พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 926
ผ่านไปครู่เดียว ประมุขตำหนักสายต่างๆ ก็เหมือนจะสังเกตเห็นว่าหยางชิ่งไม่ค่อยพอใจกับการประทานงานสมรสนี้ ทุกคนจึงส่งสายตาให้กันเงียบๆ แล้วแยกย้าย เหลือยืนอยู่ตรงนั้นเพียงไม่กี่คน
เหยียนซิวกับหยางเจาชิงมองไปยังเหมียวอี้ที่ยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น ทั้งสองไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เพราะไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน รู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน
หยางชิ่งที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นยังคงกำหมัดแน่น สายตาย้ายจากตัวเหมียวอี้ไปยังฉินเวยเวยที่กำลังก้มหน้ายืนนิ่งไม่ขยับไปไหน เขาไม่พูดอะไรสักคำ หันหน้าเดินออกจากตำหนักใหญ่ไปเพียงลำพัง จังหวะการเดินยังคงสุขุมมั่นคง
ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็เดินออกจากตำหนักใหญ่ นางชำเลืองมองเหมียวอี้นิดหน่อย แล้วเดินไปจูงมือฉินเวยเวย “น้องสาว ไปกันเถอะ!”
“หยุดก่อน!” เหมียวอี้พลันเอ่ยเรียก ถลันตัวมาขวางตรงหน้านาง แล้วถามด้วยสีหน้าดุร้ายว่า “อวิ๋นจือชิว นี่เป็นฝีมือของเจ้าใช่มั้ย?”
“ข้าจะทำอะไรได้?” อวิ๋นจือชิวถามกลับ
“โอวหยางหลางกับโอวหยางหวน มันเรื่องอะไรกันแน่? ข้ายินดีแต่งงานกับฉินเวยเวย แต่ไม่ได้บอกว่าจะแต่งกับพวกนางสองคน!” เหมียวอี้ตะคอกอย่างโมโห
“เจ้าเป็นคนก่อเรื่องนี้เอง ยังมาถามข้าอีกเหรอว่าเรื่องอะไร?” อวิ๋นจือชิวถามเสียงเรียบ
เหมียวอี้จึงถามด้วยสีหน้าแค้นเคือง “เจ้ากล้าบอกมั้ยว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า? อวิ๋นจือชิว ข้าจะบอกให้รู้เอาไว้ ความอดทนของข้าก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน เรื่องแบบนี้เจ้าควรจะบอกข้าก่อนรึเปล่า เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร?”
อวิ๋นจือชิวจึงแสยะยิ้ม “เจ้ารู้สึกว่าไม่เป็นธรรมเหรอ? คนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมคือฉินเวยเวยต่างหาก ส่วนคนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมที่สุดก็คือข้า! เจ้าทำเรื่องสกปรกแบบนั้นมาแล้วยังโทษข้าอีกเหรอ? เจ้ารู้มั้ยว่าตอนที่มู่ฝานจวินกดดันข้า ข้ารู้สึกอย่างไร? เรื่องนี้เจ้าจะปฏิเสธก็ได้ เจ้าสามารถฝ่าฝืนคำสั่งได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสามของเจ้าอยู่ในมืออีกฝ่าย เจ้าจะได้รับความไม่เป็นธรรมแบบนี้เหรอ แค่หนีไปก็สิ้นเรื่องแล้ว หนิวเอ้อร์ มาขึ้นเสียงโวยวายใส่หน้าเมียแล้วถือว่าเก่งนักเหรอ ถ้าเก่งนักก็ฝ่าฝืนคำสั่งไปเลยสิ ขอแค่ไม่สนใจความเป็นความตายของเจ้าสาม ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน จะหนีไปกับเจ้าทันที ข้าไม่จำเป็นต้องตบปากตัวเองจนฟันร่วงแล้วกลืนลงท้องด้วย! เวยเวย เราไปกันเถอะ!” พูดจบก็จูงมือฉินเวยเวยออกไปด้วยกัน
เหมียวอี้ยืนกลุ้มใจอยู่ที่เดิม สีหน้าบูดบึ้งนิดหน่อย ใช่ว่าเขาจะไม่ชอบผู้หญิง เขาไม่รังเกียจด้วยว่าจะมีผู้หญิงเยอะ แต่รับไม่ได้กับการโดนกดดันแบบนี้ เวลามีคนบังคับเขาก็อยากจะขัดขืน ทว่าเจ้าสามกลายเป็นจุดอ่อนของเขาแล้ว ฝ่าฝืนคำสั่งเหรอ? ตอนนี้ไม่ใช่วิธีการที่ชาญฉลาดแน่นอน!
เหยียนซิว หยางเจาชิงไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน ไม่สะดวกจะเข้าใกล้ และไม่สะดวกจะพูดอะไรด้วย ได้แต่ยืนเป็นเพื่อนอยู่ไกลๆ…
เศร้าซึม! หยางชิ่งที่กลับมาถึงจวนผู้การใหญ่ ตอนนี้บรรยายได้แค่คำว่าเศร้าซึม เขานั่งบนเก้าอี้อย่างหงอยเหงาเศร้าซึม ดวงตาสองข้างไร้แวว ไร้เรี่ยวแรง!
ชิงเหมย ชิงจวี๋ไม่เคยเห็นเขาในสภาพแบบนี้มาก่อน นายท่านที่ไม่ว่าจะเผชิญเรื่องอะไรก็สามารถรับมือได้อย่างกระฉับกระเฉง ตอนนี้ราวกับพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง หญิงรับใช้ทั้งสองตกใจมาก ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่ทำให้เขาพ่ายแพ้ได้ขนาดนี้ ชิงเหมยถามอย่างกังวลว่า “นายท่าน เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ?”
ทั้งสองถามซักไซ้ไม่หยุดไปสักพัก หยางชิ่งถึงได้ตอบอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ห้ามไม่ไหวแล้ว ปราชญ์เซียนประทานงานสมรส…”
เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจนจบด้วยน้ำเสียงอ่อนเปลี้ย ทำให้ชิงเหมย ชิงจวี๋สบตากันอย่างพูดไม่ออก ตกตะลึงพรึงเพริดเหมือนกัน และเข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีสภาพเป็นแบบนี้ เพราะทั้งสองรู้ว่าลูกสาวคนนี้คือจุดอ่อนของเขา
แล้วก็ได้ยินหยางชิ่งพึมพำกับตัวเองอีกว่า “มู่ฝานจวินไม่ถูกกับอวิ๋นอ้างเทียนมาตลอด ตอนนี้มู่ฝานจวินให้อวิ๋นจือชิวทำงานในตำแหน่งสำคัญ จะต้องมีลับลมคมในแน่นอน ไม่รู้ว่าในอนาคตมู่ฝานจวินจะใช้ประโยชน์อะไรจากเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิว ทั้งสองมีอนาคตไม่แน่นอน เกรงว่าหายนะจะอยู่ไม่ไกล เรื่องที่เกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสูงแบบนี้ ข้าไม่สามารถต้านทานได้เลย ถ้าต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทำให้ตายอย่างอนาถ ข้าจะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวได้อย่างไร ข้าแอบวางแผนหาทางออกไว้แล้ว ไม่อยากจะลงหลุมฝังศพไปกับเขา เตรียมตัวจะถอยหากเกิดเรื่องไม่คาดคิด ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น หมดกัน! นางเด็กโง่นั่น ช่างโง่นัก! นางแต่งงานกับเหมียวอี้ ก็เท่ากับถูกมัดให้อยู่บนรถสงครามของเหมียวอี้แล้ว ต้องบุกน้ำลุยไฟไปกับพวกเขา!”
ชิงเหมยถอนหายใจแล้วถามว่า “ทำไมนายท่านไม่บอกคุณหนูตั้งแต่แรกเจ้าคะ?”
หยางชิ่งอธิบายอย่างเศร้าหมอง “คนเป็นพ่อเข้าใจลูกสาวตัวเองดีที่สุด เด็กนั่นเห็นปกติเงียบๆ ไม่เถียงไม่พูด แต่ที่จริงแล้วดื้อด้านมาก สมองทื่อด้วย ใช่ว่าพวกเจ้าจะดูไม่ออก นางไม่เคยตัดเหมียวอี้ขาดเลย ถ้านางรู้ว่าข้าแอบวางแผนทรยศเหมียวอี้ เกรงว่าความลับคงรั่วไหล เหมียวอี้ไม่ใช่พวกมีเมตตาปรานี เขาคอยระวังข้ามาตลอด เราทั้งคู่ต่างก็กำลังใช้ประโยชน์กัน เป็นเรื่องที่รู้ดีอยู่แก่ใจทั้งสองฝ่าย ถ้าข่าวเล็ดรอดไปเขาจะต้องเล่นงานข้าแน่นอน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ข้าจะไม่ระมัดระวังได้อย่างไร จะไปบอกนางเด็กโง่นั่นได้อย่างไร!”
หญิงรับใช้ทั้งสองถอนหายใจเบาๆ สถานการณ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ถึงแม้จะดูไม่มั่นคง แต่ก็มีอำนาจเยอะมาก มีเส้นสายกับสำนักต่างๆ ของสายมะโรง ลำพังแค่ความสัมพันธ์กับประมุขถิ่นทั่งสี่ของทะเลดาวนักษัตรก็เห็นๆ กันอยู่ หลังจากแต่งงานกับอวิ๋นจือชิวก็มีความสัมพันธ์กับแดนมารอย่างสมเหตุสมผล ได้ยินว่ามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับไต้ซือศีลเจ็ดของแดนพุทธะด้วย ตอนนี้ก็จะแต่งงานกับลูกสาวของคุณชายแดนโพ้นสวรรค์อีก อาศัยแค่กำลังของหยางชิ่ง ก็ไม่มีทางสู้กับเหมียวอี้ได้เลย
สรุปว่าอยู่ที่แดนเซียนไม่มีทางสู้กับเหมียวอี้ได้เลย มิหนำซ้ำหากขัดคำสั่งก็ผ่านด่านของแดนโพ้นสวรรค์ไปไม่ได้ วิธีการเดียวก็คือพาฉินเวยเวยหนีออกจากแดนเซียน แต่พูดน่ะพูดง่าย จะหนีพ้นหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ต่อให้หนีพ้นไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถปะปนอยู่ที่ทะเลดาวนักษัตร ทะเลทรายม่านเมฆา แดนมาร แดนอู๋เลี่ยงได้เหมือนเหมียวอี้ มีเรื่องมากมายที่คิดง่ายพูดง่าย แต่นั่นมันสำหรับคนอื่น พอตัวเองจะทำบ้างกลับไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เจ้าจะเอาชีวิตจากไหนมากมายไปเดิมพันล่ะ? ยิ่งแบกภาระครอบครัวด้วยก็ยิ่งเดิมพันไม่ไหว ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเล่นแผนนี้เก่งหมือนกันหมด มิหนำซ้ำโลกภายนอกจะมีใครรู้จักว่าหยางชิ่งเป็นใคร อย่างมากก็รู้แค่ว่าเจ้าเป็นลูกน้องของเหมียวอี้
เมื่อเห็นหยางชิ่งทำท่าทางแบบนี้ หญิงรับใช้ทั้งสองก็รู้แล้วว่าไม่มีทางให้ถอยกลับ ทำได้เพียงโดนควบคุม ไม่อย่างนั้นคงไม่เศร้าซึมไร้ชีวิตชีวาอย่างนี้
หนึ่งคนนั่ง สองคนยืน ทั้งสามเงียบนานมาก แล้วจู่ๆ หยางชิ่งก็ลุกขึ้นยืน
หญิงรับใช้ทั้งสองค่อนข้างแปลกใจ พบว่าใช้เวลาแค่ชั่วพริบตาเดียวหยางชิ่งก็เหมือนจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เหมือนฟื้นตัวจากการโดนโจมตีที่ยากจะรับไหว เดินก้าวยาวออกไปข้างนอกแล้ว
“นายท่าน จะไปไหนเจ้าคะ?” หญิงรับใช้ทั้งสองถามซักไซ้
“ไปพบประมุขปราสาท!” หยางชิ่งตอบเสียงต่ำ
“นายท่าน ไตร่ตรองดูก่อนเถอะ!” ทั้งสองรีบถลันตัวมาขวางเขาไว้ กลัวว่าเขาจะไปสู้ตายกับประมุขปราสาท ฝ่ายนั้นมีนักพรตบงกชม่วงเป็นโขยง อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นลูกน้องคนสนิทของประมุขปราสาทด้วย สามารถกำจัดเขาได้ทุกเมื่อ ถ้าดึงดันจะใช้กำลังปะทะก็เท่ากับเอาไข่ไปกระทบหิน
เมื่อหยางชิ่งเห็นท่าทางหญิงรับใช้ทั้งสองเป็นแบบนี้ ก็รู้ว่าพวกนางเข้าใจผิด จึงยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “ข้าจะไปยอมจำนนต่อประมุขปราสาท”
“…” หญิงรับใช้ทั้งสองจ้องมองอย่างพูดอะไรไม่ออก สงสัยว่าตัวเองจะฟังผิดไป
หยางชิ่งกลับค่อยๆ หันมองไปด้านนอก พลางกล่าวอย่าเนิบช้า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว สู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะแย่ยิ่งกว่าเดิม ควรจะไปแสดงจิตใจที่จงรักภักดีต่อประมุขปราสาท! ข้าต้องรักษาตำแหน่งผู้การใหญ่ของตัวเองเอาไว้ ประมุขปราสาทกำลังจะเลื่อนขั้นเป็นท่านทูตแล้ว ถ้าข้าได้เลื่อนขั้นเป็นผู้การใหญ่ของสายมะโรง… มีแค่การกุมอำนาจกำลังพลอยู่ในมือเท่านั้น ต้องให้เบื้องบนไว้วางใจข้าเท่านั้น นี่ต่างหากที่เป็นที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของเวยเวย ข้าไม่ยอมให้เวยเวยได้รับความไม่เป็นธรรมหรอก ไม่อย่างนั้นเวยเวยจะมีสิทธิ์ไปนั่งเสมอกับลูกสาวของคุณชายรองได้อย่างไร! ในเมื่อนางเด็กโง่นั่นตัดสินใจจะเดินทางนี้ พ่ออย่างข้าก็ไม่มีความสามารถอย่างอื่นแล้ว มีแต่ต้องช่วยเหลือประคับประคองนางอย่างสุดความสามารถ!” พูดจบก็เดินผ่ากลางหญิงรับใช้ทั้งสองไป เดินก้าวยาวออกไปแล้ว
ขณะที่มองเขาคล้อยหลังไป ชิงจวี๋ก็ถอนหายใจ “น่าสงสารจิตใจคนเป็นพ่อแม่ในโลกนี้ ต้องติดหนี้ลูกไปชั่วชีวิต! หลังจากมีคุณหนู นายท่านก็ไม่กล้าทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอีกเลย!”
ชิงเหมยก็ถอนหายใจเช่นกัน “บุพเพสันนิวาสชั่วข้ามคืนในปีนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าฮูหยินท่านนั้นเป็นใครกันแน่ ถ้ารู้ว่าลูกสาวตัวเองจะแต่งงานแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร!”
เหมียวอี้หลบอยู่ลำพังในห้องสมาธิ เขาไม่ได้ฝึกตน แต่นอนอยู่บนเตียงเพียงลำพัง ใช้สองมือหนุนศีรษะ ยกขาเกยไขว่ห้าง นอนมองเพดานตาปริบๆ มองไม่ออกว่าสีหน้ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน และไม่รู้ด้วยว่ากำลังคิดอะไรอยู่
อวิ๋นจือชิวที่กำลังรับแขกอยู่ในห้องโถงกลับยิ้มหน้าระรื่น หยางชิ่งได้แสดงความคิดที่อยู่ในใจต่อหน้านางแล้ว แสดงท่าทีเร็วขนาดนี้ ช่างเป็นคนที่อ่านสถานการณ์ออกอย่างที่คาดไว้ บรรยายได้เพียงว่า ‘ผู้รู้สถานการณ์ คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ’
หลังจากฟังหยางชิ่งแสดงท่าทีจบ อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ผู้การหยางไม่ต้องมากพิธี จากนี้ไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว วันหลังเมื่อข้าได้คุมยอดเขาหยกนครหลวง ก็ต้องอาศัยอำนาจอิทธิพลมากมาย ตำแหน่งผู้การใหญ่ของสายมะโรงเป็นของท่านแน่นอน หยางชิ่ง”
“ขอบคุณที่ท่านทูตเอ็นดู!” หยางชิ่งคำนับขอบคุณด้วยความเคารพ
“ครอบครัวเดียวกันพูดอะไรอย่างนั้น ในเมื่อผู้การหยางคิดได้แล้ว ก็ไปชี้แนะน้องเวยเวยสักหน่อย ถ้านางแต่งงานแล้วไม่ได้รับคำอวยพรจากท่าน เกรงว่าทั้งชีวิตนี้คงจะไม่มีความสุข ตอนนี้นางอยู่ที่สวนดอกไม้ด้านหลัง อารมณ์หม่นหมองมาก นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่ควรจะเกิดยามมีเรื่องมงคลมาเยือน!”
“ขอรับ!” หยางชิ่งเอ่ยรับ
อวิ๋นจือชิวหันมองข้างๆ “เสวี่ยเอ๋อร์ พาผู้การใหญ่ไปพบน้องเวยเวยไป”
หยางชิ่งกล่าวอำลา เสวี่ยเอ๋อร์นำทางตามคำสั่ง ถึงอย่างไรที่ตำหนักหลังก็มีผู้หญิงอยู่เยอะ ไม่ใช่ที่ที่ผู้ชายภายนอกจะรุกล้ำเข้าไปได้ตามอำเภอใจ
ส่วนอวิ๋นจือชิวเก็บรอยยิ้มแล้วถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้นเดินไปหาเหมียวอี้ พอมาถึงห้องสมาธิฝึกตนก็ผลักประตูออก แล้วเดินตรงไปนั่งลงข้างเตียงศิลา นางจ้องมองเหมียวอี้ที่นิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน แล้วยื่นมือไปลูบใบหน้าของเขา พร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ยังโกรธข้าอยู่อีกเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “เปล่านี่! เจ้าพูดถูก ที่จริงคนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมก็คือเจ้า ข้ามันไร้ประโยชน์ ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่ต้องทนรับความไม่เป็นธรรมแบบนี้หรอก”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ “หนิวเอ้อร์ ตราบใดที่เจ้าไม่นอกใจข้า ข้าก็ยินดีรับความไม่เป็นธรรมจากเจ้าทุกอย่าง เจ้าคงไม่ได้แค้นข้าจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ย้ายสายตาจากเพดานไปอยู่บนหน้านาง แล้วยิ้มบางๆ “มีอะไรน่าแค้นล่ะ เป็นสิ่งที่เฝ้าปรารถนาน่ะสิไม่ว่า มีผู้หญิงเพิ่มมารวดเดียวสามคน ผู้ชายคนอื่นคงอิจฉาไม่ทันแล้ว ข้าว่าต่อให้เป็นแค่ความฝันก็ควรจะแอบดีใจ”
อวิ๋นจือชิวเอนกายลงช้าๆ นอนทับบนตัวเขา ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้ารู้ว่าที่จริงแล้วเจ้าไม่มีความสุข ที่เจ้าบอกว่าชอบให้มีผู้หญิงเยอะๆ ข้าเชื่อ ข้าเห็นมาจากตัวพวกผู้ชายของตระกูลอวิ๋น มีผู้ชายคนไหนบ้างที่ไม่ชอบให้ข้างกายมีผู้หญิงสวยเยอะๆ แต่นิสัยเจ้าไม่ชอบโดนบีบบังคับ ถ้าบังคับให้เจ้ารับไว้ เจ้าจะต้องไม่ชอบแน่นอน! เจ้าลองเปลี่ยนมุมมองความคิดดูสิ ขนาดฮูหยินอย่างข้ายังไม่ถือสาเลย คิดเสียว่าเป็นวาสนาก็แล้วกัน ซ้ายขวามีสาวงามให้กอด ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องโดนบังคับ ผู้ชายเวลาจะทำการใหญ่ ทำไมจะทนรับความไม่เป็นธรรมเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้ ตอนที่เจ้าได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด เจ้าจะพบว่าความไม่เป็นธรรมเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”
เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้แผ่นหลังนาง “ระคายเคือง ต่อไปถ้าใส่ของเกะกะไว้บนหัวก็อย่ามานอนหมอบบนตัวข้านะ”
ในศาลาที่สวนดอกไม้ข้างหลัง หลังจากพ่อกับลูกสาวได้พบหน้ากัน ฉินเวยเวยก็เรียกได้ว่าร้องไห้อย่างตื้นตันใจ การได้รับความยินยอมและคำอวยพรจากหยางชิ่ง ทำให้เฉินเวยเวยปลื้มปีติยินดีมากจริงๆ
แต่หารู้ไม่ว่าหยางชิ่งนึกเสียใจทีหลัง ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ ในปีนั้นเขาควรจะตอบตกลงไปแล้ว แบบนั้นลูกสาวตัวเองคงไม่ตกต่ำถึงขั้นเป็นอนุภรรยาหรอก นางโดนบิดาอย่างเขาทำร้ายแล้วจริงๆ ในใจรู้สึกผิดจนยากจะอธิบายออกมาได้