พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 918
ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ก่อนที่เหมียวอี้จะออกไป มู่ฝานจวินก็พูดเสริมอีกว่า “ข้าไม่ตักตวงผลประโยชน์จากเจ้าเฉยๆ เหรอ หลังจากส่งส่วยปีนี้ข้ามีเรื่องตื่นเต้นประหลาดใจจะบอกเจ้า ตอนส่งส่วยอย่าลืมพาอวิ๋นจือชิวมาด้วย”
เหมียวอี้งงทันที ตอนที่เดินออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้าก็ยังครุ่นคิด นางป้าคนนี้คิดจะทำอะไร? มีเรื่องตื่นเต้นประหลาดใจจะบอกข้า? เรื่องตื่นเต้นประหลาดใจอะไร?
เมื่อออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้า ก็บังเอิญเจอกับคนที่ไม่อยากเจอ อันหรูอวี้เหมือนกำลังรอเขาอยู่ด้านนอก หลังจากเดินเข้ามาใกล้ก็ถามอย่างไม่เป็นธรรมชาติว่า “อาการบาดเจ็บเจ้าไม่เป็นไรมากใช่มั้ย?”
แมวร่ำไห้แก่หนู แสร้งทำเมตาสงสาร! เหมียวอี้พูดดูถูกในใจ แล้วกุมหมัดคารวะ “ขอบคุณที่คุณชายรองสนใจ!” ในคำพูดซ่อนอารมณ์ถากถาง
อันหรูอวี้หมั่นไส้จนคันฟันทันที ไม่รู้ว่าอาจารย์บอกเรื่องนั้นกับเจ้าบ้านี่หรือยัง ถ้าบอกแล้วแต่ยังกล้าพูดกับนางแบบนี้ ก็ถือว่าทำเกินไปแล้ว
แต่ตอนนี้นางก็โกรธไม่ลง จากนั้นก็ดีดแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่เขา แล้วหันตัวลอยละลิ่วออกไป
เหมียวอี้มองของที่อยู่ในแหวนเก็บสมบัติ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นสมุนไพรเซียนซิงหัวหนึ่งต้น เขางุนงงนิดหน่อย นี่นางให้เขามารักษาตัวเองเหรอ?
คิดว่าใช้สมุนไพรเซียนซิงหัวต้นเดียวก็จะจบเรื่องได้แล้วเหรอ? รอข้าก่อนเถอะ ถ้ามีโอกาสก็คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร! เหมียวอี้ยิ้มเย้ยในใจ แต่เขาไม่กลัวว่าจะมีของสิ่งนี้เยอะเกินไป ถ้าไม่รับไว้ก็เสียของ จึงเก็บไว้เสียเลย
ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า มู่ฝานจวินกำลังเล่นดาบยาวสีม่วง อารมณ์ดีใช้ได้เลย
ที่พิภพเล็ก ของวิเศษระดับสูงสุดก็คือของวิเศษขั้นสี่ คนที่วรยุทธ์สูงถึงระดับอย่างพวกเขา ของวิเศษขั้นสี่ทั่วไปแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกเขาเลย หกปราชญ์ไม่สามารถหาของวิเศษที่เหมาะมือเจอได้อีกแล้ว ส่วนใหญ่สู้กันโดยใช้มือเปล่า ถึงแม้ดาบยาวเล่มนี้จะเป็นของวิเศษขั้นสี่ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของวิเศษขั้นสี่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่ใช้ทำ หรือจะเป็นแสงสีฟ้าที่อยู่บนตัวดาบ เมื่อมีของวิเศษชิ้นนี้ก็เหมือนกับเสือติดปีก ไม่อย่างนั้นปราชญ์เซียนผู้สง่าผ่าเผยอย่างนางคงไม่ถึงขั้นใช้อำนาจแย่งของวิเศษของลูกน้องตัวเองหรอก
“อวิ๋นอ้าวเทียน คอยดูเถอะว่าข้าจะทำลายความโอหังอวดดีของเจ้าอย่างไร…” มู่ฝานจวินลูบดาบสีม่วงพลางพึมพำ
ท่ามกลางภูเขาที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง ชายชุดดำที่ปิดบังใบหน้าโผล่ออกมาจากป่าภูเขา หลังจากมองสำรวจรอบๆ แล้ว ก็คว้ากระเป๋าสัตว์ออกมาใบหนึ่ง แล้วเรียกคนออกมาโดยตรง
เยารั่วเซียนที่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้งส่ายหน้า พอเงยหน้าเห็นชายปิดบังใบหน้าก็ตะลึงงัน ถามอย่างตกใจนิดหน่อยว่า “เจ้าเป็นใคร?”
ชายที่ปิดบังใบหน้าตอบด้วยเสียงแหบพร่า “ข้าเป็นใครก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือเจ้าต้องรีบออกจากที่นี่ เหมียวอี้ฝากให้ข้ามาบอกเจ้า ว่าให้ไปซ่อนตัวที่อู่ต่อเรือ บอกว่าเจ้ารู้ว่าอยู่ที่ไหน ระหว่างทางอย่าลืมปิดบังใบหน้าที่แท้จริง ถึงตอนนั้นเขาจะไปหาเจ้าที่อู่ต่อเรือ” พูดจบก็หันตัวเดินจากไป
“เหมียวอี้อยู่ที่ไหน?”เยารั่วเซียนตะโกนถาม
“หุบปาก!” ชายที่ปิดบังใบหน้าพลันหันตัวมา “ตรงนี้ห่างจากแดนโพ้นสวรรค์ไม่ไกล ตะโกนดังขนาดนี้อยากจะรนหาที่ตายรึไง? เพื่อที่จะช่วยเหลือเจ้าในครั้งนี้ เหมียวอี้แทบเอาชีวิตไม่รอดครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเจ้าไปรนหาที่ตายถึงที่อีก ก็ไม่มีใครช่วยเจ้าได้แล้ว รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” พูดจบก็แวบหายไป
เยารั่วเซียนยืนเงียบอยู่ที่เดิมนานมาก สุดท้ายก็เดินออกไปอย่างโดดเดี่ยว
หลังจากเขาไปแล้ว ชายที่ปิดหน้าก็ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง มองไปยังทิศทางที่เยารั่วเซียนหายไป แล้วก็ถอดหน้ากากของตัวเองออกมา เผยใบหน้าของฝูชิงประมุขถิ่นทิศตะวันตก
“เพื่อที่จะช่วยสหาย เจ้าเด็กนั่นยอมเสี่ยงอันตรายโดยไม่พูดอะไรสักคำ…” ฝูชิงทอดถอนใจเบาๆ จากนั้นก็รีบถอดชุดคลุมสีดำ และหายตัวไปในป่าภูเขาอย่างรวดเร็ว…
“พี่ใหญ่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
เหมียวอี้เพิ่งกลับมาถึงที่พักของเยว่เหยา เยว่เหยาก็ดึงตัวเขามาสอบถามทันที
“ไม่เป็นอะไร! ไม่เป็นไร บาดเจ็บนิดหน่อย ไม่นานก็ฟื้นตัวแล้ว” เหมียวอี้ตอบอย่างร่าเริง
“เจ้าตามข้ามาหน่อย!” เทพธิดาหงเฉินเดินออกมาจากด้านข้าง สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร พูดทิ้งท้ายแล้วหันตัวเดินลากกระโปรงนำไปทันที
เหมียวอี้ยิ้มรับ แล้วเดินตามไปทันที
เยว่เหยารีบก้าวเข้ามา แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “ศิษย์พี่หญิง พวกท่านสองคนทำลับๆ ล่อๆ อะไรกัน? คงไม่ได้แอบคบกันจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”
ยังคงเป็นห้องสมาธิห้องนั้น เทพธิดาหงเฉินปล่อยให้เหมียวอี้เข้าไป แต่กลับขวางเยว่เหยาเอาไว้ ประตูหินที่ปิดสนิทกันเยว่เหยาไว้ด้านนอก ทำให้นางกระทืบเท้าโวยวายอย่างหงุดหงิดอีกครั้ง
ขณะที่มองเทพธิดาหงเฉินผู้งดงามดุจพระจันทร์ประชิดเข้ามาพร้อมแววตาเย็นเยียบ เหมียวอี้ก็ยิ้มบางๆ พลางถามว่า “เทพธิดา เหตุใดจึงมองข้าเช่นนี้ คงไม่ได้ชอบข้าจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”
“อย่ามาแกล้งโง่หน่อยเลย เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ!” หงเฉินกล่าว
“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?” เหมียวอี้ถาม
หงเฉินกล่าวพร้อมแววตาที่แฝงความดุร้าย “เจ้าอย่ามาหลอกข้าเหมือนคนโง่! เจ้าไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่านจื่อหยาง!”
“แล้วเกี่ยวอะไรกันล่ะ! เชื่อใจข้าเถอะ ข้าไม่ได้มีเจตนาชั่วร้ายแน่นอน ที่ข้าทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีเยว่เหยาจริงๆ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เยว่เหยาก็คงไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขเหมือนกัน” เหมียวอี้กล่าว
หงเฉินเถียงกลับว่า “เหลวไหลทั้งนั้น! ท่านจื่อหยางกับเยว่เหยาเกี่ยวอะไรกัน? เหมียวอี้ เจ้าทำแบบนี้เพราะมีเจตนาอะไรกันแน่ ถ้าท่านจื่อหยางตกอยู่ในมือปราชญ์อีกห้าคน ก็ไม่ใช่เรื่องดีกับแดนโพ้นสวรรค์แน่นอน ข้าจำที่เจ้าถามเยว่เหยาก่อนหน้านี้ได้ ว่าถ้าเจ้ากับอาจารย์มีเรื่องขัดแย้งกัน เยว่เหยาจะยืนอยู่ฝ่ายใคร พอมาคิดดูตอนนี้ อย่าบอกนะว่าเจ้ามีเจตนาน่าอับอายอะไรจริงๆ ?”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว” เหมียวอี้กล่าว
“ถ้าวันนี้เจ้าไม่พูดความจริง ข้าจะไปขอให้อาจารย์ลงโทษเจ้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปบอกความจริง!” หงเฉินบทจะไปก็ไปเลย หันตัวเตรียมจะไปทันที
เหมียวอี้คว้าแขนนางเอาไว้ แล้วดึงนางกลับมา “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ! เจ้าไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้หรอก บอกไปแล้วจะเกิดผลดีอะไรกับเจ้าเหรอ?”
“เจ้าทำแบบนี้ขู่ข้าไม่ได้หรอก!” หงเฉินมองแขนของตัวเองที่โดนเขาดึงไว้ แล้วดิ้นรนพร้อมสั่งว่า “ปล่อยข้า!”
เหมียวอี้จับไว้ไม่ปล่อย “หงเฉิน เจ้าฟังข้านะ ต่อให้ข้าจะทำร้ายใคร แต่ก็ไม่ทำร้ายเยว่เหยาหรอก ข้าจะบอกความจริงกับเจ้าก็ได้ ท่านจื่อหยางเป็นสหายของข้า เจ้าน่าจะเข้าใจนะ ว่าถ้าจื่อหยางตกอยู่ในมือหกปราชญ์ ก็จะต้องตายสถานเดียว ข้ามองดูเขาตายไปเฉยๆ ไม่ได้หรอก ข้ารับประกันกับเจ้าเลย ว่าต่อไปนี้ท่านจื่อหยางจะปิดบังชื่อแซ่ที่แท้จริง จะไม่เข้าไปยุ่งกับบุญคุณความแค้นในพิภพเล็กอีก… แล้วอีกอย่าง ถ้าอาจารย์เจ้าทำโทษข้า คนที่ทุกข์ใจที่สุดก็ยังเป็นเยว่เหยาอยู่ดี”
“คนอย่างเจ้าน่ะทำอะไรไม่สนวิธีการอยู่แล้ว เจ้าหลอกข้าไปแล้วรอบหนึ่ง ยังจะให้ข้าเชื่อเจ้าอีกได้ยังไง?” หงเฉินกล่าวอย่างแค้นใจ
“ไม่สนวิธีการเหรอ?” เหมียวอี้ถามเหน็บแนม แล้วกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “ที่ก่อนหน้านี้ข้าบอกให้เยว่เหยาไปกับข้า ก็เพราะอะไรล่ะ? ขอเพียงเยว่เหยาตอบตกลงว่าจะไปกับข้า ข้าก็สามารถพาท่านจื่อหยางหนีไปได้โดยตรง เจ้าเองก็รู้เรื่องความสัมนพันธ์ระหว่างข้ากับแดนมาร ข้าไปขอพึ่งพาที่แดนมารได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่ใช่เพื่อเยว่เหยา เจ้าคิดว่าข้าจะทำไปทำไมล่ะ คิดว่าข้ากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ ก็เลยเล่นละครให้ตัวเองบาดเจ็บสาหัสงั้นเหรอ? เจ้าคิดว่าข้าเลือดไหลแล้วไม่ต้องใช้เงินหรือไง เจ้าคิดว่าข้าเป็นท่อนไม้ที่เจ็บไม่เป็นเหรอ? ข้าทำได้ทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการก็เพื่อใครล่ะ? ถ้าข้าอยู่ที่นี่ก็มีอันตรายถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ ถ้ามัวแต่เลือกวิธีการที่ถูกต้อง อาจารย์เจ้าจะปล่อยข้าไปเหรอ หรือว่าเจ้ามีความสามารถมากพอที่จะช่วยข้า? ข้าแค่อยากจะมีชีวิตรอดต่อไปโดยไม่ทำร้ายเยว่เหยา ข้าทำอะไรผิด?
หงเฉินสองจิตสองใจ แต่สุดท้ายก็เลิกกัดฟัน แล้วจ้องเขาพร้อมเตือนว่า “เหมียวอี้ เห็นแก่หน้าเยว่เหยา ข้าจะเชื่อเจ้าอีกสักครั้ง! ปล่อยข้า!”
“ข้าจะถือว่าเจ้ารับปากแล้ว!” เหมียวอี้คลายมือปล่อยนาง
หงเฉินเอามือลูบแขนตัวเองที่โดนบีบจนรู้สึกเจ็บนิดหน่อย ขณะที่มองดูวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นก้าของเหมียวอี้ที่ค่อยๆ จางไป นางก็รู้สึกสับสนมาก ในปีนั้นเป็นแค่หนุ่มน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้ ตอนนี้วรยุทธ์สูงกว่านางเยอะมากแล้ว พอลงมือขึ้นมาก็ทำให้นางขยับตัวไม่ได้เลย
นางหันตัวไปและโบกแขนเสื้อเพื่อเปิดประตูหิน เยว่เหยาที่เฝ้าอยู่ข้างนอกกำลังยืนกอดอก ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัยใคร่รู้…
หลังจากนั้นเกือบครึ่งวัน คนที่ควรจะมาก็มาถึงแล้ว ปราชญ์พุทธะฉางเหลยมาถึงก่อน
สาเหตุเพราะระยะทาง เขามาถึงก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เดิมทีทั้งหกแดนก็ตั้งอยู่บนพื้นที่รูปวงพระจันทร์เสี้ยวอยู่แล้ว แดนพุทธะ แดนเซียนกับแดนอู๋เลี่ยงครอบครองพื้นที่วงพระจันทร์เสี้ยว ส่วนแดนมาร แดนผีและแดนปีศาจครองแผ่นดินอีกส่วนหนึ่ง ระยะทางใกล้กันก็ย่อมมาถึงก่อน
จากนั้นปราชญ์ที่เหลือก็ทยอยกันมาถึง
เหมียวอี้เพิ่งเคยเห็นปราชญ์พุทธะฉางเหลยเป็นครั้งแรก เขาสวมจีวรสีทองอร่ามทั้งตัว อ้วนเตี้ยผิวขาว หน้าอ้วนหูใหญ่ ผิวหน้าสีแดงเปล่งปลั่ง บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเมตตากรุณาอยู่ตลอด และตั้งฝ่ามือข้างเดียวไว้ที่หน้าอกตลอดเช่นกัน
ตอนที่ถูกเชิญเข้าตำหนักเก้าชั้นฟ้า สายตาของเหมียวอี้ก็ไปหยุดอยู่บนตัวเขาแวบหนึ่ง ขนาดฝาไห่ยังยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ต้องบอกก็รู้ถึงฐานะของเขา
ในตำหนักเก้าชั้นฟ้ามีเก้าอี้เพิ่มมาห้าตัวแล้ว มู่ฝานจวินยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์ของตัวเอง ส่วนปราชญ์อีกห้าคนนั่งคนละตำแหน่ง
จีเต๋อไห่ก็มาแล้วเช่นกัน ยืนอยู่ข้างหลังชายชราที่ไว้เครายาวและหน้านิ่งเหมือนรูปแกะสลัก ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ คนคนนี้ดูอายุมากที่สุด ที่ศีรษะสวมมงกุฎทอง สวมชุดคลุมยาวสีเงินทั้งตัว นั่งอย่างวางมาดสง่าผ่าเผย ก่อนเหมียวอี้จะเข้ามา คนคนนี้หลับตาอยู่ตลอด แต่พอเหมียวอี้เข้ามา จีเต๋อไห่ก็โน้มตัวกระซิบกระซาบข้างหู คนคนนั้นเอียงหน้าถลึงตามองมาทันที ดวงตาฉายแววดุดัน
ไม่ค้องให้ใครแนะนำเลย คนที่สามารถทำให้จีเต๋อไห่อยู่ข้างหลังได้ จะต้องเป็นปราชญ์ปีศาจจีฮวนแน่นอน ชื่อของเขาฟังดูเหมือนมีความสุข แล้วคนกลับหน้าตาแข็งทื่อ
ยังมีอีกท่านที่ไม่รู้จัก เขาสวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว บนใบหน้าใส่หน้ากากผีสีขาว มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง นั่งปล่อยกลิ่นอายที่เย็นเยียบพิศวงอยู่อย่างนั้น ดูจากอวี้หนูเจียวที่ยืนอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย ก็ตัดสินได้แล้วว่าคนคนนี้คือปราชญ์ผีซือถูเซี่ยว
ปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินกำลังมองมาด้วยสายตาเคียดแค้นอยากจะฉีกเนื้อ เหมียวอี้มองข้ามไปเสียเลย เดินไปกุมหมัดคารวะปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนก่อน อวิ๋นอ้าวเทียนพยักหน้าเบาๆ อวิ๋นเป้าที่อยู๋ข้างหลังก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้เหมียวอี้เล็กน้อย
“คารวะท่านปราชญ์!” เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาคารวะเฟิงเป่ยเฉินอย่างระวังตัว ไม่ระวังคงไม่ได้ เพราะเจ้าจมูกวัวนี่อาจจะลอบโจมตี
“เรียกเจ้ามาเพื่ออธิบายเรื่องราวให้ชัดเจน” มู่ฝานจวินโบกมือบอกใบ้ให้เจ้าไปยืนอยู่ใต้บัลลังก์ด้านข้าง
เฟิงเป่ยเฉินจ้องเหมียวอี้พลางแสยะยิ้มไม่หยุด “ไอ้จัญไร ไอ้สุนัขใจกล้า บังอาจเล่นสกปรกกับลูกศิษย์ข้า ทั้งยังกล้าใส่ร้ายว่าข้าลอบโจมตีเจ้าอีก!”
“ไม่รู้ว่าไอ้หลานคนไหนมันลอบโจมตีข้าเหมือนกันนะ!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ
เฟิงเป่ยเฉินเลิกคิ้ว “เจ้าด่าใคร? ลองพูดอีกรอบสิ!”
ก่อเรื่องจนลุกลามมาถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเขาอีกต่อไป “ใครลอบโจมตีข้า ข้าก็ด่าคนนั้นนั่นแหละ ถ้าเจ้าไม่ใช่ไอ้หลานที่มันลอบโจมตีข้า เจ้าจะเดือดร้อนอะไร? อย่าว่าแต่ด่าคำเดียวเลย ด่าอีกสิบคำข้าก็จะด่า ไม่รู้ว่าไอ้หลานเวรที่ไหนมันลอบโจมตีข้า คนที่ลอบโจมตีข้ามันเป็นไอ้หลานเวรตะไล ตัดขาดลูกหลาน…”
เฟิงเป่ยเฉินพลันลุกขึ้น ใกล้จะระเบิดอารมณ์เต็มที ไม่ได้โดยยั่วโมโหแบบนี้มาหลายปีแล้ว
อวิ๋นอ้าวเทียนที่นั่งพิงเก้าอี้พลันกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าจมูกวัว เจ้าคิดจะทำอะไร จะฆ่าปิดปากกันเชียวเหรอ? เห็นพวกเรานั่งอยู่เฉยๆ รึไง? ถ้าเจ้าไม่ได้ลอบโจมตีเขา เจ้าจะเดือดร้อนอะไรล่ะ? ด่าไปเรื่อยเปื่อยก็ไม่โดนตัวเจ้าหรอก เห็นเจ้าเดือดร้อนแบบนี้ เจ้ายังกล้าบอกอีกเหรอว่าไม่ได้แย่งตัวท่านจื่อหยางไป?” อวิ๋นอ้าวเทียนจ้องเขาด้วยแววตาเย็นเยียบ
ตอนนี้สายตาของคนที่เหลือก็จ้องอยู่ที่ตัวเฟิงเป่ยเฉินเหมือนกัน ดวงตาฉายแววสอบสวนสำรวจอย่างชัดเจน