที่นี่ แต่อาจจะเลือกสถานที่ได้ดีเกินไปหน่อย บังเอิญว่าเป็นที่นี่พอดี ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวและรู้ตัวว่าเกิดอะไร แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาคน ตกลงไปใต้หน้าผาเสียแล้ว
นางรู้สึกว่าคนที่ลอบโจมตีคุ้นเคยกับแดนโพ้นสวรรค์มาก สายตากวาดมองกลุ่มคนทีละคน แต่กลับไม่เจอเบาะแสอะไร
แม้แต่ฮูเหยียนไท่เป่ากับพวกศิษย์พี่เองก็ยังรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล เหลียวซ้ายแลขวาอยู่เป็นระยะ
อันหรูอวี้กำลังมองเหมียวอี้ที่ได้รับบาดเจ็บหนัก บอกไม่ถูกว่ากำลังทำสีหน้ากังวลหรือสีหน้าอะไร
โอวหยางกวงมองเหมียวอี้ที่บาดเจ็บสาหัสพลางขมวดคิ้ว เขารู้สึกจนใจมากกับเรื่องบางเรื่อง ก่อนหน้านี้อันหรูอวี้บอกให้เขารู้ถึงผลลัพธ์แล้ว เขาได้รู้ว่าลูกสาวทั้งสองของตัวเองจะต้องแต่งงานกับเจ้าบ้านี่ ที่น่าหงุดหงิดใจก็คือแต่งไปเป็นอนุภรรยา ลูกสาวทั้งคู่ของเขาต้องแต่งไปเป็นอนุภรรยาของอีกฝ่ายเหรอ? บอกไม่ถูกเลยว่าในใจมีรสชาติเป็นอย่างไร!
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม เหมียวอี้ที่อาการบาดเจ็บทุเลาลงก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา มู่ฝานจวินย่อมถามว่า “รู้มั้ยว่าใครทำ?”
เหมียวอี้ที่อยู่ในอาการอ่อนเพลียตอบอย่างเดือดดาลว่า “อีกฝ่ายปิดหน้า ข้าน้อยมองไม่ชัด แต่อีกฝ่ายกลับใช้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ข้าน้อยสงสัยว่าเฟิงเป่ยเฉินเป็นคนทำ เขาแย่งกระเป๋าสัตว์ของข้าไปแล้ว ท่านจื่อหยางอยู่ในกระเป๋าสัตว์”
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ทุกคนก็ตใจมาก แม้แต่เทพธิดาหงเฉินก็ยังมองมาแบบงงๆ
ประมุขถิ่นสี่ทิศสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขาค่อนข้างพูดไม่ออก พบว่าเหมียวอี้กับเฟิงเป่ยเฉินจงเวรกันไม่จบไม่สิ้น ขอแค่มีโอกาสก็จะลากเฟิงเป่ยเฉินลงไปเจอความย่อยยับ
แต่เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา แม้แต่อวิ๋นเป้าก็ยังไม่เชื่อ เป็นญาติกันก็ส่วนเป็นญาติกัน ผลประโยชน์ก็ส่วนผลประโยชน์ ท่านจื่อหยางโดนคนแย่งไปแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยด้วย จะไม่ทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนไม่ได้ จึงถามด้วยสีหน้าสงสัยว่า “เหมียวอี้ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายใช้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง?”
เหมียวอี้หันมาตอบว่า “หลานชายของเฟิงเป่ยเฉินตายด้วยน้ำมือของข้า ข้าเคยประมือกับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงมาแล้ว จะไม่รู้ได้อย่างไร!”
อวิ๋นเป้าพูดกลั้วหัวเราะว่า “พูดได้ดีนี่ หลานชายเขาตายด้วยน้ำมือเจ้า ถ้าเฟิงเป่ยเฉินลงมือล่ะก็ ทั้งความแค้นเก่าทั้งความแค้นใหม่รวมกัน เขาคิดว่าเฟิงเป่ยเฉินจะปล่อยเจ้าได้เหรอ? ได้ยินว่าเมื่อครู่นี้มีคนลอบจู่โจมเจ้า ไม่รู้ว่าตอนโดนลอบจู่โจม ข้างกายเจ้ามียอดฝีมือปกป้องรึเปล่า?”
“อวิ๋นเป้า ท่านหมายความว่าอย่างไร?” เหมียวอี้ถามอย่างโมโห
อวิ๋นเป้าตอบกลั้วหัวเราะอีก “อย่าใจร้อนไป ข้าแค่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่ง” เขากวาดสายตามองกลุ่มคนของแดนโพ้นสวรรค์ “คงไม่ได้จงใจช่วยกันเล่นละครตบตาหรอกใช่มั้ย?”
“เจ้าลูกมาร ถ้าพูดเหลวไหลไร้สาระอีก เชื่อมั้ยว่าข้าจะฉีกปากเหม็นๆ ของเจ้า?” มู่ฝานจวินอ่ยปากพูดแล้ว
อวิ๋นเป้าหัวเราะแล้วหุบปาก ถึงอย่างไรก็ได้แสดงความคิดเห็นไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัว
เช่นเดียวกัน มู่ฝานจวินก็เคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน “ถึงแม้เจ้าลูกมารจะพ่นแต่อุจจาระออกจากปาก แต่ก็ใช่ว่าคำพูดของเขาจะไม่มีเหตุผล เหมียวอี้ ถ้าเป็นเฟิงเป่ยเฉินจริง เกรงว่าเขาคงจะฆ่าเจ้าทิ้งไปแล้ว เจ้าคงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้หรอก”
เหมียวอี้เขย่าดาบยาวสีม่วงที่อยู่ในมือ ทำให้เกิดแสงสีฟ้าเปล่งออกมา แสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาหลายจั้ง เขากล่าวเสียงดังว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะข้ามีของวิเศษชิ้นนี้ปกป้อง โจมตีจนอีกฝ่ายทำอะไรไม่ถูก ข้าก็คงตายไปแล้วจริงๆ เป็นเพราะคนที่ข้าสู้ด้วยวรยุทธ์สูงเกินไป!”
ทุกคนทำสีหน้าตกตะลึงมาก พวกเขาเคยสัมผัสมาก่อน คนที่รู้ว่ามันคืออะไรพากันอุทานเสียงหลงว่า “เรือมังกรอเวจี!”
แม้แต่มู่ฝานจวินก็เบิกตาโพลงเช่นกัน
ส่วนคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พอได้ยินเสียงร้องอุทานก็พากันทำสีหน้างุนงง อะไรกัน? ดาบนี้คือเรือมังกรอเวจีในตำนานเหรอ? แต่หน้าตาแตกต่างกับที่ร่ำลือกันมากเกินไปหน่อย
ประมุขถิ่นสี่ทิศมองหน้ากันเลิกลั่ก พวกเขาคุ้นเคยกับของเล่นชิ้นนี้ดี เพราะไปปล้นที่เกาะศักดิ์สิทธิ์มาด้วยกัน
“เหมียวอี้ เจ้าเอาของชิ้นนี้มาจากไหน?” อวิ๋นเป้าตาลุกวาว
แสงสีฟ้าพลันหดเก็บเข้าในตัวดาบ เหมียวอี้ถือดาบไว้ในแนวนอน หันตัวมาเลิกคิ้วถามว่า “ท่านไม่สนใจหรอกว่าข้าจะเอามาจากไหน อยากจะลิ้มลองอานุภาพของดาบนี้สักหน่อยมั้ยล่ะ?”
สำหรับอานุภาพของดาบด้ามนี้ ในบรรดาคนที่อยู่ในเหตุการณ์ สงเวยประมุขถิ่นทิศตะวันออกคงจะรู้สึกสะเทือนอารมณ์ที่สุด ทุกวันนี้ในใจยังหวาดกลัวไม่หาย
“…” อวิ๋นเป้าหัวเราะแห้งๆ ทันที แล้วยื่นมือเข้าไปโดยตรง “เหมียวอี้เอ๊ย! ดาบนี้หน้าตาดีใช้ได้ ส่งมาให้อาแปดดูสักหน่อยสิ”
“มาแย่งของถึงแดนโพ้นสวรรค์ของข้าเลยเหรอ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่มั้ย?” มู่ฝานจวินพูดห้ามอย่างเด็ดขาด “ไสหัวออกจากแดนโพ้นสวรรค์ไปเดี๋ยวนี้!”
มือที่ยื่นออกไปชะงักทันที อวิ๋นเป้าไม่มีทางเลือก มู่ฝานจวินกำลังจะระเบิดอารมณ์แล้ว ทำได้เพียงหนีไปอย่างหน้าม่อยคอตก แต่อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองดาบในมือเหมียวอี้ด้วยแววตาตะกละ
พอเหมียวอี้แอบส่งสายตาให้ ประมุขถิ่นสี่ทิศก็ถอยออกไปเงียบๆ เช่นกัน
“เหมียวอี้มานี่หน่อย!” มู่ฝานจวินหันมาพูดทิ้งท้าย แล้วถลันตัวกลับเข้าไปในตำหนักเก้าชั้นฟ้า
ฮูเหยียนไท่เป่ามองเหมียวอี้ที่เดินตามเข้าไปแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมาสั่งพวกลูกน้องให้ค้นหาที่แดนโพ้นสวรรค์ต่อไป
ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า มู่ฝานจวินไม่ได้กลับขึ้นนั่งในบัลลังก์ แต่ยืนอยู่ในโถง ขณะที่มองดูเหมียวอี้เดินเข้ามาคำนับ นางก็ไม่เปลืองคำพูดอะไรแล้ว ยื่นมือขอตรงๆ เลยว่า “นำดาบมาให้ข้าดูหน่อย!”
เหมียวอี้ทำได้เพียงนำดาบออกมา แล้วใช้สองมือยื่นให้ มู่ฝานจวินขยุ้มนิ้วทั้งห้าดูดมาไว้ในมือ หลังจากดูไปครู่เดียว นางก็กำจัดต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ที่อยู่ในนั้นทิ้งไป แล้วใส่ของตัวเองเข้าไปแทน พอร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นเล็กน้อย ก็เห็นแสงสีฟ้าลอยขึ้นมา พอพลิกดาบในมือสองสามที แสงสีฟ้าก็ถูกลากดึงออกมา
“ช่างเป็นของล้ำค่าจริงๆ!” มู่ฝานจวินถือเล่นในมือสองสามครั้งพลางกล่าวชม จากนั้นเงยหน้าขึ้นถามว่า “เจ้านำสมบัติชิ้นนี้มาจากไหน?”
“เป็นของที่เทพพยากรณ์ตีได้มาจากเรือมังกรอเวจีในครั้งนั้นเช่นกัน นอกจากยาแก่นเซียนพวกนั้นแล้ว เขายังให้สมบัติชิ้นนี้กับข้าด้วย” เหมียวอี้ตอบ
“ข้าก็คิดอย่างนั้น ของประเภทนี้ข้าเคยเห็นแค่ที่เรือมังกรอเวจีเท่านั้น ถึงแม้จะเป็นของวิเศษขั้นสี่ แต่คุณสมบัติไม่ธรรมดา เป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในพิภพเล็ก” มู่ฝานจวินพยักหน้า โปรดปรานดาบที่อยู่ในมือจนวางไม่ลง นางลูบบนตัวดาบพร้อมกล่าวว่า “เหมียวอี้ ของแบบนี้ถ้าตกอยู่ในมือเจ้า เกรงว่าจะนำหายนะมาให้เจ้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?” นางเหล่ตาจ้องมองมา
ความหมายแฝงในคำพูดนี้ชัดเจนมาก คือให้เหมียวอี้รู้จักอ่านสถานการณ์เป็นและมอบให้นาง แต่เหมียวอี้กลับแกล้งโง่ ไม่พูดอะไรตอบ
มู่ฝานจวินเองก็ไม่เกรงใจ เมื่อเห็นเขาตัดใจทิ้งไม่ลง ก็พูดตรงๆ เสียเลยว่า “ข้าว่าเก็บดาบนี้ไว้ที่ข้าเถอะ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เหมียวอี้แอบถอนหายใจ แบบนี้ต่างอะไรกับการปล้น เขารู้อยู่แล้วว่าถ้านำดาบเล่มนี้ออกมาแล้วจะรักษาไว้ไม่ได้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก ถ้าอยากจะช่วยชีวิตเยารั่วเซียนก็ต้องเสียสละดาบเล่มนี้ แต่ทุกคนไม่เชื่อว่าเยารั่วเซียนถูกคนชิงตัวไปแล้ว มีแค่การจ่ายค่าตอบแทนให้มากพอ ถึงจะทำให้คนเชื่อจริงๆ ว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เขาโดนกดดันจนหมดทางเลือกแล้วจริงๆ จะรักษาชีวิตของเยารั่วเซียน หรือจะรักษาดาบเล่มนี้ไว้ ขณะที่ตัดใจทิ้งไม่ลง สุดท้ายเข้าก็เลือกรักษาชีวิตของเยารั่วเซียนไว้
แต่ของแบบนี้จะให้ไปง่ายๆ ก็ไม่ได้ ถ้าใจกว้างเกินไปจะทำให้คนสงสัย ดังนั้นเหมียวอี้จึงก้มหน้าพูดเสียงต่ำว่า “ในเมื่อท่านปราชญ์โปรดปราน ข้าน้อยก็ยินดีมอบให้ เพียงแต่อาการบาดเจ็บบนตัวข้าน้อยยังไม่หายดี อยากจะขอสมุนไพรเซียนซิงหัวสักสองต้นขอรับ…”
มู่ฝานจวินไม่พูดพร่ำทำเพลง สะบัดมือปล่อยสมุนไพรเซียนซิงหัวที่มีอายุกำลังได้ที่ให้ลอยเข้ามา สองต้น
เหมียวอี้รับมาไว้ในมือแล้วกล่าวขอบคุณ ในที่สุดในใจของเขาก็สงบลงบ้างแล้ว
ถึงแม้สมุนไพรเซียนซิงหัวจะมีค่ามากในพิภพเล็ก แต่ในพิภพใหญ่นั้นมีค่ามากกว่า ไม่ใช่เพราะในพิภพใหญ่มีสมุนไพรเซียนซิงหัวอยู่น้อย แต่เป็นเพราะโดนตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีผูกขาด ต่อให้มีคนได้มาก็ไม่อาจนำมาจำหน่ายได้ ยามหน้าสิ่วหน้าขวานสามารถหยิบออกมาช่วยชีวิตได้ ถ้าไม่โดนกดดันจนหมดทางเลือก ก็ไม่มีใครทำออกมาขาย
เหมียวอี้มีปัจจัยที่จะนำไปขายต่อที่พิภพใหญ่ แต่คนที่ต้องเสี่ยงอันตรายบ่อยๆ แบบเขามีแต่จะรู้สึกว่ามันน้อยไป จะนำไปขายได้อย่างไร มิหนำซ้ำของสิ่งนี้ก็หาไม่ได้ง่ายๆ ที่พิภพเล็ก สมาคมร้านค้าแต่ละแดนนั้นมีขาย แต่ก็ขายจำกัดให้แค่คนบางระดับของทางการเท่านั้น นับว่าเป็นสวัสดิการให้กับคนที่ทำงานให้หกปราชญ์ ทั้งยังมีนโยบายซื้อในจำนวนจำกัดด้วย
เช่นเดียวกัน ถ้านำสิ่งนี้ไปขายที่พิภพใหญ่ก็จะสะดุดตาเกินไป ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องแบบนี้ใส่ตัว