พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 948
“แขกผู้มีเกียรติสูงสุด?” ทุกคนพึมพำเบาๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร
“อาจารย์อา ในบรรดาพวกเรา ท่านย่อมเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของพวกเขาอยู่แล้ว ยังต้องเลือกอีกเหรอ?” ศิษย์พี่รองหญิงเซี่ยหนานเอ๋อร์ถามอย่างแปลกใจ
หมิงจ้าวโบกมือพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “ไม่ใช่อย่างนั้น ต่อให้มีแขกมาแค่คนเดียว ก็ต้องจัดพิธีนี้อยู่ดี ไม่แบ่งแยกตามวรยุทธ์สูงต่ำ ฐานะหรือความอาวุโส ขอแค่ผ่านการทดสอบพิธีของพวกเขา ถึงจะได้กลายเป็นแขกที่มีค่าที่สุดของพวกเขา”
“อาจารย์อา ถ้าได้กลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดแล้วจะได้ประโยชน์อะไร?” จงหลีค่วยถาม
หมิงจ้าวส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว ในปีนั้นข้าเคยลองแล้ว แต่จนใจที่ไม่ผ่านการทดสอบ เลยไม่ได้กลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของพวกเขา ถึงอย่างไรเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เป็นแค่พิธีเดียวเท่านั้น ทำตามที่พวกเขากำหนดก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นถ้าไปยั่วให้พวกเขาไม่พอใจ ก็อาจจะนำปัญหาใหญ่มาสู่พวกเราได้ ถึงอย่างไรก็ยังต้องหาของในถิ่นของพวกเขา คิดเสียว่าทำให้ผ่านๆ ไปก็แล้วกัน”
“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับ
จากนั้นหมิงจ้าวก็เรียกรวมทุกคนอีกครั้ง ใช้มือแตะอะไรบางอย่าง แล้ววาดลักษณะทางภูมิศาสตร์ระหว่างภูเขาทั้งสามลูกบนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มแบ่งเขตการค้นหาที่เริ่มพรุ่งนี้เช้าให้คนทั้งหกกลุ่ม
หลังจากอธิบายภารกิจค้นหาชัดเจนแล้ว หมิงจ้าวก็เตือนอีกว่า “ทุกคนพยายามติดต่อกันเอาไว้ หลังจากหาของพบแล้ว เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น และอย่าบอกให้สมาชิกคนอื่นรู้ รวมทั้งข้าด้วยเหมือนกัน ให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้ติดต่อกับรองเจ้าสำนักโดยตรง ถึงตอนนั้นปรมาจารย์จะออกโรงนำพวกผู้อาวุโสมารับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่ไม่คาดคิด”
นี่เป็นการป้องกันแม้กระทั่งคนของตัวเอง เหมียวอี้พึมพำในใจ
“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับคำสั่งอีกครั้ง
พอคุยกันเสร็จแล้ว ทุกคนก็ยังไม่ได้แยกย้ายกันออกไปไหน ยังอยู่ในโพรงไม้เหมือนเดิม แต่ละคนนั่งสมาธิฝึกตนอยู่อย่างนั้น
เหมียวอี้กลับสงบจิตใจสงบใจไม่ได้ ในใจเหมือนโดนกรงเล็บแมวเกา สุดท้ายก็ไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “ผู้อาวุโสหมิงจ้าว ให้ข้าศึกษาแผนที่นั่นดูหน่อยได้มั้ย ไม่แน่ว่าข้าอาจจะพบเบาะแสอะไรก็ได้”
ทุกคนลืมตามองมาทันที เห็นเหมียวอี้ยิ้มแห้งอยู่อย่างนั้น ดูเขินอายมาก
หมิงจ้าวลังเลนิดหน่อย ก่อนจะโยนม้วนหนังแผนที่เข้ามา เหมียวอี้รับไว้แล้วขอบคุณ จากนั้นก็ไม่สนใจความคิดของคนอื่นแล้ว เอาแต่กางแผนที่ออกและตรวจดู
ภาพสตรีทะยานฟ้าดึงดูดความสนใจของเขา เมื่อเห็นภาพนี้ ความรู้สึกนึกคิดของเขาก็ไม่แคล้วต้องย้อนกลับไปที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งในปีนั้น เขาไม่มีทางแน่ใจว่าภาพนี้เหมือนกับภาพสลักที่อยู่บนหินของแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งทุกอย่างรึเปล่า แต่ภาพที่ติดอยู่ในความทรงจำบอกว่าเหมือนทุกอย่าง ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจำรายละเอียดทุกอย่างในภาพได้ชัดเจน ในตอนนั้นเขาไม่มีอารมณ์จะไปจดจำมัน
ที่สำคัญคือตัวอักษรสองแถวที่อยู่ข้างๆ หญิงสาวผู้กำลังทะยานสู่ฟ้าอย่างนิ่มนวลอ่อนช้อย : ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด!
เขากลับจำตัวอักษรทั้งหมดนี้ได้อย่างชัดเจน และเป็นเพราะตัวอักษรพวกนี้ เขาถึงได้มั่นใจว่าสภาพนี้เหมือนกับภาพสลักที่เขาเห็นที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งทุกประการ
แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเป็นสถานที่ฝังศพของจอมมาร ทำไมถึงมีภาพนี้อยู่ด้วย? เกี่ยวข้องอะไรกับแผนที่สมบัติที่ซ่อนเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินเอาไว้? หรือว่าจอมมารที่โดนทหารสวรรค์หนึ่งแสนนายไล่สังหารจนมาตายที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง จะเป็นราชันลัทธิมารในปีนั้น? ไม่อย่างนั้นทั้งสองจะมีของแบบเดียวกันโผล่มาได้อย่างไร?
เหมียวอี้คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ถูก เพราะเวลาไม่ตรงกัน แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเพิ่งปรากฏที่พิภพเล็กเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน แต่ราชันลัทธิมารของพิภพใหญ่กลับตายไปนานกว่าหนึ่งแสนปีแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะถ่อไปวาดภาพที่พิภพเล็ก แต่ที่ทั้งสองภาพเหมือนกันทุกประการ จะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ? หรือว่าเป็นผู้สืบทอดของราชันลัทธิมาร?
คิดไม่ตก คิดไม่ตกจริงๆ เขาได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ อยู่อย่างนั้น
หารู้ไม่ว่าหมิงจ้าวและคนอื่นๆ กำลังมองปฏิกิริยาของเขาอยู่ พบว่าเจ้าหมอนี่ตาเป็นประกายทันทีที่เปิดแผนที่ดู จากนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น บางครั้งก็เอามือลูบคางครุ่นคิด บางครั้งก็ส่ายหน้า ดูจากท่าทางแบบนั้นของเขา เหมือนจะอ่านอะไรบางอย่างออกแล้วจริงๆ
ทุกคนแอบส่งสายตาให้กัน แล้วจงหลีค่วยก็ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าอ่านอะไรออกเข้าแล้วล่ะ?”
“อย่าเอะอะ! ข้ากำลังคิด” เหมียวอี้ตอบโดยจิตใต้สำนึก ไม่ได้เงยหน้าเลยสักนิด ไม่เห็นจงหลีค่วยที่ถลึงตาจ้อง ทำท่าเหมือนอยากจะตบเขาสักที
หมิงจ้าวกลับยกมือเบาๆ บอกใบ้จงหลีค่วยว่าอย่าไปรบกวนเหมียวอี้ เพียงส่งสายตาบอกให้จงหลีค่วยจับตาดูเหมียวอี้ไว้ให้ดี เพราะท่าทางแบบนั้นของเหมียวอี้ไม่เหมือนการเสแสร้งแกล้งทำ เหมือนมองอะไรออกแล้วจริงๆ ถ้าเจ้าหมอนี่อ่านผลลัพธ์ออกจริงๆ ทุกคนก็จะได้ไม่ต้องลำบากหลับตาคลำหาในขอบเขตที่ใหญ่ขนาดนี้
อ่านไม่เข้าใจ! อ่านไม่ออก! เหมียวอี้เรียกได้ว่าเปลี่ยนท่าทางไม่หยุด บางครั้งก็ใช้มือสองข้างกอบขึ้นมาดู บางครั้งก็นอนคว่ำดู บางครั้งก็นอนหงายดู แต่ก็ยังอ่านไม่ออก ช่างแปลกะประหลาดจริงๆ แผนที่ซ่อนสมบัติไม่มีเครื่องหมายบอกตำแหน่งที่เป็นรูปธรรม วาดขอบเขตใหญ่ขนาดนี้ ให้คนหลับตาคลำหา นี่เป็นแผนที่ซ่อนสมบัติอะไรกันประสาอะไร ไม่สู้บอกไปตรงๆ ว่าอยู่ที่ดาวแมกไม้ก็สิ้นเรื่อง ยังจะเปลืองแรงวาดไปทำไมอีก
ดังนั้นสัญชาตญาณของเขาบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถ้าอ่านอะไรบนแผนที่ไม่ออก ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับอะไรบางอย่างที่อยู่นอกแผนที่รึเปล่า บางทีสิ่งที่อยู่นอกแผนที่ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญให้หาสถานที่นั้นได้แม่นยำจริงๆ แต่สิ่งที่อยู่นอกแผนที่ก็คือภาพผู้หญิงทะยานฟ้ากับตัวอักษรสองแถวนั่น แล้วด้านบนแผนที่ก็มีคำว่า ‘มาร’ กับ ‘ดิน’ แสดงสถานที่ซ่อนเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินเอาไว้โดยสังเขป
แต่เมื่อเหมียวอี้นำภาพกับตัวอักษรนั้นมาเทียบกับแผนที่ ก็พบว่ามันช่างเหมือนกับตำราสวรรค์[1] อ่านเบาะแสอะไรไม่ออกเลย เขาเองก็นับถือคนของปราสาทดำเนินนภาจริงๆ อาศัยแค่แผนที่ที่หัววัวไม่ตรงกับปากม้า[2]ฉบับนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะหาดาวแมกไม้พบจากจักรวาลอันกว้างใหญ่ มองออกเลยว่าปราสาทดำเนินนภาใช้ความคิดไปกับแผนที่นี้เยอะกว่าเขา ขนาดพวกนั้นยังไม่เข้าใจ ถ้าเขาอยากจะเข้าใจในทันที ก็เกรงว่าไม่น่าจะเป็นไปได้
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขารู้สึกแปลกใจ พอได้สติกลับมาก็เงยหน้ามองหมิงจ้าว ผลก็คือพบว่าไม่ใช่แค่หมิงจ้าว แต่ทุกคนกำลังจ้องเขาอยู่
เวรเอ๊ย! เวลาจ้องใครก็ไม่ควรจ้องแบบนี้รึเปล่า? ทำไมต้องจ้องข้าแบบนี้กันหมด? เหมียวอี้แอบด่าในใจ อย่าบอกนะว่ามีคนมากมายขนาดนี้ดูอยู่แล้วยังกลัวข้าจะแย่งแผนที่หนีไป?
“ฆราวาสอ่านอะไรออกแล้วใช่มั้ย?” หมิงจ้าวถามพร้อมรอยยิ้ม
เหมียวอี้ส่ายหน้า “เปล่าหรอก ข้าแค่สงสัยอะไรบางอย่าง ไม่ทราบว่าจะขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสได้หรือไม่?”
หมิงจ้าวพยักหน้า “ว่ามาได้เลย”
เหมียวอี้สะบัดแผนที่กางออก แล้วชี้ไปยังตัวอักษร ‘ดินมาร’ พลางถามว่า “ผู้อาวุโสไม่รู้สึกว่ามันแปลกเหรอ? ใครกันที่อาศัยแค่สองคำนี้ก็ตัดสินออกมาแล้วว่านี่คือสถานที่เก็บเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดิน? มิหนำซ้ำ ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรข้าก็นึกเชื่อมโยงไปถึงสิ่งนั้นไม่ได้ ถ้าข้าไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกแล้วมาอ่านเจอ ก็คงนึกว่า ‘ดินมาร’ นี้หมายถึงดินแดนพักพิงของลัทธิมาร หมายถึงอาณาเขตของมาร แผนที่ที่นำทางมาสู่อาณาเขตของมาร อย่าบอกนะว่าผู้อาวุโสคิดเชื่อมโยงไปว่าเป็นเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมภาคดินทาน?”
“เอ่อคือ…” หมิงจ้าวส่ายหน้าเล็กน้อย เขาไม่เคยตั้งคำถามนี้เลยจริงๆ
กลับเป็นจงหลีค่วยที่ผลักไหล่เหมียวอี้เบาๆ “เจ้าโง่รึเปล่า ตอนที่บังคับให้นักพรตมารบอก เจ้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ไม่ใช่เจ้าบ้านั่นหรอกเหรอที่บอกเรา?”
เหมียวอี้จึงกล่าวว่า “ใช่แล้วล่ะ เขาบอกพวกเราแบบนั้น ข้ารู้ด้วยว่าพวกเขาก็แย่งมาเหมือนกัน แต่เจ้าของที่ถือมันไว้ก่อนหน้านี้จะรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นสถานที่ซ่อนเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดิน? ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ในเมื่อเขารู้แล้วทำไมถึงไม่ไปหาเองล่ะ? แน่นอน ท่านอาจจะบอกว่าเขาเป็นคนที่คอยเก็บรักษาแผนที่นี้ไว้ แต่คนที่สามารถแก็บรักษาสมบัติล้ำค่ามหาศาลได้หลายปีขนาดนี้ จะต้องเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่แน่นอน ข้าคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนประเภทที่เปิดเผยความลับได้ง่ายๆ ต่อให้โดนคนแย่งสมบัติไป รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าต่อให้คายความลับนี้ก็ต้องตายอยู่ดี ถามหน่อยว่าคนที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่แบบนั้นจะยอมคายความลับได้ยังไง?”
เมื่อได้ยินเหมียวอี้พูดแบบนี้ ทุกคนก็ขมวดคิ้วทันที มีบางคนพยักหน้าช้าๆ รู้สึกว่าที่เขาพูดก็มีเหตุผล
“เจ้าหนุ่มนี่อยากจะพูดอะไรกันแน่?” จงหลีค่วยถามเสียงต่ำ
เหมียวอี้เอามือจับศีรษะ จ้องแผนที่ทางซ้ายทีขวาที แล้วบอกว่า “หลังจากข้าพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว ทำไมรู้สึกเหมือนมีคนจงใจปล่อยมันออกมา เบื้องหลังไม่มีลับลมคมในอะไรใช่มั้ย? จะมีกับดักอะไรรึเปล่า?”
ทุกคนหัวใจกระตุกวูบ เหมือนผวาตื่นจากความฝัน รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้จริงๆ ทำไมพวกเรานึกไม่ถึงเลยล่ะ? สายตาของทุกคนไปรวมอยู่ที่หมิงจ้าว
หมิงจ้าวเม้มริมผีปากแน่นครู่หนึ่ง หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ก็รีบนำระฆังดาราออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า
ทุกคนเข้าใจแล้ว ตอนนี้กำลังติดต่อกับทางปราสาทดำเนินนภา หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ระฆังดาราที่อยู่ในมือหมิงจ้าวก็มีเสียงตอบกลับมา หมิงจ้าวเก็บระฆังดารา หันมองรอบวงแล้วถอนหายใจ “รองเจ้าสำนักก็บอกว่าใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทว่าลมพายุจะเกิดได้ ก็ต้องมีต้นปลายปลายเหตุแน่นอน ไม่ว่าจะจริงหรือโกหก ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว ก็คงไม่ดีที่จะเลิกพิสูจน์ตอนนี้ ถ้าพวกเราคิดมากไปเอง จะไม่เป็นการพลาดโอกาสหรอกเหรอ? ดังนั้นรองเจ้าสำนักจึงสั่งให้พวกเราปฏิบัติตามแผนการ ส่วนพวกเขาก็จะเตรียมการเพิ่มเติม จะเชิญผู้อาวุโสท่านหนึ่งออกมาเตรียมตัวสนับสนุนพวกเราเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด”
ดูท่าทางแล้วคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหมือนกัน ทำได้เพียงพยักหน้าเอ่ยรับ
ส่วนเหมียวอี้ก็ยังกอดแผนที่อ่านศึกษาต่อไป
ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ตอนที่โดนจงหลีค่วยดึงแผนที่กลับไปส่งคืนให้หมิงจ้าว สีของท้องฟ้าด้านนอกก็มืดแล้ว ในโพรงไม้มีหิ่งห้อยที่เปล่งแสงราวกับดวงดาวบินเข้ามา
ปีศาจหญิงวัยกลางคนที่ชื่อมู่หลินหลางเข้ามาเชิญทุกคนไปร่วมงานเลี้ยง พอเดินออกจากโพรงไม้ ภาพตรงหน้าก็สว่างทันที เห็นหิ่งห้อยบินสว่างไสวอยู่ทั่วป่า พืชจำพวกเฟินหน้าตาประหลาดเรืองแสงอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี พวกดอกไม้ป่าแปลกๆ ข้างทางที่เห็นตอนกลางวัน ตอนกลางคืนก็เปล่งแสงอ่อนๆ สีแดงบ้างฟ้าบ้าง เป็นแสงละมุนหลากสีสัน สวยสดงดงามมาก ทำให้คนรู้สึกเหมือนอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ผ่อนคลายสบายใจ
“ช่างเป็นสถานที่ที่งดงามจริงๆ!” ศิษย์พี่รองหญิงเซี่ยหนานเอ๋อร์กล่าวชมอย่างตกตะลึง แววตาเคลิบเคลิ้ม ทำท่าเหมือนถูกทิวทัศน์ยามราตรีตรงหน้ามอมเมา
ตอนกลางคืนของที่นี่ไม่ต้องจุดโคมไฟเลย ที่ใต้ต้นไม้โบราณสูงใหญ่ต้นนั้น รากไม้มีสูงมีต่ำสลับกันจนเข้าชุดกลายเป็นโต๊ะกับเก้าอี้ได้ แค่ไปได้จัดเรียงตามระเบียบแบบแผนก็เท่านั้นเอง สุราเลิศรสและผลหมากรากไม้ถูกเตรียมเอาไว้แล้ว แต่มองไม่เห็นเนื้อสัตว์
ไฉจวิ้นและคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าตัวเองมองผิดไปรึเปล่า พบว่ากลุ่มปีศาจพวกนี้เหมือนต้องการจะเอาใจให้เหมียวอี้ชอบเขา ปีศาจสาวสวยสองคนมาจูงมือเหมียวอี้ไว้คนละข้าง พลางหัวเราะกระซิบกระซาบกัน พวกนางจูงเหมียวอี้ที่กำลังหัวเราะแห้งๆ เดินไปถึงตำแหน่งหนึ่ง แล้วกดให้นั่งลงไป ในทางกลับกัน ปีศาจที่เหลือมีท่าทีเกรงอกเกรงใจพวกเขา เมื่อเปรียบเทียบกับเหมียวอี้แล้ว ถึงแม้พวกปีศาจจะสุภาพเกรงใจต่อพวกเขา แต่กลับรักษาระยะห่างอย่างเห็นได้ชัด เห็นพวกเขาเป็นแขก แต่เห็นเหมียวอี้เป็นสหาย
พวกปราสาทดำเนินธารามองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ ขนาดหมิงจ้าวยังงงเลย ไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่าคนของปราสาทดำเนินนภาหน้าตาน่ารังเกียจเหรอ?
…………………………
[1] ตำราสวรรค์ อุปมาถึงสิ่งที่อ่านเข้าใจยาก
[2] หัววัวไม่ตรงกับปากม้า 牛头不对马嘴 หมายถึง เรื่องราวไม่สอดคล้องกัน