พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 947
เจ้าบ้านี่ทำเหมือนป้องกันโจร เหมียวอี้ถลึงตาจ้องจงหลีค่วยอย่างหงุดหงิด และทำได้เพียงเก็บแผนที่ดาวเอาไว้
กลับเป็นหมิงจ้าวที่หันมาองแวบหนึ่ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ดูแผนที่ดาวนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรก็มาถึงที่นี่แล้ว สุดท้ายก็รู้อยู่ดี ขอแค่ไม่ปล่อยข่าวให้คนนอกรู้ก็พอ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหมียวอี้กับจงหลีค่วยก็สบตากันแวบหนึ่ง
ส่วนหมิงจ้าวก็โบกมือ นำทุกคนเหาะอ้อมดาวเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้าไป จนกระทั่งปรากฏป่าทึบเขียวขจีอีกด้านหนึ่ง ถึงได้นำทุกคนเลี้ยวฝ่าท้องฟ้าเข้าไป
เบื้องล่างเป็นป่าไม้โบราณที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ตัวอยู่บนฟ้ามองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ทำให้คนรู้สึกตกตะลึง แม่น้ำหลายสายตัดสลับกันราวกับสายผ้า
พวกเขาเหาะลงจากฟ้า ลอยมาเหยียบลงบนยอดพุ่มของต้นไม้โบราณสูงระฟ้าบนยอดเขา บนพุ่มไม้ที่กว้างใหญ่ คนสิบกว่าคนที่เหยียบลงบนนั้นดูเล็กลงราวกับหมากล้อมที่ตกลงบนกระดาน ราวกับนกกระยางขาวหลายตัวที่บินมาเกาะกิ่งไม้ จะเห็นได้ว่าต้นไม้ต้นนี้ใหญ่ขนาดไหน
เหมียวอี้เดาะลิ้นขณะมองไปรอบๆ ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนได้มาที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้โบราณบนเกาะศักดิ์สิทธิ์ก็ใหญ่แบบนี้ และป่าไม้โบราณของที่นี่ก็ไม่ได้มีขอบเขตกว้างใหญ่เท่าเกาะศักดิ์สิทธิ์แห่งเดียว แต่มีพื้นที่เท่าเกาะศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทำให้คนตกตะลึงขนาดไหน ต่อให้เป็นนักพรตที่มีพลังอิทธิฤทธิ์สูงส่ง เมื่อมาเจอกับกลิ่นอายของป่าไม้ที่กว้างใหญ่ไพศาล ก็ยังรู้สึกได้ว่ายามเผชิญหน้ากับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ตัวเองนั้นเล็กจ้อยราวกับมดตัวหนึ่ง
ทุกคนหันมองดูโดยรอบ พบว่าภูเขาสูงที่อยู่ใต้เท้าและภูเขาสูงอีกสองลูกที่อยู่ทางซ้ายและขวาไกลๆ เหมือนจะตั้งอยู่รวมกันเป็นรูปสามเหลี่ยม หมิงจ้าวหยิบม้วนหนังแผนที่ออกมาเทียบดูอีกครั้ง แล้วพยักหน้าบอกว่า “ศิษย์พี่รองเจ้าสำนักนำพวกเราร่วมศึกษาค้นคว้ามานานแล้ว สุดท้ายก็แน่ใจว่าสถานที่ที่ระบุไว้บนแผนที่อยู่ที่ดาวแมกไม้แห่งนี้ และสามจุดสุดท้ายที่ระบุไว้บนแผนที่ก็คือภูเขาสามลูกนี้ พอมาถึงที่นี่ก็ไม่มีคำบรรยายแล้ว คาดว่าที่ซ่อนสมบัติน่าจะอยู่ระหว่างภูเขาสามลูกนี้ จะว่าไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนข้าก็เคยมาที่นี่นะ นึกไม่ถึงว่าที่ซ่อนสมบัติจะเกี่ยวข้องกับที่นี่ น่าขำที่ในปีนั้นข้าไม่พบความแปลกประหลาดอะไร ตอนนี้กับต้องดูให้ละเอียดสักหน่อย”
“ดาวแมกไม้?” เหมียวอี้ถามอย่างงุนงง “หรือว่าที่นี่คือที่อยู่ของปราสาทแมกไม้?”
ทุกคนหันมามองเขา แล้วพากันยิ้มบางๆ จงหลีค่วยพูดดูถูกว่า “เหลวไหล!”
หมิงจ้าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “ฆราวาสหนิว ระหว่างทางที่อ้อมไปอ้อมมาและปิดบังมากมายก็เพราะไม่มีทางเลือก หวังว่าจะเข้าใจกันหน่อยนะ เพราะเรื่องนี้ร้ายแรงมาก ถ้าเคล็ดวิชานั้นเล็ดรอดออกไป ก็จะทำให้พวกลัทธิมารกำเริบเสิบสาน” จากนั้นก็หันไปเตือนคนอื่นๆ “ทุกคนปฏิบัติการที่นี่อย่างระมัดระวังหน่อย จะได้ไม่เกิดการปะทะกับปราสาทแมกไม้โดยไม่จำเป็น ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของปราสาทแมกไม้ พวกเราต้องปฏิบัติตามกฎของพวกเขา อย่าบุ่มบ่ามทำอะไรเกินเลย”
“รับทราบ!” ทุกคนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง
ไฉจวิ้นถามอีกว่า “อาจารย์อา ขอบเขตระหว่างสามภูเขากว้างใหญ่ขนาดนี้ ถ้าอยากจะหาเป้าหมายให้พบก็คงจะไม่ง่าย บนแผนที่ไม่มีข้อชี้แนะอะไรแล้วเหรอ?”
หมิงจ้าวส่ายหน้า “ข้าไม่เห็นว่ามีข้อชี้แนะอะไร แต่เพื่อให้ทุกคนค้นหาได้สะดวก ข้าเตรียมแผนที่ไว้ให้ทุกคนแล้ว อาจจะทำให้ทุกคนเจอเบาะแสอะไรตอนที่ค้นหา” พูดจบก็พลิกฝ่ามือนำสำเนาแผนที่ห้าฉบับส่งให้ไฉจวิ้น “ทุกคนจับคู่กันสองคน หนึ่งคู่ดูหนึ่งฉบับ แบ่งเขตที่นี่เป็นหกเขตแล้วแยกกันค้นหา จำไว้ว่าห้ามให้แผนที่ตกอยู่ในมือคนอื่น ถ้าพบปัญหาอะไรขึ้นมา ก็ทำลายแผนที่ทิ้งทันที”
“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับคำสั่งอีกครั้ง ไฉจวิ้นเองก็หยิบแผนที่มาฉบับหนึ่งเช่นกัน แล้วแจกจ่ายอีกสี่ฉบับที่เหลือ
เหมียวอี้มองตาปริบๆ อยากจะหยิบแผนที่มาศึกษาดูให้ละเอียดเหมือนกัน เมื่อถึงเวลาที่รอคอยมากที่สุดแบบนี้ เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองแย่กว่าคนอื่น คนอื่นอ่านไม่ออก แต่เขารู้สึกว่าตัวเองอาจจะอ่านออก เขาร้อนใจอยากจะหยิบแผนที่มาเทียบดูกับสถานที่จริง
ใครจะคิดว่าหมิงจ้าวจะกล่าวว่า “ฆราวาสหนิว เจ้ากับจงหลีค่วยไปกับข้าแล้วกัน”
เหมียวอี้พูดไม่ออก ความคิดนั้นถูกทำลาย นี่กำลังจับตาดูเขา หรือกำลังปกป้องเขาอยู่กันแน่ล่ะ?
สิบคนที่เหลือจับคู่คนวรยุทธ์สูงกับวรยุทธ์ต่ำ กลายเป็นห้ากลุ่ม ถ้ารวมกลุ่มของหมิงจ้าวที่มีสามคนไปด้วยก็มีทั้งหมดหกกลุ่ม
ตอนนี้หมิงจ้าวดึงหน้ากากออกแล้ว และบอกกับทุกคนว่า “ทุกคนเลิกปลอมตัวเถอะ ที่นี่มีปีศาจฝูงหนึ่งที่หน้าตาเหมือนมนุษย์ นิสัยใจดีซื่อสัตย์ ไม่แย่งแก่งอะไรกับใคร นิสัยเข้ากับกับป่าผืนนี้ได้ดี ได้รับการปกป้องจากปราสาทแมกไม้ คอยจัดการดูแลป่าผืนนี้ให้ปราสาทแมกไม้มาโดยตลอด ไม่ชอบคนหลอกลวงและคนปลอมตัว ไม่อย่างนั้นจะถูกมองว่าเป็นจุดด่างพร้อยของพวกเขา พวกเขานับว่าเป็นเจ้าของของที่นี่ ถ้าเพ่นพ่านไปทั่วโดยไม่ได้บอกพวกเขาก่อน ก็จะถูกเข้าใจผิดได้ง่ายๆ ถึงตอนนั้นปราสาทแมกไม้คงไม่ปล่อยไปง่ายๆ เช่นกัน ดังนั้นพวกเราต้องไปเยี่ยมคารวะพวกเขาก่อนสักหน่อย”
ทุกคนไม่รู้เรื่องนี้เลย ทำได้เพียงเชื่อทุกอย่างที่เขาพูด แล้วอีกอย่าง ฐานะของ ‘อาจารย์อาผู้บัญชาการ’ ท่านนี้ก็เห็นๆ กันอยู่ การมาครั้งนี้ต้องเชื่อฟังเขา
หมิงจ้าวเหาะขึ้นมา แล้วทุกคนก็เหาะตามหลังเขาไป เหาะอยู่บนฟ้าที่ขนาบกับป่า ไม่นานในป่าก็มีปีศาจที่สวมชุดสีขาวพากันปรากฏตัว เหมียวอี้มองสำรวจด้วยความอยากรู้อยากเห็น พบว่าปีศาจพวกนี้หน้าตาเหมือนคนจริงๆ ด้วย จะบอกว่าต่างกับคนปกติมากก็ต่างมาก จะว่าไม่ต่างมากก็ไม่ต่างมาก
พวกเขาผิวขาวมาก แต่ละคนมีลูกตาสีฟ้าสวยงาม จมูกโด่งเป็นสัน ผมยาวสีเหลืองทอง ไม่มัดหรือเกล้าผม ปล่อยสยายไปข้างหลังตามธรรมชาติ อย่างมากก็สวมมงกุฎหญ้ากับห่วงที่สานจากไม้หวาย ผู้หญิงบางคนสวมมงกุฎดอกไม้ หูยาวจนประหลาดนิดหน่อย ยอดหูแหลมตั้งขึ้นมา
ผู้หญิงสวมกระโปรงยาวสีขาว แต่กลับไม่มีแขนเสื้อ เปลือยแขนขาวหมดจดทั้งสองข้าง สองเท้าที่อยู่ใต้กระโปรงก็เปลือยเช่นกัน ผู้ชายไม่ใส่กระโปร่ง แต่กลับใส่กางเกงสั้นเหนือเข่า เปลือยเท้าเช่นกัน คนที่นี่เหมือนจะไม่ใส่รองเท้ากันหมด
สรุปว่าคนที่นี่ ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็หน้าตางดงามกันทั้งนั้น เครื่องหน้างามประณีต สายเลือดแบบนี้… เหมียวอี้แอบเดาะชิ้นอย่างตกตะลึง สมกับเป็นปีศาจจริงๆ แต่เขากลับไม่เห็นกลิ่นอายมารปีศาจจากตัวคนพวกนี้เลย กลับเห็นแต่กลิ่นอายธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่เรียบง่ายหอมกรุ่น
เรียบง่ายก็ส่วนเรียบง่าย เมื่อมีกลุ่มคนบุกเข้ามาในอาณาเขตของอีกฝ่าย ก็ยังถูกขวางเอาไว้ ปีศาจหลายตนที่สวมกำไลแขนเผยร่างกายบึกบึนมาขวางทางไว้ แล้วถามว่า “พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาทำลายความสงบเงียบของพวกเรา?”
หมิงจ้าวยืนอยู่ข้างหน้าและกุมหมัดคารวะ “รบกวนไปแจ้งผู้อาวุโสมู่เซิน บอกว่าหมิงจ้าว สหายจากปราสาทดำเนินนภามาเยี่ยม”
ปีศาจที่นำหน้ามาขวางทางหันกลับไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง ปีศาจหญิงหนึ่งในนั้นเข้าใจที่เขาจะสื่อ จึงเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนคนทั้งสองฝ่ายก็ยืนเงียบหยั่งเชิงกันอยู่
ผ่านไปไม่นาน ปีศาจหญิงตนนั้นก็เหาะกลับมา ผู้ที่มาด้วยอีกคนคือสตรีวัยกลางคน พอหมิงจ้าวเห็นก็ยิ้มให้ ใช้มือข้างหนึ่งกดที่หัวใจแล้วโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ “มู่หลินหลาง ไม่เจอกันหลายปี สบายดีมั้ย?”
สตรีวัยกลางคนแสดงความเคารพกลับเช่นเดียวกัน “ไม่ทราบว่านายท่านหมิงจ้าวมาเยี่ยม ขออภัยที่ล่วงเกิน ผู้อาวุโสมู่เซินกำลังรออยู่ค่ะ” พูดจบก็ยื่นมือเชิญ
เป็นคนรู้จักจริงๆ ด้วย ปีศาจที่ขวางทางหลีกทางให้ทันที สายตาที่จ้องเขม็งคลายความระแวดระวังแล้ว แต่ละคนมากันใช้มือกดตรงหัวใจพลางโค้งกายต้อนรับ
หมิงจ้าวก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วเหาะเคียงข้างปีศาจหญิงที่ชื่อว่ามู่หลินหลางไปด้วยกัน ระหว่างนั้นก็พูดคุยกันไปด้วย ส่วนเหมียวอี้ก็ย่อมตามอยู่ข้างหลัง แต่ละคนเหลียวซ้ายแลขวา ต่างก็รู้สึกประหลาดใจกับที่แห่งนี้ ประเพณีของที่นี่แตกต่างจากที่อื่นอย่างเช็ดได้ชัด
พวกเขาเหาะไปเหยียบลงบนไหล่เขาแห่งหนึ่ง เหยียบลงใต้ต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้าต้นหนึ่งที่ใหญ่โตเป็นพิเศษ
สิ่งที่อยู่ตรงหน้ายังเรียกว่าต้นไม้ได้อีกเหรอ? ลำต้นใหญ่จนต้องใช้คนหลายร้อยคนโอบถึงจะมิด สูงตระหง่านโดดเด่น พุ่มของต้นไม้ราวกับเมฆคลุมผืนดิน บรรยายต้นไม้ทั้งต้นได้เพียงคำว่าใหญ่โตรโหฐาน บนต้นไม้มีโพรงไม้ที่เกิดตามธรรมชาติหลายโพรง มีทั้งเล็กมีทั้งใหญ่ ในโพรงไม้มีคนเข้าออก ถึงขั้นมีคนสร้างบ้านบนกิ่งไม้ด้วย ปีศาจเหล่านี้อาศัยว่าต้นไม้ต้นนี้เป็นบ้านขนาดใหญ่และอยู่อาศัยรวมกันเป็นกลุ่ม
นอกจากหมิงจ้าว สมาชิกคนอื่นๆ ที่เดินทางมาด้วยกันก็ไม่เคยเห็นต้นไม้ที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน จินตนาการไม่ออกเลยว่าต้องใช้เวลากี่ปีกว่าจะเติบโตจนใหญ่ขนาดนี้
บนต้นไม้ที่อยู่ใต้เนินเขาก็สร้างบ้านเอาไว้มากมายเช่นกัน มีทั้งชายทั้งหญิง ทั้งเด็กทั้งคนแก่ ทั้งชนเผ่าปีศาจใช้ชีวิตอันสงบสุขอย่างอิสระเสรี
ด้วยการเชื้อเชิญของมู่หลินหลาง หมิงจ้าวกับนางเดินขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ด้วยกัน ไม่ผิดหรอก พวกเขาเดินขึ้นไป เป็นเพราะต้นไม้ต้นนี้เก่าแก่เกินไป ส่วนรากกินพื้นที่ไปเยอะมาก ถึงได้ค้ำยันต้นไม้ที่ใหญ่โตขนาดนี้ไว้ได้ ก้านรากที่โผล่ออกมาด้านนอกล้วนเป็นบันไดสูงได้ทั้งนั้น ผิวไม้ที่ขรุขระของลำต้นก็สามารถใช้เท้าเหยียบขึ้นไปได้เลย ช่างทำให้คนได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่จริงๆ
ส่วนเหมียวอี้และคนอื่นๆ ก็ถูกเชิญไปยังส่วนรากที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่ง ที่นั่นมีโพรงไม้ธรรมชาติอีกโพรง คนหลายสิบคนเข้าไปนั่งกับพื้นได้สบายๆ
บรรดาปีศาจสาวที่สวมมงกุฎดอกไม้บนศีรษะเดินเนิบนาบเข้ามา นำผลไม้สดชนิดต่างๆ มาให้ มีหลายชนิดมากที่เหมียวอี้ไม่เคยเห็นมาก่อน สุราผลไม้ที่รินให้พวกเขาก็เป็นของเหลวสีเขียวสดชนิดหนึ่ง กลิ่นอ่อนๆ หอมสดชื่น เจือด้วยกลิ่นสุราเล็กน้อย
ขณะที่คนอื่นๆ กำลังสับสนว่าควรดื่มหรือไม่ควรดื่ม เหมียวอี้ก็ยกชามสุราที่ทำจากไม้ขึ้นมาชิมแล้ว เขาเดาะปากสองที สิ่งที่เข้าไปในปากค่อนข้างเหนียวข้น เย็นสดชื่นหวานอร่อย เจือด้วยรสสุราเล็กน้อย พอกลืนลงท้องไปแล้ว ในปากก็รู้สึกขมเฝื่อนนิดหน่อย แต่กลับเหนียวติดเต็มฟัน ถึงแม้จะได้รสชาติไปอีกแบบ แต่เหมียวอี้ก็ไม่ค่อยชิน จึงสุ่มหยิบผลไม้ประหลาดขึ้นมากัด พบว่ารสชาติใช้ได้เลย หวานกรอบ กัดเข้าปากแล้วหยุดเคี้ยวไม่ได้
จงหลีค่วยและคนอื่นๆ พากันมองไปที่เหมียวอี้พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย พบว่าเจ้าหมอนี่ช่างไม่ดูตาม้าตาเรือ ขนาดมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย แต่ก็ยังกล้ากินอาหารสุ่มสี่สุ่มห้า
หารู้ไม่ว่าบรรดาปีศาจสาวที่ยืนอยู่ตรงปากโพรงไม้พากันมองไปที่เหมียวอี้ด้วยแววตาอมยิ้ม สำหรับพวกนางแล้ว คนต่างถิ่นทำตัวซับซ้อนมาก สำหรับพวกนาง การกระทำของเหมียวอี้เหมือนเป็นการเชื่อใจและยอมรับพวกนางอย่างหนึ่ง
ที่จริงเหมียวอี้ไม่ใช่คนใสๆ เหมือนที่พวกนางคิด เจ้าหมอนี่เป็นพวกที่สารพัดพิษทำอะไรเขาไม่ได้ ไม่ได้หวาดกลัวอะไรเลย
เมื่อเห็นคนอื่นไม่มีท่าที่ว่าจะลงมือกิน ปีศาจสาวตนหนึ่งก็กล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าต้องการอะไรก็เรียกนะคะ เดี๋ยวจะมีคนเข้ามาเอง” พูดจบก็นำคนอื่นๆ ถอยออกไป
ตอนนี้เอง เหมียวอี้ที่กัดผลไม้ไปคำหนึ่งถึงได้ถามว่า “ผู้อาวุโสหมิงจ้าวคุ้นเคยกับที่นี่มากเลยเหรอ?”
ไฉจวิ้นตอบว่า “ข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง เคยได้ยินเกี่ยวกับที่นี่ด้วย ผู้อาวุโสหมิงจ้าวเหมือนจะเคยช่วยชีวิตคนที่นี่ไว้ จึงค่อนข้างสนิทกับผู้อาวุโสมู่เซิน นึกไม่ถึงว่าของสิ่งนั้นจะเกี่ยวข้องกับที่นี่ ถ้าไม่ได้มาที่นี่ เกรงว่าก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสหมิงจ้าวก็คงนึกไม่ถึงเหมือนกัน”
ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีคนนอก หลังจากที่ทุกคนตรวจสอบแล้วว่าในอาหารและเครื่องดื่มไม่มียาพิษ ถึงได้ลองชิมทีละอย่าง
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม หมิงจ้าวก็กลับมาแล้ว หลังจากนั่งลงที่หัวโต๊ะ ก็บอกกับทุกคนว่า “ข้าได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสมู่เซินแล้ว เขายอมให้พวกเราค้นหาของที่นี่ แต่ที่นี่มี ‘กิ่งหยกเหลือง’ จำนวนมากที่พวกเขาปลูกไว้ให้ปราสาทแมกไม้ ทุกคนอย่าไปแตะต้องซี้ซั้ว แล้วอย่าทำลายของที่อยู่บริเวณนี้ตามอำเภอใจ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะเริ่มปฏิบัติการ”
“อาจารย์อา วันนี้ยังเหลือเวลาอีกเยอะ ทำไมต้องเป็นพรุ่งนี้ล่ะ?” ไฉจวิ้นถาม
หมิงจ้าวยิ้มพร้อมตอบว่า “คืนนี้พวกเขาต้องการจัดพิธีให้พวกเรา ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่พวกเราอย่างเดียวหรอก ทุกครั้งเวลามีแขกมา พวกเขาก็จะจัดพิธีต้อนรับ เพื่อเลือกแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของพวกเขา”