พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 932
อีกด้านหนึ่ง หยางชิ่งเรียกลูกสาวที่กำลังเขินอายมาคุยด้วย
“เวยเวย เมื่อคืนเหมียวอี้ไม่ได้ทำให้เจ้าน้อยเนื้อต่ำใจเจ้าใช่มั้ย?” หยางชิ่งเอ่ยถามก่อน
เมื่อเอ่ยถามแบบนี้ ฉินเวยเวยก็หน้าแดงเหมือนก้นลิงทันที นางกระทืบเท้าเล็กน้อย พลางกล่าวอย่างขวยเขินว่า “ท่านพ่อคะ!”
หยางชิ่งชะงักไป เข้าใจทันทีว่านางเข้าใจความหมายผิด นึกว่าตนพูดถึงเรื่องบนเตียง ตนไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายขนาดนั้นหรอกมั้ง? เขารู้สึกเช่นกันว่าตัวเองถามได้ไม่ดี จึงรีบโบกมือพูดกลั้วหัวเราะว่า “ได้ๆๆ ไม่ถามแล้ว พ่อพูดผิดไป พ่อมีอีกเรื่องหนึ่งจะพูดกับเจ้า”
ตอนนี้ฉินเวยเวยถึงได้ใจเย็นลง แล้วกล่าวอย่างถ่อมตัวมีมารยาท “ลูกสาวจะตั้งใจฟังค่ะ”
หยางชิ่งชะงักอีครั้ง ดวงตาฉายแววสับสน พบว่าพอนางแต่งงานไป ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงทันที
หลังจากจัดระเบียบความคิดตัวเอง หยางชิ่งก็กล่าวอย่างลังเล “คืออย่างนี้นะ ก่อนหน้านี้พ่อไม่อยากให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม ตอนที่เลือกคฤหาสน์ให้เจ้า พ่อใช้ความพยายามไปพอสมควร พ่อเป็นผู้การใหญ่ของที่นี่ อดไม่ได้ที่จะใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้วรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ถ้าจะสนใจเรื่องหน้าตาศักดิ์ศรี ไม่สู้สนใจสิ่งที่อยู่ภายในดีกว่า ถ้าเจ้าจะครองทั้งศักดิ์ศรีหน้าตาทั้งหัวใจของเขา มันก็ไม่เกิดผลดีอะไรกับเจ้า ดังนั้นสิ่งที่พ่อจะบอกก็คือ อยากให้เจ้าปล่อยคฤหาสน์หลังที่ใหญ่และดีที่สุดไป ปล่อยให้พวกนางสองพี่น้องไปเสีย เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ฉินเวยเวยย่อมไม่คัดค้านเรื่องนี้อยู่แล้ว
ทว่าพอมาคุยกันอีกที อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงกลับไม่เห็นด้วย พวกเขารู้สถานการณ์ของครอบครัวตัวเองดี ไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองทำตัวโดดเด่นเกินไป
เมื่อคืนยังคิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่ลูกเขยเข้าห้องหอของใครก่อนอยู่เลย ตอนนี้กลับถ่อมตัวมีมารยาทแล้ว ใจคนยากจะคาดเดาจริงๆ
แต่ไม่ว่าอวิ๋นจือชิวหรือเหมียวอี้ก็ไม่อยากเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ ไม่อยากให้ดูเหมือนลำเอียงเข้าข้างใคร
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถ่อมตัวไม่ยอมรับไว้ แต่สุดท้ายอันหรูอวี้และโอวหยางกวงก็ตอบรับที่จะให้ลูกสาวอยู่ในคฤหาสน์ที่ใหญ่และดีที่สุด แต่กลับให้ลูกสาวทั้งสองเข้าไปอยู่ด้วยกัน โดยให้เหตุผลว่าอยู่คนเดียวแล้วว่างเปล่าอ้างว้าง ที่จริงพ่อแม่ไม่ได้อยู่ข้างกาย ไม่เหมือนหยางชิ่งที่ได้อยู่ข้างกายลูกสาว พวกเขาจึงอยากให้ลูกสาวทั้งสองดูแลซึ่งกันและกัน
ส่วนฉินเวยเวยก็ไม่ได้เข้าพักคนแรกสุด แต่เข้าพักช้ากว่าทั้งสองคนนิดหน่อย
พวกเขาคุยกันเรียบร้อยแล้ว แต่เหมียวอี้กลับเก้อเขินมาก ตอนนี้นับว่าเขาเข้าใจถึงความแตกต่างของการเขียนหนังสือเก่งกับการเขียนหนังสือแย่ สุดท้ายก็เป็นอวิ๋นจือชิวที่สะบัดพู่กันจุ่มน้ำหมึก ตั้งชื่อสองตำหนักนั้นด้วยตัวเอง ที่พักของโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนชื่อว่าตำนักคู่แฝด ที่พักของฉินเวยเวยชื่อว่าตำหนักอินทนิล เรื่องราวก็ได้ข้อสรุปตามนี้
หยางชิ่งสั่งให้คนนำตัวอักษรของท่านทูตไปทำป้ายแขวนไว้ทันที
จากนั้นเหมียวอี้ก็นำอนุภรรรยาทั้งสามไปส่งแขก หลังจากส่งแขกส่วนใหญ่ที่มาร่วมแสดงความยินดีกลับไปหมดแล้ว เหมียวอี้ก็เชิญโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนไปเดินเล่นที่สวนรุกขชาติด้วยกัน สองพี่น้องเผชิญหน้ากับเขาอย่างระมัดระวังตัว ย่อมไม่กล้าขัดคำสั่งอยู่แล้ว
ระหว่างที่เดิน พอเหมียวอี้ถามอะไรนิดหน่อย สองพี่น้องก็ตอบอย่างระมัดระวัง
หลังจากเดินมานั่งในศาลาของสวนรุกขชาติ เหมียวอี้ก็เอ่ยก่อนว่า “เมื่อคืนข้าขาดความยุติธรรมกับพวกเจ้าสองคนแล้ว”
สองพี่น้องย่อมส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นอะไร เหมียวอี้จึงอธิบายอีก “หลางหลาง หวนหวน ที่เมื่อคืนข้าไม่ได้ไปห้องของพวกเจ้า ก็เพราะข้ามีเหตุผล ที่จริงพวกเจ้าเองก็รู้ เรื่องเข้าห้องหอน่ะ พวกเราเคยทำกันมาตั้งนานแล้ว ใช่มั้ยล่ะ?”
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ สองพี่น้องก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีมาก จะพูดอะไรก็ไม่พูด ดันมาพูดเรื่องนี้เสียได้ รู้สึกอับอายจนเกินทน
เหมียวอี้ดันพูดเสียงดังต่อไป “ดังนั้นข้าก็เลยคิดมากหน่อย คิดว่าพวกเจ้ายอมให้เวยเวยสักครั้งคงไม่เป็นไร เมื่อคืนวานข้าจึงไปอยู่กับนางก่อน แน่นอนว่าคืนนี้ข้าจะไปอยู่กับพวกเจ้าที่ตำนักคู่แฝด แต่ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ด้วยกันแล้ว พวกเจ้าจะเข้าห้องหอพร้อมกันทีเดียวเลย หรือจะเข้าแบบทีละคนดีล่ะ?”
คำพูดนี้ช่างไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลยจริงๆ แต่ผู้หญิงมักตกหลุมพรางนี้ ผู้ชายไม่เลวผู้หญิงไม่รัก นี่คือคติพจน์ที่เป็นเรื่องจริง ผู้ชายซื่อสัตย์ทำให้ผู้หญิงชอบไม่ได้หรอก
สองพี่น้องอับอายจนสับสนเลอะเลือนไปหมด ทว่าปมในใจจากเมื่อคืนนี้กลับหายไปทันที ที่แท้ก็มีเหตุผลนี่เอง ดังนั้นจึงคิดว่าการที่เหมียวอี้ไปอยู่กับฉินเวยเวยก่อนเป็นเรื่องเหมาะสมแล้ว เพราะเหมียวอี้ยกเรื่องน่าอับอายที่ทะเลทรายม่านเมฆามาเป็นข้อแก้ตัว สองสาวรับมือไม่ไหวหรอก!
ฉิน ฉี ซู ฮว่า หญิงรับใช้ทั้งสี่มองหน้ากันเลิกลั่ก ในใจพึมพำว่าท่านเขยคนนี้ช่างไร้ยางอายจริงๆ
เหมียวอี้เองก็ไม่มีทางเลือก คิดไปคิดมาก็พบว่าอวิ๋นจือชิวพูดมีเหตุผล ถ้าตำหนักหลังไม่สงบ ในภายหลังก็จะเกิดปัญหาใหญ่โต แบบนี้จนจะออกไปข้างนอกอย่างสงบใจได้อย่างไร ถึงจะดูหน้าด้านไร้ยางอายก็ช่างเถอะ ขอแค่ข้ออ้างนี้ใช้ได้ผลก็พอแล้ว
เหมียวอี้ถามเร่งหลายครั้ง สุดท้ายโอวหยางหลางที่อับอายจนสุดจะทนก็ตอบเสียงเบาว่า “คืนนี้ท่านสามีไปอยู่กับน้องสาวก่อนเถอะค่ะ”
“คืนนี้ท่านสามีไปอยู่กับพี่สาวก่อนเถอะค่ะ” โอวหยางหวนปฏิเสธทันที
เหมียวอี้ไร้ยางอายมาก พยักหน้าบอกว่า “งั้นก็เรียงจากเด็กไปโตแล้วกัน ฉินเวยเวยเด็กสุด เมื่อคืนไปอยู่กับนางมาแล้ว คืนนี้ก็เป็นหวนหวน คืนพรุ่งนี้ค่อยเป็นหลางหลาง” จากนั้นก็หันไปบอกหญิงรับใช้อีกว่า “จือซู จือฮว่า คืนนี้ข้าจะไปค้างที่ตำนักคู่แฝด”
“เจ้าค่ะ!” จือซู จือฮว่ารีบเอ่ยรับ นี่เป็นการบอกให้พวกนางเตรียมตัวล่วงหน้า ในใจทั้งสองก็ตัดสินใจจะเตรียมตัวให้ดีเช่นกัน
ส่วนโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนก็อารมณ์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด สามารถดูได้จากแววตา ก่อนหน้านี้ดูระมัดระวังปนกลัดกลุ้ม ตอนนี้กลับใจเต้นแรงเหมือนมีกวางน้อยกระโดดอยู่ในใจ
หลังจากรับมือกับทั้งสองเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งให้พวกจือฉินออกไปเป็นเพื่อนพวกนางสองคน เหมียวอี้ถึงได้โล่งอก เขาพบว่ามีผู้หญิงเยอะไม่ใช่เรื่องดีอะไร ใช่ว่าแต่งงานรับภรรยามาหลายคนแล้วจะทำตามอำเภอใจได้ ยังต้องใช้กำลังความคิดเพื่อจัดการให้เป็นระเบียบ รับมือกับคนข้างนอกเสร็จแล้วยังต้องมารับมือกับคนในบ้านอีก ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไร
เหมียวอี้หันมองไปรอบๆ เขากำลังคิดว่าก่อนหน้านี้เยว่เทียนโปรับมือกับผู้หญิงที่แต่งงานเข้ามามากมายขนาดนั้นได้อย่างไร?
รอจนกระทั่งหรูฮูหยินทั้งสองออกไปแล้ว หยางเจาชิงก็เดินมาถึงด้านนอกศาลา กุมหมัดคารวะพร้อมรายงานว่า “นายท่าน ไต้ซือศีลเจ็ดกับลูกศิษย์รอพบท่านอยู่ขอรับ”
เหมียวอี้พยักหน้ารับ ตอนที่เดินออกจาศาลา เขาถือโอกาสดึงชุดคลุมสีแดงออกแล้วโยนให้นางในคนหนึ่งที่เดินผ่านมา เพราะตอนที่ใส่ชุดสีแดงทั้งตัวแบบนี้ เท่ากับกำลังเตือนคนอื่นว่าตัวเองแต่งงานรับอนุภรรยามารวดเดียวสามคน แบบนั้นทำให้เขาอับอายจนทำสีหน้าไม่ถูก
เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมไต้ซือศีลเจ็ดถึงเจาะจงมาพบเขาโดยเฉพาะ
ตอนที่เดินนำหยางเจาชิงไปยังเรือนรับรองแขกตรงตีนเขา เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางศาลายาวหลังหนึ่ง เขาเห็นหยางชิ่งกับเทพธิดาหงเฉินกำลังคุยกันอีกแล้ว
ไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากไปรึเปล่า เขาสังเกตเห็นว่าช่วงนี้หยางชิ่งกับเทพธิดาหงเฉินเหมือนจะค่อนข้างสนิทกัน เวลาผ่านไปไม่เท่าไรเอง นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่เห็นสองคนนั้นคุยกัน?
สายมะโรงมีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องรายงานต่อเทพธิดาหงเฉินเหรอ? อำนาจของเทพธิดาหงเฉินที่แดนโพ้นสวรรค์ก็มีจำกัด ถึงขั้นมีไม่มากเท่าเยว่เหยาด้วยซ้ำ
ส่วนเทพธิดาหงเฉินเป็นคนอย่างไร ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่รู้ นางเป็นคนที่ไม่ปรารถนาสิ่งใด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เทพธิดาหงเฉินจะเป็นฝ่ายมาหาหยางชิ่งก่อน เช่นนั้นก็เหลือความเป็นไปได้แค่อย่างเดียวแล้ว… เหมียวอี้พึมพำในใจ หวังว่าตัวเองคิดมากไป
“นายท่าน ผู้การใหญ่หยางเหมือนจะค่อนข้างสนิทกับคุณชายห้าท่านนี้นะขอรับ” หยางเจาชิงก็เตือนเช่นกัน
เหมียวอี้ขานรับ แสดงให้เห็นว่าตัวเองรู้อยู่ในใจแล้ว ขนาดหยางเจาชิงยังดูออก คาดว่าอวิ๋นจือชิวก็คงรู้แล้วเช่นกัน ที่นี่มีหูมีตาของอวิ๋นจือชิวอยู่เต็มไปหมด ไม่มีเรื่องอะไรที่คลาดสายตานางไปได้
เมื่อมาถึงเรือนรับรองแขกที่ไต้ซือศีลเจ็ดพักชั่วคราว ก็พบว่าตรวจการใหญ่หลันโฮ่วแห่งจวนผู้ตรวจการเมืองหลวงกำลังสนทนากับไต้ซือศีลเจ็ด ส่วนศีลแปดก็ยืนประนมมืออยู่ข้างๆ ดูศักดิ์สิทธิ์โดยเนื้อแท้
เรื่องบุคลากรของยอดเขาหยกนครหลวงยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อวิ๋นจือชิวเพิ่งรับช่วงต่อ ตอนนี้ไม่สะดวกจะเปลี่ยนแปลงอะไรมากเกินไป ต้องใช้เวลาสักระยะ
เดิมทีอวิ๋นจือชิวอยากจะลงดาบกับหลันโฮ่วก่อน สาเหตุไม่ใช่เพราะเรื่องอื่นใด เป็นเพราะในปีนั้นหลันโฮ่วลงโทษใช้แส้ฟาดเหมียวอี้ ทำให้อวิ๋นจือชิวรู้สึกไม่พอใจ ผู้หญิงคนนี้บางครั้งก็เจ้าคิดเจ้าแค้นมาก แต่ต้องดูว่าเรื่องอะไร เหมียวอี้เปรียบเสมือนเกล็ดมังกรของนาง นางสามารถตบตีด่าทอได้ตามอำเภอใจ เพราะนางลงมืออย่างบันยะบันยัง แต่กลับไม่ยอมให้คนอื่นมาแตะต้องเหมียวอี้แม้แต่ปลายนิ้ว
แต่เหมียวอี้โน้มน้าวนางไว้ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เขาพอจะรู้จักท่านผู้ตรวจการใหญ่ท่านนี้อยู่บ้าง นับเป็นบุคคลที่มีความสามารถคนหนึ่ง
เมื่อเห็นเหมียวอี้มาแล้ว หลันโฮ่วก็กล่าวอำลา กุมหมัดคารวะเหมียวอี้แล้วออกไป
หลังจากเหมียวอี้คำนับไต้ซือศีลเจ็ด ก็เหลือบมองศีลแปดที่วางมาดสง่าภูมิฐานแวบหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าไต้ซือมีอะไรจะกำชับผู้น้อยหรือขอรับ?”
“มิกล้าเรียกว่ากำชับหรอก มีเรื่องส่วนตัวจะคุยกับโยมสักหน่อย” ไต้ซือศีลเจ็ดกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“เรื่องส่วนตัว?” เหมียวอี้หันไปมองหยางเจาชิงแวบหนึ่ง พออีกฝ่ายกุมหมัดคารวะแล้วออกไป เหมียวอี้ถึงได้กล่าวว่า “ผู้น้อยจะตั้งใจฟังขอรับ”
“โยมคงจะรู้จักเทพพยากรณ์” ไต้ซือศีลเจ็ดว่าอย่างนั้น
เหมียวอี้ตะลึงนิดหน่อย แล้วพยักหน้าช้าๆ “ข้ารู้จักขอรับ แต่เทพพยากรณ์ทำตัวลึกลับมาก ข้าเองก็หาเขาไม่พบเช่นกัน” เขากังวลว่าพระท่านนี้จะขอให้เขาตามหาเทพพยากรณ์ให้
ไต้ซือศีลเจ็ดยิ้มพร้อมนำระฆังออกมาสองอัน นำมาวางไว้บนโต๊ะ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นระฆังดาราคู่หนึ่ง “อาตมากับเทพพยากรณ์เป็นสหายที่ดีต่อกัน ตอนที่หกปราชญ์ยังไม่ผงาดขึ้นมา พวกเรามักอยู่สนทนาธรรมด้วยกันบ่อยๆ นี่คือสิ่งที่เทพพยากรณ์ให้อาตมากับลูกศิษย์ไว้ จะได้ติดต่อกับอาตมา เขาบอกว่าโยมก็มีของสิ่งนี้เหมือนกัน”
เหมียวอี้แอบตกใจ สงสัยศีลเจ็ดกับเทพพยากรณ์จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นคงไม่นำของสิ่งนี้มอบให้ไต้ซือศีลเจ็ด
“ไต้ซืออยากจะพูดอะไร บอกมาตรงๆ ได้เลยขอรับ” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ
ไต้ซือศีลเจ็ดจึงกล่าวว่า “ไม่กี่วันมานี้ อาตมากับเทพพยากรณ์สนทนาธรรมกันเรื่องศีลแปด อาตมากำลังติดปัญหาที่ศีลแปดโง่เขลาเบาปัญญา กฎเกณฑ์ในโลกนี้ไม่สามารถขัดเกลาฝึกฝนเขาได้อีกแล้ว กลัวว่าจะเบิกสติปัญญาให้บรรลุธรรมได้ยาก แต่เทพพยากรณ์กลับบอกอาตมามา ว่าอีกไม่กี่วันโยมจะเดินทางไกล การไปครั้งนี้จะช่วยเรื่องการฝึกตนให้ศีลแปด อาตมาจึงถามว่าไปที่ไหน แต่เทพพยากรณ์ไม่ยอมบอก บอกเพียงว่าให้อาตมานำตัวศีลแปดมาส่งให้โยม ให้โยมพาไปด้วย เพียงบอกว่าเขาฝากฝังมา โยมก็จะไม่ปฏิเสธ อาตมาจึงคิดว่า อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างโยมกับลูกศิษย์คนนี้ ย่อมไม่มีอะไรไม่เหมาะสมอยู่แล้ว อาตมาถึงได้นำตัวมาด้วย หวังว่าโยมจะพาเขาไปด้วยกัน”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกเลย เทพพยากรณ์นั่นเทพเกินไปแล้ว นี่คือความคิดที่อยู่ในใจเขา ไม่ได้ประกาศบอกใครทั้งนั้น แม้แต่อวิ๋นจือชิวก็ยังไม่ได้บอก แต่ตาแก่นั่นกลับรู้ ไม่ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ได้มั้ย?
ไม่ผิดหรอก เขาเตรียมตัวจะเดินทางไกล เตรียมจะไปพิภพใหญ่ แต่ไม่ได้ไปเพราะเรื่องอื่น แค่อยากจะพาเยารั่วเซียนไปส่ง ตอนนี้เยารั่วเซียนหลบอยู่ที่พิภพเล็กไม่ปลอดภัยแล้ว ถ้าถูกพบขึ้นมาคงช่วยชีวิตไว้อีกไม่ไหว ทำตัวเป็นจุดเด่นมากเกินไป ควรจะพาเยารั่วเซียนหนีไปเสียที แต่ไม่น่าเชื่อว่าเทพพยากรณ์จะรู้อย่างทะลุปรุโปร่งก่อนแล้ว
เหมียวอี้คิดไปคิดมาแล้วขนหัวลุก มีคนที่หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าแบบนี้อยู่ เหมือนเขาจะเก็บความลับอะไรไม่ได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย อยู่ในแดนฝึกตนดาบเปื้อนเลือดเสมอ เมื่อเจอกับคนประหลาดพิลึกแบบนี้ ถ้าไม่กลัวก็แปลกแล้ว รู้สึกเหมือนชีวิตน้อยๆ ของตัวเองถูกอีกฝ่ายบีบอยู่ตลอดเวลา
“เจ้ารอง เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?” เหมียวอี้มองไปทางศีลแปด
“อาตมายินดีจะไป!” ศีลแปดยิ้มอย่างใสซื่อไร้ราคี
“อาจจะอันตรายมาก เจ้าไตร่ตรองดูให้ดีนะ” ที่จริงเหมียวอี้ไม่อยากพาเขาไป อยู่ที่พิภพเล็กมีไต้ซือศีลเจ็ดคอยดูแล ศีลแปดมีชีวิตที่ปลอดภัยมาก ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงอันตรายที่พิภพใหญ่ สภาพจิตใจของเขาในตอนนี้ ก็เหมือนที่หยางชิ่งอยากปกป้องฉินเวยเวยในตอนนั้น
“ถ้าข้าไม่ลงนรก แล้วใครจะลงนรก!” ศีลแปดประนมมือประกาศด้วยท่าทางเคร่งขรึม