พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 934
นรกจ๋า อาตมามาแล้ว!
อำนาจที่เกี่ยวข้องกับตระกูลของอันหรูอวี้นับว่าถูกริดรอนจนหมดสิ้น สองพี่น้องโอวหยางทราบเรื่องแล้วร้องไห้หนักมาก อยากจะไปเยี่ยมพ่อแม่ที่แดนโพ้นสวรรค์
เหมียวอี้นำจดหมายที่อันหรูอวี้ส่งมาให้ทั้งสองอ่าน อันหรูอวี้พูดไว้อย่างชัดเจนมาก ว่าไม่ให้ทั้งสองไปหาพวกเขาที่แดนโพ้นสวรรค์ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะไปเยี่ยมพวกเขา สองพี่น้องเรียกได้ว่าน้ำตาอาบหน้าตลอดทั้งวัน
ส่วนสิ่งที่ท่านขุนนางเหมียวทำได้ในตอนนี้ ก็คือใช้เวลาอยู่กับพวกนางและพูดชี้แนะพวกนางมากๆ หน่อย เรื่องราวชัดเจนมากแล้ว ว่าถ้าทางแดนโพ้นสวรรค์ไม่ล้างบางอำนาจของอันหรูอวี้กับสามีจนเกือบหมด ก็ไม่มีทางปล่อยตัวออกมาแน่นอน
ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน เหมียวอี้ตัดสินใจว่าจะไปที่พิภพใหญ่ อวิ๋นจือชิวก็อดใจไม่ไหวอยากจะไปเห็นพิภพในตำนานว่ามีอะไรต่างจากที่นี่กันแน่ แค่ฟังจากปากเหมียวอี้ยังไม่รู้สึกถึงอกถึงใจมากพอ
อวิ๋นจือชิวเรียกรวมบุคคลระดับสูงของยอดเขาหยกนครหลวง เพื่อประกาศว่าตนกับเหมียวอี้จะไปทัศนาจรข้างนอกสักระยะ ฉินเวยเวยจะเป็นคนคุมปราสาททองชั่วคราว และสั่งให้พวกหยางชิ่งคอยช่วยเหลือ
การให้ฉินเวยเวยคุมยอดเขาหยกนครหลวง ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจมากเท่าไรกัน หยางชิ่งย่อมดีใจอยู่แล้ว เพียงแต่เกิดความสงสัยในใจนิดหน่อย เพิ่งมายอดเขาหยกนครหลวงได้ไม่นานก็จะไปอีกแล้วเหรอ?
ฉินเวยเวยกลับหวาดกลัวมาก ให้นักพรตบงกชแดงอย่างนางรับอำนาจหน้าที่ของท่านทูตเพื่อรักษาการณ์ยอดเขาหยกนครหลวง นางจะทำได้อย่างไรกัน?
แต่อวิ๋นจือชิวกับเหมียวอี้ก็ออกไปอย่างนี้แล้ว บทจะไปก็ไป ไม่ได้พาใครไปด้วยเลย
ทั้งสองมาที่ถ้ำคล้อยบูรพาก่อน เจอกับศีลแปดที่ท่าเรือนอกเมืองคล้อยบูรพา จากนั้นก็ไปหาเยารั่วเซียนที่อู่ต่อเรือร้าง
เยารั่วเซียนซ่อนตัวอยู่ที่นี่เกือบหนึ่งปีแล้ว เมื่อเจอกับเหมียวอี้อีกครั้งก็รู้สึกละอายใจเป็นเท่าตัว ในระหว่างนั้นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เคยแอบมาพบเขาเงียบๆ บอกให้เขารู้ว่าเหมียวอี้ต้องเสี่ยงอันตรายขนาดไหนเพื่อช่วยเขา มีหลายครั้งที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด
“ตาแก่มอมแมมนี่เป็นใครกัน?” ศีลแปดที่ปลอมตัวเป็นคนพายเรือถามอย่างแปลกใจ ไม่น่าเชื่อว่าตาแก่คนนี้จะมีค่าพอจนทำให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้มารับด้วยตัวเอง เขาเดาว่าที่ตัวเองต้องมาซ่อนตัวอยู่แถวนี้ คงจะเกี่ยวกับตาแก่นี่แปดส่วนแน่นอน
“เจ้าจะสนใจอะไรมากมายขนาดนั้น” เหมียวอี้สั่งให้เขาหุบปาก
พวกเขาหนีเข้าไปในทางน้ำของอู่เรือ หนีออกทางทะเลเพื่อเลี่ยงไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็น หลังจากออกจากจากฝั่งมาไกลแล้ว ทั้งสี่ถึงได้โผล่ขึ้นมาที่ผิวน้ำ อวิ๋นจือชิวเป็นคนพาพวกเขาฝ่าชั้นบรรยากาศออกมาถึงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
เหมียวอี้คอยระบุทิศทาง นำคนที่เหลือเหาะไปอย่างรวดเร็ว อวิ๋นจือชิวที่กำลังเหาะซ่อนแผ่นหยกเอาไว้ในแขนเสื้อ คอยจดเครื่องหมายบอกทางเงียบๆ นางอ่านเครื่องหมายบอกทางของเหมียวอี้ไม่ออก ตอนนี้ต้องทำแผนที่ที่ตัวเองสามารถอ่านเข้าใจได้
เยารั่วเซียนมองไปรอบๆ ไม่รู้ว่าการมาถึงท้องฟ้าในอวกาศหมายความว่าอะไร
ศีลแปดได้รับถ่ายทอดวิชาปลอมตัวมาจากไต้ซือศีลเจ็ด เมื่อฝุ่นควันที่ล้อมรอยกายหายไป เขาก็กลับสู่โฉมหน้าจริงที่แท้จริง แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ พวกเราจะไปไหนกัน?”
“จะถามมากขนาดนั้นไปทำไม? ไปถึงแล้วก็รู้เอง” เหมียวอี้ยังไม่บอก
หลังจากผ่านไปสักระยะ สิ่งแรกที่ทำให้ได้เปิดหูเปิดตาก็คือประตูดวงดาว ศีลแปดกับเยารั่วเซียนตกใจมาก อวิ๋นจือชิวที่เคยได้ยินมาแล้วก็เบิกตาโพลงเช่นกัน เห็นเพียงเหมียวอี้ปล่อยกระสวยทองออกมา ลำแสงที่หมุนวนด้วยความเร็วสูงครอบพวกเขาทะลุผ่านหลุมดำอันน่าสะพรึงกลัวไปได้ในชั่วพริบตาเดียว พอหันกลับไปอีกครั้ง ก็รู้สึกเหมือนเป็นความฝันที่เกิดขึ้นฉับพลัน ไม่น่าเชื่อว่าหลุมดำนั่นจะหายไปในอากาศแล้ว…
เยารั่วเซียนรีบถามว่าของในมือเหมียวอี้คือของวิเศษอะไร ส่วนศีลแปดก็ถามว่าหลุมดำเมื่อครู่นี้คืออะไร ดูออกได้จากสิ่งนี้ว่าความสนใจของทั้งสองต่างกันตรงไหน เยารั่วเซียนเป็นคนหลอมของวิเศษจึงสนใจของวิเศษ ส่วนศีลแปดก็สนใจสิ่งประหลาดเหมือนกับคนทั่วไป
เหมียวอี้ยังคงไม่ตอบอะไร
จนกระทั่งข้ามผ่านประตูดวงดาวบานสุดท้าย มาถึงอาณาเขตของพิภพใหญ่แล้ว เหมียวอี้ถึงได้เผยคำตอบของปริศนา
“อะไรนะ?” เยารั่วเซียนอุทานถาม
“เหยด!” ศีลแปดตกตะลึงมาก “พิภพใหญ่? สถานที่ที่เทพพยากรณ์ให้ท่านพาข้ามาคือพิภพใหญ่เหรอ?”
อวิ๋นจือชิวมองสำรวจโดยรอบด้วยดวงตาที่เป็นประกาย เห็นได้ชัดว่านางตื่นเต้นมาก นี่คือสถานที่ที่หกปราชญ์ต่างก็ใฝ่ฝันอยากจะมา ทว่าจากสภาพแวดล้อมโดยรอยยังมองไม่ออกว่ามีอะไรต่างกัน เพราะยังอยู่บนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ความลึกลับกว้างใหญ่ของจักรวาลยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้
เหมียวอี้พยักหน้าบอกว่า “ใช่แล้ว ที่นี่คือพิภพใหญ่! คือนรกที่เจ้าประกาศว่าจะตกลงไปนั่นแหละ!”
“วะฮ่าๆๆ!” ศีลแปดกางแขนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งทันที “นรกแบบนี้ ตกลงไปก็ดีเหมือนกัน! นรกจ๋า อาตมามาแล้ว!” นั่นคือสีหน้าคนของบ้าจริงๆ เหมือนคนที่ออกบวชเสียที่ไหนกัน
เหมียวอี้หันกลับมาบอกว่า “เยารั่วเซียน เจ้าไม่เหมาะจะอยู่ที่พิภพเล็กอีกต่อไปแล้ว ข้าเองก็จำใจถึงได้ส่งเจ้ามาที่นี่ เพราะว่าเป็นเจ้าหรอกนะ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะพามาให้รู้ความลับสุดยอดของข้าแบบนี้ พวกเจ้าจำไว้นะ ห้ามให้คนของพิภพใหญ่รู้ที่มาที่ไปของพวกเราเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะนำปัญหาใหญ่มาสู่พวกเรา”
“ตาปีศาจเฒ่า ได้ยินรึยัง ควบคุมปากเจ้าไว้ให้ดีนะ” ศีลแปดเอ็ดตะโรใส่เยารั่วเซียนทันที
จนกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเยารั่วเซียนเลย ส่วนเยารั่วเซียนก็ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเขากับเหมียวอี้เช่นกัน ได้ยินเพียงว่าเห็นแก่หน้าไต้ซือศีลเจ็ด
ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้ตอบทุกคำถาม ต่อให้ไม่ถามเขาก็จะบอก เขาเล่าสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพิภพใหญ่ให้ทั้งสองฟัง บอกอะไรได้ก็บอกไปหมด ป้องกันไม่ให้ทั้งสองไปทำอะไรที่เป็นสิ่งต้องห้าม จะได้ไม่เหมือนตัวเองตอนมาครั้งแรก ที่หาเรื่องซี้ซั้วไปทั่วทุกที่
สถานีแรกคือดาวไร้ลักษณ์ สำนักลมปราณ เป็นสถานที่ที่หาไว้ให้เยารั่วเซียนค้างแรมเช่นกัน
อันที่จริง หลังจากผ่านเรื่องที่สำนักงามวิจิตรมา เขาก็พบว่าสมองของเยารั่วเซียนไม่ได้น่าอัศจรรย์อย่างที่จินตนาการไว้ จึงตัดสินใจจะให้เยารั่วเซียนปรับตัวกับสภาพแวดล้อมของพิภพใหญ่ได้ก่อน แล้วจากนั้นค่อยว่ากัน ตอนนี้ยังไม่กล้าให้เขาเพ่นพ่านไปทั่ว ส่วนอวิ๋นจือชิวกับศีลแปด ทั้งสองเป็นคนฉลาด ไม่ต้องให้เขาเป็นห่วงมากเกินไป โดยเฉพาะศีลแปด เขาไม่กลัวว่าศีลแปดจะโดนคนอื่นรังแก แต่กลัวคนอื่นจะโดนศีลแปดรังแกมากกว่า แบบนั้นคงต้องร้องว่าอามิตตาพุทธแล้ว
แต่เขาก็พาเยารั่วเซียนไปที่สำนักลมปราณคนเดียว ไม่ได้เปิดตัวอวิ๋นจือชิวกับศีลแปด เขาพาเยารั่วเซียนไปพบเจ้าสำนักอวี้หลิงเจินเหริน บอกว่าเป็นสหายรักของตน สำนักลมปราณย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับไว้ จึงทำตามที่เหมียวอี้บอก ให้เยารั่วเซียนไปอยู่ที่เรือนพักในป่าไผ่ของเหมียวอี้
ครั้งนี้ห่างจากเวลาที่จากพิภพใหญ่ไปไม่นาน หลังจากถามสถานการณ์นิดหน่อย ก็พบว่าสำนักลมปราณกับร้านขายของชำไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไร ร้านขายของชำที่กำลังขยายสาขาไปยังคงอยู่ในขั้นตอนวางรากฐาน
ที่เรือนพักในป่าไผ่ เหมียวอี้ไม่ได้ให้ใครตามมาอยู่เป็นเพื่อน เขาพาเยารั่วเซียนมาดูสภาพแวดล้อมด้วยตัวเอง
หลังจากพาเดินวนรอบหนึ่ง เยารั่วเซียนก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “สภาพแวดล้อมไม่เลวเลย เหมียว… หนิวโหย่วเต๋อ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีที่พักที่พิภพใหญ่แล้ว ข้าค้นพบแล้วว่าเจ้าบ้านี่ไม่ว่าไปที่ไหนก็ปะปนอยู่ที่นั่นได้” เขารู้สึกสะเทือนใจมากจริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่กล้าแม้แต่จะคิด ว่าจะสามารถมาที่พิภพใหญ่ได้
“ไม่ต้องพูดประจบแล้ว ข้าจะบอกเจ้าตรงๆ เลยนะ เพื่อที่จะช่วยชีวิตเจ้า ข้าสังหารลูกศิษย์ของเฟิงเป่ยเฉินกับลูกสาวของจีฮวนไปแล้ว ทั้งยังกำจัดท่านทูตของสองแดนนั้นไปแปดคน แค้นเก่ากับแค้นใหม่บวกรวมกัน ตอนนี้สถานการณ์ของข้าที่พิภพเล็กอันตรายมาก เฟิงเป่ยเฉินกับจีฮวนมาเอาชีวิตข้าได้ทุกเมื่อ ถ้าข้าตาย จุดจบของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์จะยิ่งอนาถ เจ้าคิดหาทางช่วยข้าก่อนเถอะ!” ในที่สุดเหมียวอี้ก็บอกเจตนาที่แท้จริง
เยารั่วเซียนก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น ถามอย่างลังเลว่า “เจ้าอยากได้เจดีย์งามวิจิตรเหรอ?”
“ถูกต้อง!” เหมียวอี้มองเขาด้วยแววตาแน่วแน่ พลางกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าต้องการรวมพิภพเล็กให้เป็นหนึ่งเดียว ทำให้ยุคของหกปราชญ์จบลง กำจัดความกังวลที่พิภพเล็กให้หมดสิ้น! ถ้าพบปัญหาที่พิภพใหญ่ขึ้นมา พิภพเล็กก็จะเป็นทางหนีทีไล่สุดท้ายของพวกเรา ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า!”
สำหรับเขา เจดีย์งามวิจิตรไม่พียงแค่สามารถแก้ปัญหาที่พิภพเล็กได้ แต่ยังกลายเป็นเครื่องมือป้องกันตัวที่พิภพใหญ่ได้ด้วย
เมื่อเดินทางไปมาระหว่างพิภพใหญ่กับพิภพเล็กหลายปี เขาเองก็นับว่าดูออกแล้วเหมือนกัน อย่าคิดว่าพิภพเล็กจะไม่มีค่าอะไรเลย นั่นเป็นความคิดตอนที่ยังโง่เขลาขาดความรู้ หลงไปคิดว่าคนจากสถานที่เล็กๆ ไร้ประโยชน์ ใช่ว่าเคล็ดวิชาฝึกตนที่พิภพเล็กจะไม่มีความสำคัญที่พิภพใหญ่เลย เคล็ดวิชาฝึกตนของสำนักต่างๆ มากมายในพิภพเล็ก ที่จริงก็มาจากแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งนี่เอง นี่ก็เป็นจุดประสงค์ที่สำนักใหญ่ๆ แต่ละแห่งส่งคนไปเข้าร่วมทุกๆ หนึ่งพันปีที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเปิด เคล็ดวิชาของหกปราชญ์ล้วนเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาของพิภพใหญ่
ที่จริงสำหรับพิภพเล็ก ข้อจำกัดที่ใหญ่ที่สุดก็คือทรัพยากรฝึกตน
ส่วนทักษะการหลอมของวิเศษที่พิภพเล็กก็อาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้น เหมียวอี้รู้สึกว่าเจดีย์งามวิจิตรก็ไม่เลวเลย
เยารั่วเซียนยิ้มเจื่อน “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะทะเยอทะยานมากขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเจ้านะ ข้าเองก็อยากให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พ้นภัยคุกคามจากคนอื่น แต่เจ้าก็รู้นี่ เจดีย์งามวิจิตรเล็กของข้าสู้กับหกปราชญ์ไม่ได้ ถ้าจะให้หลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรของจริง พวกเราก็มีทรัพยากรไม่พออีก!”
“ปัญหาเรื่องทรัพยากร เดี๋ยวข้าคิดหาทางเอง ครั้งก่อนเจ้าเดิมพันกับเซี่ยงไป่ถิง บอกว่าเจ้าจะใช้เวลาแค่หนึ่งร้อยวันเพื่อหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรเล็ก แล้วถ้าจะหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรตัวจริง จะต้องใช้เวลานานเท่าไร?” เหมียวอี้ถาม
เยารั่วเซียนตอบว่า “หลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรเล็ก ตอนแรกข้าใช้เวลาไปร้อยกว่าปี ตอนที่ข้าเดิมพันไปแบบนั้น เพราะข้าเคยหลอมสร้างมาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าหลอมสร้างอีกก็จะชำนาญแล้ว ถ้ามีแผนอยู่ในใจก็ใช้เวลาไม่นานหรอก การหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรตัวจริงก็มีจุดที่แตกต่างอยู่บ้าง ประกอบกับเจดีย์งามวิจิตรตัวจริงมีขนาดใหญ่ ล้วนต้องทุ่มเทเวลา ถ้าอยากจะให้มั่นใจเชื่อถือได้และไม่สิ้นเปลืองวัสดุ เกรงว่าต้องใช้เวลาร้อยกว่าปีเหมือนกัน”
“ได้! ข้าจะรอเจ้าหนึ่งร้อยปี เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องวัสดุ ข้าแก้ปัญหาได้” เหมียวอี้ว่าอย่างนั้น
เยารั่วเซียนส่ายหน้า “ก็ยังไม่ได้! ตอนที่ข้าเดิมพันกับเซี่ยงไป่ถิง เจ้าเองก็ได้ยินแล้ว อาศัยวรยุทธ์ของข้าในตอนนี้ ไม่มีทางสร้างของวิเศษขนาดใหญ่แบบนั้นได้เลย เพราะวรยุทธ์ของข้าไม่สามารถบุกเบิกพื้นที่ใหญ่ขนาดเจดีย์งามวิจิตรได้ได้ เจดีย์งามวิจิตรหลอมสร้างโดยยอดฝีมือบงกชม่วงหลายคนของสำนักงามวิจิตร ถ้าข้าคนเดียวคิดจะหลอมสร้างออกมาให้ได้ อย่างน้อยก็ต้องมีวรยุทธ์ระดับบงกชม่วงขั้นห้า”
“แบบนี้…” เหมียวอี้ขมวดคิ้วพึมพำ เริ่มคิดคำนวณ ตอนนี้เยารั่วเซียนวรยุทธ์บงกชแดงขั้นหก ถ้าจะเพิ่มเป็นบงกชม่วงขั้นห้า อย่างน้อยต้องใช้ยาแก่นเซียนห้าหมื่นสามพันกว่าเม็ด แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาเลย ครั้งก่อนก็เอาไปจากพิภพใหญ่สิบล้านเม็ด ตอนนี้ในมืออวิ๋นจือชิวยังมียาแก่นเซียนจำนวนมากที่ยังใช้ไม่หมด ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือเวลา ถึงจะมียาแก่นเซียนแต่ก็ต้องใช้เวลาร้อยกว่าปี บวกกับเวลาในการหลอมของวิเศษ ก็แปลว่าต้องรออีกสองร้อยปีกว่าจะสร้างเจดีย์งามวิจิตรขึ้นมาได้
แต่คิดไปคิดมาก็เหมาะเจาะพอดี ตอนนี้ต่อให้ได้เจดีย์งามวิจิตรมา เขาก็ยังควบคุมไม่ได้อยู่ หลังจากนี้สองร้อยปี ต่อให้คลานก็ต้องคลานผ่านธรณีประตูของระดับบงกชทองได้แหละน่า?
สุดท้ายเหมียวอี้ก็พยักหน้า “ไม่ใช่ปัญหาเลย ข้าจะให้ยาแก่นเซียนเจ้าหนึ่งแสนเม็ด เวลาหนึ่งร้อยปีก็เพียงพอให้วรยุทธ์เจ้าเพิ่มถึงบงกชม่วงขั้นห้าแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยช่วยข้าหลอสร้างเจดีย์งามวิจิตร หลังจากนี้สองร้อยปีข้าต้องเห็นของ”
“ยาแก่นเซียนหนึ่งแสนเม็ด?” เยารั่วเซียนสูดหายใจตกตะลึง “เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย?”
“ไม่ได้ล้อเล่น อีกประเดี๋ยวจะให้เจ้าทันที เจ้าตั้งใจฝึกตนก็พอแล้ว เออใช่ ในระหว่างนั้นหลอมทวนวิเศษขั้นห้าให้ข้าสักด้ามสิ เอาเกราะรบขั้นห้าด้วย ทั้งหมดทำจากผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูง รอให้ข้าบรรลุระดับบงกชทองก็ใช้ได้แล้ว บางทีข้าอาจจะซัดให้หกปราชญ์หมอบโดยไม่ต้องรอเจดีย์งามวิจิตรของเจ้าก็ได้ อื้ม! ทำให้เมียข้าด้วยชุดหนึ่ง เรื่องวัสดุข้าจะหาทางเอามาให้… จะเบิกตากว้างขนาดนั้นทำไม ใช้เวลาสองร้อยปี ของเล็กน้อยแค่นี้เจ้าใช้เวลาไม่นานหรอก เจ้าไม่ต้องใช้วรยุทธ์บงกชม่วงขั้นห้าก็หลอมสร้างได้ ข้าเกือบตายเพราะเจ้าหลายครั้งแล้ว กับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เจ้าคงไม่ปฏิเสธที่จะช่วยหรอกใช่มั้ย?”
…………………………