พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 943
จงหลีค่วยที่ฟันกระบี่อยู่กลางอากาศตกใจมาก แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว นึกไม่ถึงว่าปีศาจโลหิตจะใช้ท่านี้ ทำให้ป้องกันลำบากนิดหน่อย เขาจินตนาการได้เลยว่าจู่ๆ ปีศาจโลหิตพรวดไปข้างหลังเขาเพราะคิดจะทำอะไร นอกจากพุ่งเป้าไปที่หนิวโหย่วเต๋อแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
ภายใต้ความวิตกกังวล เขาพลิกมือโน้มนำกระบี่ กระบี่บินยิงระเบิดออกมาจากใต้ซี่โครง
ปีศาจโลหิตที่รวมร่างอีกครั้งหมุนตัวราวกับดอกไม้ ใช้ดาบฟันกระบี่บินที่ยิงเข้ามา แล้วกระโจนใส่เหมียวอี้ต่อไป
เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ที่ในปากกำลังกัดกินสมุนไพรเซียนซิงหัวก็ตกใจไม่เบาเช่นกัน สีหน้าพลันเครียดขรึม หยุดนิ่งกะทันหัน ค่อยๆ ยกทวนขึ้นมาตั้งรับกับศัตรู ดูเหมือนเชื่องช้า ตัวทวนค่อยๆ เกิดเงามายาเป็นชุด ที่จริงรวดเร็วมาก หัวทวนแทบจะชี้ไปข้างหน้าอย่างฉับพลัน ชี้แน่วแน่ไปทางปีศาจโลหิตที่พุ่งเข้ามา
จงหลีค่วยกลับตัวเร่งไล่ตามปีศาจโลหิต แต่ปีศาจโลหิตที่พรวดพราดเข้ามากลับทำสีหน้าประหลาด พบว่าลักษณะท่าทางของเหมียวอี้เหมือนจะเปลี่ยนไปในชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ยกทวนขึ้นมา ราวกับร่างกายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทวน เหมียวอี้จ้องนางด้วยแววตาเงียบขรึม ลึกล้ำ เยือกเย็น สีหน้าสงบนิ่ง ท่าทางเตรียมพร้อมโจมตี เหมือนจะพุ่งทะลักออกมา
ในชั่วขณะนั้น ปีศาจโลหิตยังนึกว่าตัวเองมองผิดคน ไม่เคยเห็นสภาพแบบนี้จากตัวเหมียวอี้มาก่อน
นี่รู้ตัวว่าหนีไม่พ้นเลยเตรียมตัวจะสู้ตายเหรอ? ปีศาจโลหิตทำสีหน้าตื่นเต้นดุร้าย นางไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาเลย พอถลันตัวมาถึง ก็ฟันดาบทันที
“หลีกไป!” จงหลีค่วยตะโกนเสียงดัง
“ตาย!” เหมียวอี้พลันตะโกนเกรี้ยวกราดเสียงดัง สิ่งที่ตามมาคือพลังอิทธิฤทธิ์ที่กระเพื่อมกระจายไปยังจักรวาลอันกว้างใหญ่ ทำให้พลังที่เพิ่มถึงขีดสุดของตนเหมือนถูกจุดไฟในชั่วพริบตาเดียว พลังอิทธิฤทธิ์ที่ก่อตัวในร่างกายปล่อยออกมาอย่างฉับพลัน
เกราะทอง ทวนสีทองเปล่งแสงสีม่วงออกมาพร้อมกัน ราวกับดอกไม้พร่างพรายเบ่งบานอย่างฉับพลัน เหมือนพระอาทิตย์ยามเช้าที่เปล่งแสงสีทองตรงเส้นขอบฟ้า ราวกับมีหมอกสีม่วงลอยมาจากทิศตะวันออกยามพระอาทิตย์ขึ้น สว่างไสวแวววาวน่าครั่นคร้าม
หนึ่งทวน สองทวน สามทวน สี่ทวน…
ทวนแล้วทวนเล่า แทงสังหารทวนแล้วทวนเล่าติดต่อกัน กลืนเข้าคายออก รวดเร็วว่องไว ยากจะบรรยายได้ ทำให้คนตาลายเพราะมองไม่ทัน
หนึ่งทวนสิบสังหาร ตอนอยู่ระดับบงกชม่วง เหมียวอี้ก็ไม่เคยใช้กระบวนท่านี้อีกเลย พอมาใช้ท่านี้อีกครั้งตอนอยู่ระดับบงกชทอง เหมียวอี้เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอานุภาพมากมายขนาดไหนกันแน่ มีเพียงความเร็วที่ทำให้คนมองไม่ทัน บนหัวทวนที่แทงออกมามีจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลือง ราวกับเป็นไข่มุกสีดำเม็ดหนึ่งที่กำลังหมุนวน เหมือนเป็นหลุมดำของประตูดวงดาวที่หดเล็กลงกว่าเดิมหลายเท่า
ตอนออกทวนครั้งแรก ดาบนกเป็ดน้ำฟันที่หัวทวนในแนวเฉียง ทั้งสองฝ่ายวรยุทธ์ต่างกันมาก บวกกับความคมกริบของดาบนกเป็ดน้ำ หัวทวนจึงโดนฟันกระเด็นออกไปราวกับเต้าหู้โดนมีดหั่น
หัวทวนที่กระเด็นออกไปยังคงเคลื่อนที่เร็วมาก ยิงไปทางจงหลีค่วยที่กระโจนเข้ามาพอดี จงหลีค่วยไม่แยแส ใช้กระบี่ในมือปัดลวกๆ หนึ่งที โดนจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองที่อยู่บนหัวทวนพอดี
บึ้ม! เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น กระบี่ในมือจงหลีค่วยสะเทือนจนแทบหลุดมือ สะเทือนแขนจนชา ร่างที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงก็ยิ่งกระเด็นถอยหลังไปหลายจั้ง
จงหลีค่วยเรียกได้ว่าพลันมองไปที่เหมียวอี้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา ไม่ค่อยเข้าใจว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร
ทวนสีทองที่ไร้หัวทวนพลันอับแสงลง เมื่อขาดอานุภาพดั้งเดิมของทวนวิเศษขั้นสี่ จุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองบนหัวทวนก็หายไปด้วยเช่นกัน
แต่พอเหมียวอี้ใช้กระบวนท่านี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ควบคุมไม่อยู่แล้วเช่นกัน การแทงสังหารยังคงดำเนินต่อไป
แขนของปีศาจโลหิตสะเทือนจนรู้สึกชาเล็กน้อย นางมองไปที่เหมียวอี้อย่างไม่เชื่อสายตา นึกไม่ถึงว่าอานุภาพยามเหมียวอี้ออกทวนจะน่าหวาดกลัวขนาดนี้
ดาบแรกที่ฟันออกไปยังไม่ทันชักเก็บเข้ามา ทวนครั้งที่สองก็แทงเข้ามาแล้ว นางหลบไม่ทันไปชั่วขณะ เป็นเพราะเหมียวอี้ใช้ทวนได้รวดเร็วเกินไปจริงๆ เร็วจนแทบจะกดเข้ามาพร้อมกัน ขณะกำลังฉุกละหุก ปีศาจโลหิตใช้ดาบโลหิตอีกด้ามกวาดฟันเข้ามาอย่างรวดเร็ว แกร๊ก! ด้ามทวนกระเด็นเฉียงออกไปอีกครั้ง
ตอนทวนแทงเข้ามาครั้งที่สาม ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็หลบไม่ทันแล้ว เรียกได้ว่าตกใจมากจนหน้าถอดสี ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ชัดเจน วิชาทวนที่รวดเร็วขนาดนี้ทำไมถึงไม่หมดไปเสียที ไม่กล้าดันทุรังปะทะตรงๆ อีกแล้ว ทั้งตัวจึงระเบิดกลายเป็นเงามายาเลือดสิบร่างอย่างรวดเร็ว
จากนั้นลำแสงแปดสายจากเงามายาเลือดทั้งสิบก็ยิงตามมาติดๆ เงามายาเลือดทั้งสิบแทบจะระเบิดพร้อมกัน ลำแสงแปดสายราวกับลูกธนูแปดดอกที่ยิงเรียงออกมา ตอนที่เงามายาเลือดทั้งสิบยังไม่กระจายตัวออกไปจนหมด ก็ยิงโดนเป้าหมายไปแล้วหลายครั้ง
มีเพียงเงามายาเลือดสองร่างที่หนีออกไป ส่วนลำแสงสีเลือดอีกแปดร่าง มีเจ็ดร่างที่โดนแทงจนพังทลายลง หนึ่งในลำแสงพวกนั้นปรากฏร่างของปีศาจโลหิต “โอ้ย…” เสียงครางเจ็บปวดดังขึ้น โดนทวนแทงที่จุดสำคัญ โดนตรงแก้มก้นข้างหนึ่ง!
มหาอิทธิฤทธิ์หลีกโลหิตของนาง ไม่ใช่การกลายร่างเป็นสิบร่างในเวลาเดียวกัน แต่เป็นการใช้วิชาแยกร่างพรางตาชนิดหนึ่ง ทำให้คนแยกไม่ออกว่าร่างไหนคือร่างจริง ร่างไหนคือร่างปลอม ส่วนร่างจริงของนางก็ซ่อนอยู่ในนั้น ในบรรดาเงามายาเลือดสิบร่างเมื่อครู่นี้ เหมียวอี้ไม่รู้ด้วยว่าร่างไหนคือร่างจริง เพียงแต่แปดทวนนั้นโจมตีออกไปอย่างครอบคลุม ทำให้โอกาสโจมตีโดนเป้าหมายมีสูงมาก เขาก็แค่บังเอิญโจมตีโดนเป้าหมายเท่าก็นั้นเอง
แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ปีศาจโลหิตทนไม่ไหวแล้ว ถึงแม้หัวทวนจะโดนนางฟันจนหัก แต่ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ด้ามทวนก็โดนนางฟันในแนวเฉียงจนหักเช่นกัน จุดที่โดนฟันในแนวเฉียงเกิดเป็นรอยแหลมคม จึงแทงเข้าก้นของนางได้อย่างไม่มีปัญหา
สิ่งที่ทำให้ปีศาจโลหิตกลัวก็คือ บนด้ามทวนนั้นยังมีของอะไรบางอย่างที่นางไม่รู้จักอยู่ด้วย ไม่น่าเชื่อว่ามันจะทะลุเกราะเลือดของนางได้อย่างง่ายดาย ตอนที่แทงเข้ามาในก้นของนาง ภายใต้ความเจ็บปวดมหาศาลยังมีความร้อนรุ่มกลุ่มหนึ่งไหลเข้าสู่ร่างกาย นางรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของน้ำเลือด สังเกตพบความไม่ชอบมาพากลทันที บนหัวทวนของอีกฝ่ายมีลับลมคมในแน่นอน
ส่วนอีกด้านหนึ่ง จงหลีค่วยที่ไล่ตามเข้ามาก็ฟันกระบี่บินสายหนึ่งเข้ามาแล้ว
ภายใต้ความวิตกกังวล ปีศาจโลหิตฟาดฝ่ามือสีเลือดขนาดใหญ่ออกมาทีหนึ่ง ฝ่ามือของปีศาจโลหิตฟาดโดนเหมียวอี้ที่กำลังหมดแรงพอดี ในขณะนี้ เหมียวอี้ปล่อยมือจากอาวุธและโบกแขนออกมา ไขว้แขนสองข้างปกป้องใบหน้าเอาไว้
ปั้ง! เหมียวอี้เงยหน้ากระอักเลือดสดอย่างบ้าคลั่ง เกราะทองบนตัวโดนโจมตีจนอับแสงลง ทั้งตัวสะเทือนจนกระเด็นถอยหลังอย่างรวดเร็ว
เสียงโช้งเช้งพลันดังขึ้น ตอนนี้จงหลีค่วยปะทะเดือดกับปีศาจโลหิตแล้ว เดิมทีเหมียวอี้ไม่น่าจะได้รับบาดเจ็บอะไร แต่เกิดเหตุไม่คาดคิดกับหัวทวนที่โดนฟันกระเด็น ทำให้จงหลีค่วยมาถึงช้านิดหน่อย มาช่วยไว้ไม่ทัน ทำให้เหมียวอี้โดนฟาดไปหนึ่งฝ่ามือ
หลังจากปะทะกันได้ไม่กี่กระบวนท่า ในดวงตาปีศาจโลหิตฉายแววหวาดกลัว ราวกับหมดกำลังใจต่อสู้ ยังไม่ทันมีท่าทีว่าจะแพ้ นางก็ระเบิดกลายเป็นเงามายาเลือดสิบร่างอีกแล้ว
จงหลีค่วยไล่โจมตีโดนร่างร่างหนึ่งราวกับโชคช่วย ร่างนั้นระเบิดกลายเป็นสิบร่างอีกครั้ง เงามายาเลือดร้อยร่างกระจัดกระจายไปยังจุดลึกของท้องฟ้า
เมื่อเผชิญสถานการณ์แบบนี้ จงหลีค่วยก็อับจนหนทางเหมือนกัน ขณะมองดูเงามายาเลือดเลือดพวกนั้นแยกย้ายกันไปไกล เขาก็ไม่รู้จะไล่ตามไปที่ร่างไหน
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาครุ่นคิดเรื่องนี้ เขารีบถลันตัวเลี้ยวกลับมา ไล่ตามเหมียวอี้ที่หลุดลอยไปไกลเนื่องจากอยู่ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วง
เขาตามเข้ามาดึงแขนเหมียวอี้เอาไว้ แล้วมองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่แปลกมาก การออกทวนอันน่าทึ่งของเหมียวอี้เมื่อครู่นี้ เขาเองก็ได้เห็นกับตาแล้ว รู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ
เห็นดวงตาเหมียวอี้พร่าเลือนไร้แวว สีหน้าซีดขาว ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการให้เหมียวอี้ทันที
ผลก็คือพบว่าเหมียวอี้ไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง ถึงอย่างไรเจ้าเด็กนี่ก็ปกป้องชีวิตตัวเองจนชินแล้ว สวมเกราะรบป้องกันไว้ตั้งแต่การต่อสู้ยังไม่ทันเริ่ม เกราะรบของตำหนักสวรรค์ก็ไม่ใช่เล่นๆ มีพลังป้องกันดีมาก โดนฝ่ามือของปีศาจโลหิตครั้งเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เกราะรบตำหนักสวรรค์บนตัวเหมียวอี้พัง แต่ถ้าเป็นการโจมตีอย่างจริงจัง แบบนั้นเหมียวอี้ก็อาจจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ยาก
ส่วนอาการบาดเจ็บที่ได้รับ เจ้าเด็กนี่ก็ปกป้องชีวิตจนชินแล้วเช่นกัน กินยาเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนยังไม่โดนโจมตี เจ้าตัวกลืนสมุนไพรเซียนซิงหัวเตรียมไว้สำหรับการบาดเจ็บ สมุนไพรเซียนซิงหัวในร่างกายกำลังออกฤทธิ์ อาการบาดเจ็บน่าจะฟื้นตัวเร็วๆ นี้ ส่วนอานุภาพของเลือดปีศาจในฝ่ามือปีศาจโลหิต ก็ทำอะไรเจ้าเด็กนี่ไม่ได้เช่นกัน
สิ่งเดียวที่ทำให้จงหลีค่วยขมวดคิ้วก็คือ พลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ใกล้จะแห้งเหือดแล้ว จิงชี่เสินก็ยิ่งเซื่องซึมจนน่าตกใจ ราวกับจะขาดใจในฉับพลันทันที ทั้งตัวแทบจะเหมือนผีดิบ ดูเหมือนไม่ใช่เพราะได้รับบาดเจ็บ จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “สภาพเจ้าในตอนนี้ เป็นเพราะใช้วิชาทวนเมื่อครู่นี้เหรอ?”
เหมียวอี้คลี่ปากที่เปื้อนเลือดยิ้มอย่างไร้เรี่ยวแรง แล้วถามเสียงอ่อนว่า “ปีศาจโลหิตล่ะ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ จงหลีค่วยก็กล่าวอย่างอับอายว่า “พูดแล้วก็ละอายใจ ขนาดเจ้ามีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งยังทำนางบาดเจ็บได้ แต่ข้ากลับปล่อยนางหนีไปโดยไม่เจ็บตัวเลยสักนิด”
เหมียวอี้ยิ้มขื่นขมในใจ ตัวเองย่อมรู้สภาพของตัวเองดีที่สุด ตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปีศาจโลหิตเลย เป็นเพราะปีศาจโลหิตไม่รู้สถานการณ์เอง อย่างเช่นเมื่อครู่นี้ ถ้าปีศาจโลหิตไม่ใช้ดาบฟันทวนของเขา แต่เปลี่ยนเป็นตีให้ทวนเขาหลุดมือแทน อาศัยวรยุทธ์ของปีศาจโลหิต ก็สามารถทำให้ทวนของเขาหลุดมือได้เลย ถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงไม่ได้ใช่ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารที่เป็นแผนสำรองหรอก เขาคงตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจโลหิตไปแล้ว ต่อไปถ้าได้สู้กับปีศาจโลหิตอีกครั้ง ปีศาจโลหิตเคยเสียเปรียบมาแล้วครั้งหนึ่ง เกรงว่าครั้งหน้าคงไม่โชคดีแบบนี้แล้ว
“ลุงหนวด ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก มหาอิทธิฤทธิ์หลีกโลหิตของปีศาจตนนั้นร้ายกาจจริงๆ หนีไปได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา” เหมียวอี้พูดปลอบใจอย่างไร้เรี่ยวแรง ตอนนี้ชีวิตของตนอยู่ในมืออีกฝ่าย ไม่มีกำลังจะโต้ตอบเลยแม้แต่น้อย
จงหลีค่วยส่ายหน้า แล้วกล่าวอย่างสงสัยว่า “เรื่องนี้มีลับลมคมในบางอย่าง นางไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงอะไร ในเมื่อกล้าพุ่งเป้ามาที่พวกเราสองคน ทั้งยังมีมหาอิทธิฤทธิ์หลีกโลหิตคอยช่วย ทำไมหนีไปทั้งๆ ที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะแพ้?”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ อย่างหมดแรง “เหตุผลไม่ซับซ้อน ข้าเอาคืนนางแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันแล้ว นางวางยาพิษข้า ข้าก็วางยาพิษนางเหมือนกัน บนหัวทวนข้ามีพิษ ถ้านางยังไม่หนีไป แล้วพิษกำเริบขึ้นมา ถึงตอนนั้นอยากจะหนีก็หนีไม่รอดแล้ว ต้องตายด้วยน้ำมือข้าแน่นอน”
จงหลีค่วยมึนงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจกระจ่างทันที “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง! วางยาพิษจนนางตายได้เลยรึเปล่า?”
“ไม่รู้สิ!” เหมียวอี้ไม่ยอมเปิดเผยความจริง ถ้าให้คนอื่นรู้ว่าตนมีพิษที่ยากจะหายาถอนได้ ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร แต่เขาเดาว่าครั้งนี้ปีศาจโลหิตคงจะตายแน่นอน ยังไม่เคยมีใครที่โดนเปลวเพลิงไร้รูปร่างนี้แล้วรอดชีวิตไปได้ ที่เขายอมเสี่ยงอันตรายครั้งนี้ สุดท้ายก็กำจัดภัยใหญ่ที่กำลังจะตามมาได้แล้ว
พอได้ยินคำว่า ‘ไม่รู้สิ’ จงหลีค่วยก็เสียดายอยู่บ้าง ถามอีกว่า “ที่เจ้าออกทวนเมื่อครู่นี้มันคืออะไรกันแน่ บนหัวทวนมีจุดสีดำที่มีอานุภาพมากขนาดนี้ เกือบทำให้กระบี่ของข้าหลุดมือแล้ว”
เหมียวอี้เองก็สังเกตเห็นแล้วเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนั้นสมาธิจดจ่ออยู่ที่การออกทวน ไม่ได้แบ่งสมาธิมาคิดถึงปัญหานี้ พอลองมาคิดดูตอนนี้ ก็พบว่าตัวเองเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเช่นกัน เมื่อก่อนตอนใช้กระบวนท่าหนึ่งทวนสิบสังหารก็ไม่เคยเห็น จึงส่ายหน้าตอบว่า “ข้าเองก็เพิ่งสังเกตเห็นเป็นครั้งแรก”
เมื่อเห็นเหมียวอี้อ่อนแรงจนหมดสภาพ ตาใกล้จะปิด จงหลีค่วยก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก “ฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์เป็นเรื่องง่าย แต่สูญเสียจิงชี่เสินไปมากขนาดนี้ ต้องค่อยๆ ฟื้นฟู เกรงว่าคงตอนนอนหลับไปสักระยะถึงจะฟื้นฟูกลับมาได้ ข้าเก็บเจ้าไว้ในกระเป๋าสัตว์แล้วกัน เจ้าก็พักผ่อนอยู่ในนั้น พอกลับถึงปราสาทดำเนินนภา เจ้าก็คงจะฟื้นตัวพอดี”
ถ้าไม่ใช่คนที่เชื่อใจกันจริงๆ คนทั่วไปก็ไม่อยากโดนเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์เลย ไม่อย่างนั้นถ้าอีกฝ่ายเล่นไม่ซื่อนิดเดียว ตัวเองก็รักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว เพียงแต่สภาพในตอนนี้ไม่ได้ดีกว่าถูกเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์สักเท่าไร เหมียวอี้ทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆ จะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้
จงหลีค่วยเก็บเขาเข้าในกระเป๋าสัตว์โดยตรง แล้วมองไปที่ท้องฟ้ารอบๆ หลังจากแยกแยะทิศทางได้แล้ว ก็เหาะออกไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางยังคอยช่วยเปลี่ยนอากาศให้เหมียวอี้ที่กำลังนอนหลับลึกด้วย…