พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 936
หลังจากแบ่งแยกความสำคัญชัดเจนและมีแผนในใจแล้ว เหมียวอี้ก็ตัดสินใจแน่วแน่ แข็งใจเดินออกไป แต่ระหว่างทางก็ยังเหลียวซ้ายแลขวา กลัวว่าจะบังเอิญเจอกับอวิ๋นจือชิว
มาถึงร้านค้าสมาคมวีรชนแล้ว พอเข้ามาในลานบ้านด้านหลัง ก็มีผู้หญิงสวยคนหนึ่งออกมาต้อนรับ หน้าตางดงามดุจภาพวาด สวยจนอยากกลืนกิน ไม่ได้ดูอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนหญิงรับใช้ทั่วไป
เหมียวอี้มองนางหลายครั้ง สังเกตเห็นโดยบังเอิญว่าหญิงรับใช้คนนี้มองตนด้วยแววตาที่คลุมเครือนิดหน่อย ขณะที่เดินตามนางไป ก็เอ่ยถามว่า “ก่อนหน้านี้เหมือนจะไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนนะ”
หญิงรับใช้ที่นำทางตอบว่า “บ่าวมาใหม่เจ้าค่ะ รับหน้าที่ปรนนิบัติคุณหนูหวงฝู่โดยเฉพาะ”
เหมียวอี้เพียงขานรับโดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย พอมาถึงลานบ้านด้านในก็ยังไม่เจอหวงฝู่จวินโหรว แต่ไม่นานก็เห็นหน้าต่างบานหนึ่งบนตึกเปิดออก หวงฝู่จวินโหรวปรากฏตัวและส่งสายตาให้หญิงรับใช้คนนั้น หญิงรับใช้รู้กาลเทศะและถอยออกไป ตอนที่หันกลับมามองด้านหลังของเหมียวอี้อีกครั้ง ในดวงตานางฉายแววดุร้าย
เหมียวอี้ไม่อยากเข้าไปในห้องนอนของหวงฝู่จวินโหรวอีก แต่หวงฝู่จวินโหรวกลับกวักมือเรียก บอกใบ้ให้เขาเข้ามา จากนั้นก็ปิดหน้าต่าง
เหมียวอี้พูดไม่ออกมาก ทำได้เพียงผลักประตูตึกเข้าไป แล้วเดินขึ้นไปชั้นบน
ในห้องนอนหญิงสาว ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นแป้งหอมที่คุ้นเคย แขนงามสองข้างแอบจู่โจมจากด้านหลัง กอดเอวของเหมียวอี้เอาไว้ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ยังนึกว่าอีกตั้งนานกว่าเจ้าจะกลับมา ตอนหลังทำไมไม่มาหาข้าล่ะ?”
เหมียวอี้จับแขนนางแยกออก พอหันตัวมามอง ก็พบว่าหวงฝู่จวินโหรวถอดเครื่องประดับศีรษะออกแล้ว ผมนุ่มสยายประบ่า งดงามยิ่งกว่าดอกไม้
เหมียวอี้แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว เขาฝืนยิ้มพร้อมตอบว่า “มีธุระบางอย่างต้องจัดการ ข้า…” ปากเขาโดนอุดด้วยริมฝีปากแดงสวย พูดอะไรไม่ออกแล้ว หวงฝู่จวินโหรวเกิดอารมณ์ปรารถนา เป็นฝ่ายจูบเขาก่อน ทั้งยังเร่าร้อนมากด้วย เหมือนจะทนทุกข์จากความคิดถึงไม่ไหว
ที่เขาว่ากันว่า ชายจีบหญิงยากเย็นดุจภูเขากั้น หญิงจีบชายง่ายดายดุจมุ้งกั้น พอผู้หญิงเป็นฝ่ายรุก ผู้ชายที่สามารถควบคุมตัวเองได้ก็มีน้อยมาก เหมียวอี้ที่ตั้งใจจะตัดขาดความสัมพันธ์ ในเวลานี้โถมทับนางอย่างไร้สติอีกครั้ง เดิมทีทั้งสองก็คุ้นเคยกับการทำอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่นานเหมียวอี้ก็เป็นฝ่ายรุกเอง หลังจากเสื้อผ้าปลิวกระจาย ก็เกิดฉากที่อุตลุตวุ่นวายอีกครั้ง
หลังจากนั้น เหมียวอี้ก็นึกเสียใจทีหลังอีกแล้ว ขณะมองดูเรือนร่างขาวใสดุจหิมะตรงหน้า ขณะลูบไล้สะโพกที่ขาวเนียนน่าทึ่ง เหมียวอี้ก็ทอดถอนใจ “จวินโหรว ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เต็มใจจะแต่งงานกับข้ามั้ย?” ถ้าอีกฝ่ายเต็มใจ ต่อให้เขาจะโดนอวิ๋นจือชิวหันสองดาบ แต่ก็ต้องได้รับความยินยอมจากอวิ๋นจือชิวก่อน เรื่องแบบนี้ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากฮูหยินภรรยาเอก ก็ไม่สามารถรับอนุภรรยาเข้าบ้านได้ อวิ๋นจือชิวต่างหากที่เป็นนายหญิงตัวจริง นอกเสียจากเจ้าจะถอดตำแหน่งภรรยาเอกทิ้ง
หวงฝู่จวินโหรวกำลังนอนหมอบเคลิบเคลิ้มอยู่ในอ้อมอกเขา นางส่ายหน้าปฏิเสธ “เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลหวงฝู่จะทำลายกฎเพื่อข้า ข้าแต่งงานออกไม่ได้ ถ้าเจ้าอยากอยู่กับข้า ก็มีแค่ต้องแต่งงานเข้ามาเท่านั้น นอกเสียจากเจ้าจะมีอำนาจมาก สามารถกดดันตระกูลหวงฝู่ของข้าได้ หรือไม่ก็ไปขอให้ราชันสวรรค์ประทานการสมรส ทำให้ตระกูลหวงฝู่เถียงอะไรไม่ออก หนิวโหย่วเต๋อ ในมือเจ้ามีหุ้นของร้านขายของชำอยู่สองส่วน ถ้าแต่งงานเข้าตระกูลข้า เจ้าก็ไม่ลำบากหรอก ทั้งยังได้รับการปกป้องจากตระกูลหวงฝู่ด้วย” พูดแบบนี้เท่ากับโน้มน้าวให้เหมียวอี้แต่งงานเข้ามา
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เหมียวอี้ก็ตอบว่า “สงสัยระหว่างเราจะไม่มีทางคุยกันให้ลงตัวได้!”
หวงฝู่จวินโหรวเงยหน้าช้าๆ เอามือยันตัวลุกขึ้น แล้วจ้องเขาพร้อมถามว่า “เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
เหมียวอี้ลุกขึ้น เก็บเสื้อผ้าจากพื้นขึ้นมาใส่ พร้อมบอกว่า “พวกเราทำแบบนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีที่ดี ข้าไม่อยากหลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอด มิหนำซ้ำถ้าข่าวแพร่ออกไป ชื่อเสียงเจ้าก็เสียหาย ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า ในเมื่อพวกเราไม่มีทางคุยกันให้ลงตัวได้ ข้าว่าเราควรจะยุติความสัมพันธ์ที่ผิดปกติแบบนี้เสียที… หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรง เจ้าอยากได้มาตลอดไม่ใช่เหรอ? ข้ามอบให้เจ้าเพื่อเป็นการชดเชยได้นะ!”
หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำมีมูลค่าไม่เบา ความหมายที่เขาบอก ก็คือจะมอบให้หวงฝู่จวินโหรวเพื่อชดเชย แต่อีกความหมายหนึ่งก็ชัดเจนมากเช่นกัน นั่นก็คือนำหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำมาตัดขาดความสัมพันธ์ที่คลุมเครือของทั้งสอง
หวงฝู่จวินโหรวสีหน้าเปลี่ยนไปมาก เป็นเพราะหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำมีมูลค่าไม่น้อย แต่เหมียวอี้กลับไม่เสียดายที่จะมอบให้นาง แค่คิดก็รู้แล้วว่าตัดสินใจแน่วแน่เรื่องตัดความสัมพันธ์ หวงฝู่จวินโหรวดึงผ้าห่มขึ้นมาบังหน้าอกขาวอวบอิ่ม นางกัดริมฝีปาก สีหน้าซีดเผือด แล้วสุดท้ายก็ลุกออกมาหยิบเสื้อผ้าใส่
หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว นางก็นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เหมียวอี้มองดูทุกอากัปกิริยาของนางอย่างเงียบๆ เขาไม่มีหน้าจะไปเร่งรัดนาง เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย ทางด้านอวิ๋นจือชิว เขายังพอมีความมั่นใจอยู่บ้าง แต่ถ้าจะบอกให้หวงฝู่จวินโหรวไปเป็นอนุภรรยา เขาก็เอ่ยปากลำบาก ดังนั้นจึงยอมตัดใจทิ้งหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำ
ก็ช่วยไม่ได้ หวงฝู่เสียความบริสุทธ์ให้เขา ไม่อย่างนั้นคงไม่คู่ควรกับราคานี้หรอก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พัวพันกับนางอยู่อย่างนี้ ถึงอย่างไรภูมิหลังของหวงฝู่ก็ไม่ใช่เล่นๆ ถ้าไม่นำของที่มีน้ำหนักออกมา ก็จะชดเชยนางไม่ไหว ถึงแม้จะรู้ว่าการทำอย่างนี้จะเลวไปหน่อย แต่เจ็บสั้นย่อมดีกว่าเจ็บนาน จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาไม่จบไม่สิ้น เขาไม่อยากไปมีเรื่องกับตระกูลหวงฝู่จนนำอันตรายมาสู่อวิ๋นจือชิว
เมื่อใส่เครื่องประดับเสร็จแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ข้าไม่ใช่ผู้หญิงในหอโคมเขียว ไม่ได้ขายตัว! เจ้าเองก็ซื้อไม่ไหวหรอก! เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าเองก็ไม่ได้ให้เจ้ามารับผิดชอบอะไร หุ้นสองส่วนนั้นของเจ้า ถ้าหากข้าอยากได้ ข้าย่อมหาทางเอามาจนได้ ไม่ต้องให้เจ้ามอบให้หรอก” จากนั้นก็ยื่นมือเชิญ “ไปนั่งคุยกันข้างนอกเถอะ อยู่ในห้องนานคนจะสงสัย”
ทั้งสองเดินออกจากตึก พอนั่งลงในศาลาของลานบ้าน หวงฝู่จวินโหรวก็ตะโกนสั่ง “หงเอ๋อร์ น้ำชา!”
ผ่านไปครู่เดียว หญิงรับใช้คนนั้นก็ปรากฏตัวอีกครั้ง พอนำน้ำชามาวางแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ยื่นมือเชิญ จากนั้นตัวเองก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบช้าๆ
เหมียวอี้จิบน้ำชาไปหลายคำ อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไว้ เห็นหญิงรับใช้คนนั้นอยู่ข้างๆ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
หลังจากรอไปพักหนึ่ง เห็นหวงฝู่จวินโหรวยังทำสีหน้าเย็นชาไม่พูดอะไร เหมียวอี้จึงวางถ้วยน้ำชาแล้วถอนหายใจ “รอให้เจ้าคิดให้ดีก่อนแล้วก็ว่ากัน ข้าจะรอคำตอบจากเจ้า” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป
หลังจากมองคล้อยหลังเหมียวอี้จากไป หงเอ๋อร์ก็หันมามองหวงฝู่จวินโหรวที่กำลังทำสีหน้าเรียบเฉย “เถ้าแก่น้อย ทำไมเขาอยู่ในห้องนอนท่านนานขนาดนั้น?”
ถ้าเหมียวอี้มาได้ยินเสียงหงเอ๋อร์ในตอนนี้ จะต้องตกใจมากแน่นอน เป็นเสียงของปีศาจโลหิต
“คุยเรื่องความร่วมมือระหว่างร้านค้าสมาคมวีรชนกับร้านขายของชำซื่อตรง เจ้าอย่าถามมากดีกว่า ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!” หวงฝู่จวินโหรวตอบคำเดียว แล้วเหล่ตาถามว่า “ลงมือแล้วเหรอ?”
“ข้าก็นึกว่าเขาจะจับได้ แต่เหมือนเขาจะใจลอยนิดหน่อย ดื่มน้ำชาไปอย่างนั้นโดยไม่ตรวจสอบให้ละเอียด แปลกจริงๆ!” หงเอ๋อร์เดาะลิ้น
หวงฝู่จวินโหรวเม้มริมฝีปาก มือที่ถือถ้วนน้ำชาชะงักเล็กน้อย ที่จริงก่อนที่เหมียวอี้จะมา ฝ่ายนี้ก็เตรียมจะลงมือกับเหมียวอี้ไว้แล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเหมียวอี้อ่อนแอไร้อำนาจ ทั้งยังไม่ใช่คนของสำนักลมปราณอย่างเป็นทางการ ควบคุมการบริหารของร้านขายของชำไม่ได้ ฮุบหุ้นสองส่วนเอาไว้คนเดียวเท่ากับเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง เพียงแต่นางนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะไม่เตรียมป้องกันตัว
จากนั้นก็ได้ยินหงเอ๋อร์พูดเย้ยอีกว่า “โดนพิษ ‘วิญญาณโลหิต’ ของข้าไป คนที่สามารถถอนพิษนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ ถึงตอนนั้นขอเพียงข้ากระตุ้นนิดเดียว ข้าไม่กลัวหรอกว่าเขาจะไม่ยอมแพ้ เขาทำให้วรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าของข้าลดเหลือบงกชทองขั้นเจ็ด ข้าจะต้องให้เขาลิ้มลองรสชาติเวลาทรมานจนอยู่ต่อไม่ไหว แต่จะตายก็ตายไม่ได้!”
หวงฝู่จวินโหรวกล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าจำไว้นะ ว่าอย่าสร้างปัญหาให้ร้านค้าสมาคมวีรชน ถ้าให้คนอื่นรู้ว่าคนของร้านค้าสมาคมวีรชนวางยาพิษลูกค้า ถ้าทำร้ายยี่ห้อของร้านค้าสมาคมวีรชน ถึงตอนนั้นทั้งสมาคมวีรชนไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ เจ้าเองก็รู้ถึงผลที่ตามมา!”
หงเอ๋อร์พยักหน้า “เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว เถ้าแก่น้อยไม่ต้องห่วง ข้าจะกระตุ้นพิษเดี๋ยวนี้ รออีกสักพักให้ร้านค้าสมาคมวีรชนพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัย ข้าค่อยลงมืออีกที ถึงตอนนั้นข้าจะให้เขาคายหุ้นสองส่วนกับยาเม็ดโลหิตของข้าออกมาพร้อมกันเลย เวลาสั้นๆ แค่นี้ ข้าไม่ถึงขั้นรอไม่ไหวหรอก ตอนนี้ปล่อยให้เขาลำพองใจไปก่อนเถอะ!”
“อย่าประมาทเลินเล่อ พวกเราเสียเปรียบเขาหลายรอบแล้ว เจ้าไม่ได้เผยพิรุธอะไรใช่มั้ย?”
“น่าจะไม่มีค่ะ มี ‘ไข่มุกซ่อนจิต’ แล้ว เขาน่าจะไม่พบกลิ่นคาวเลือดบนตัวข้า”
เหมียวอี้ที่กลับมาถึงร้านขายของชำซื่อตรงพบปัญหาอีกแล้ว หวงฝู่จวินโหรวรู้ว่าเขากลับมา เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็รู้ว่าเขากลับมาเหมือนกัน จึงส่งคนมาคอยเฝ้า พอเหมียวอี้กลับมาจากข้างนอก กลุ่มทหารสวรรค์ก็มาจับกุมตัวเขาทันที
เหมียวอี้รู้สึกอับอายจนโมโห มีใครเขาเรียกคนไปพบด้วยวิธีการนี้บ้าง? ทำเหมือนเขาเป็นนักโทษอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวต่อไปต้องหาทางสืบสักหน่อยว่าเจ้าหมีควายนั่นมีภูมิหลังอย่างไรกันแน่ ถ้าสบโอกาสเหมาะก็เล่นงานเจ้าบ้านั่นให้ตายเสียเลย จะได้ไม่ต้องมาพัวพันไม่จบไม่สิ้นแบบนี้
อวี้ซวีเจินเหรินที่เดินออกประตูมาทำสีหน้าจนใจ เป็นเพราะเจ้าบ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่คุยกันด้วยเหตุผลเลยจริงๆ
“ไปกันเถอะ!” หัวหน้าทหารสวรรค์ผลักเหมียวอี้ ควบคุมตัวไปอย่างนี้แล้ว
ตรงหน้าต่างบนตึกโรงเตี๊ยมเยื้องร้านขายของชำ อวิ๋นจือชิวเรียกได้ว่าทำสีหน้าวิตกกังวล นางตกใจเพราะเห็นเหตุการณ์บนถนน พอยื่นหน้าออกไปดู ไม่น่าเชื่อว่าจะเห็นฉากที่เหมียวอี้โดนจับตัว
นางไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตของคนที่นี่เลย เมื่อเผชิญสถานการณ์แบบนี้ นางก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมือจากนั้นไหน ข้างหลังมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ศีลแปดมาเรียกนาง “พี่สะใภ้!”
“เข้ามาได้!” อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะตอบ ศีลแปดก็บุกเข้ามาอย่างร้อนใจราวกับไฟเผา แล้วกล่าวอย่างกังวลว่า “พี่สะใภ้ ท่านเห็นหรือเปล่า? เกิดเรื่องกับพี่ใหญ่แล้ว!”
อวิ๋นจือชิวเดินวนไปวนมาอย่างร้อนรน ประสานนิ้วมือพลางกล่าวอย่างกังวล “ข้าเห็นแล้ว พี่ใหญ่เจ้าบอกไว้ว่าไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับเขาอย่างเปิดเผย สถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าพวกเราเข้าไปมีส่วนร่วม เกรงว่าถึงตอนนั้นจะไม่เหลือใครไว้คิดหาทางช่วยเลย”
“พี่สะใภ้ ท่านไม่ต้องกังวล สงบใจเอาไว้ ข้าจะไปสืบข่าวก่อน ท่านรอฟังข่าวจากข้านะ”
“ก็ดี! ตอนนี้ก็ทำได้แค่นี้แล้ว เจ้ารีบไปรีบกลับแล้วกัน!” อวิ๋นจือชิวพยักหน้า นางเป็นผู้หญิง ไม่ค่อยสะดวกจะปรากฎตัวในวงสังคม โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆ ถ้าเข้าไปยุ่งด้วยเรื่องราวอาจจะพลิกผันยิ่งกว่าเดิม ตอนอยู่ที่นี่นางไม่มีภูมิหลังอะไรมาปกป้องทั้งนั้น
“แม่งเอ๊ย! ข้าอยากจะเห็นว่าไอ้เวรที่ไหนมันบังอาจมาแตะต้องพี่ใหญ่ของข้า อาตมาจะเล่นงานมันให้ตาย ถ้าไม่ตายข้ายอมเปลี่ยนไปใช้แซ่เดียวกับมันเลย!” ศีลแปดตะโกนแล้ววิ่งไป
ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เป็นเรื่องเร่งด่วน ศีลแปดจึงขี้คร้านจะอ้อมค้อม บุกเข้าไปที่ประตูลานบ้านด้านข้างของร้านขายของชำโดยตรง แต่โดนคนเฝ้าประตูขวางไว้ “ไต้ซือมีธุระอะไรหรือ?”
ศีลแปดกล่าวอามิตตาพุทธ แล้วถามว่า “ขออนุญาตถาม ฆราวาสหนิวโหย่วเต๋ออยู่ไหม?”
คนเฝ้าประตูทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ไม่ได้บอกว่าเหมียวอี้เพิ่งถูกจับไป หนึ่งในนันตอบว่า “ไม่อยู่ขอรับ ไต้ซือมีธุระอะไรหรือ?”
ศีลแปดยิ้มพร้อมบอกว่า “ฆราวาสหนิวติดหนี้อาตมาก้อนหนึ่ง ให้อาตมามาเบิกที่ร้านขายของชำซื่อตรง คาดว่าฆราวาสหนิวคงจะไม่หลอกอาตมา”
คนเฝ้าประตูทำสีหน้าสงสัย แต่เห็นท่าทางศีลแปดดูไม่เหมือนคนโกหกหลอกลวง เจ้าบ้านี่มีภาพลักษณ์ภายนอกเอาไว้รังแกคนอื่นจริงๆ