พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 949
ที่จริงพวกนางไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนขนาดนั้น แค่เพราะตอนที่กินอาหารก่อนหน้านี้ ไฉจวิ้นและคนอื่นๆ ทำตัว ‘เกรงอกเกรงใจ’ มีแค่เหมียวอี้ที่ไม่หวาดกลัวอะไร ในสายตาของปีศาจพวกนี้ มองว่าพวกไฉจวิ้นไม่เชื่อใจพวกนาง ดังนั้นพวกนางก็ไม่เชื่อใจพวกไฉจวิ้นเช่นกัน กลับรู้สึกว่าเหมียวอี้เป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงใจ
ทว่าเมื่อเหมียวอี้เห็นปีศาจสาวปฏิบัติกับตนอย่างอบอุ่นมาก แต่ทำตัวเย็นชากับพวกไฉจวิ้น ในใจเขากลับรู้สึกกังวล ปีศาจสาวพวกนี้คงไม่ได้ตกหลุมรักข้าหรอกใช่มั้ย?
พอเป็นแบบนี้ คนที่นั่งอยู่ข้างหลังหมิงจ้าวเดิมทีควรจะเป็นไฉจวิ้น ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นเหมียวอี้แล้ว ปีศาจพวกนั้นรู้แค่ว่าหมิงจ้าวคือแขกของผู้อาวุโส คนอื่นๆ ถึงได้ไม่สนใจเขา และจับเหมียวอี้ให้นั่งติดแถวหน้าตามความชื่นชอบของตัวเอง ไฉจวิ้นกลับได้นั่งอยู่แถวหลังเหมียวอี้
หลังจากทุกคนทยอยกันนั่งประจำที่แล้ว หมิงจ้าวก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงถามเหมียวอี้ “ก่อนหน้านี้เจ้าเคยมาที่นี่เหรอ?”
“เปล่าเสียหน่อย? ทำไมผู้อาวุโสพูดแบบนี้ล่ะ…” พอพูดไปได้ครึ่งเดียว เหมียวอี้ก็รู้ตัวทันที จึงตอบกลั้วหัวเราะว่า “อาจจะเห็นว่าข้าหน้าตาดีมีความรู้กระมัง”
คำพูดโอ้อวดไร้ยางอายแบบนี้ทำให้หมิงจ้าวพูดไม่ออก กลุ่มคนของประสาทดำเนินนภาที่มาในครั้งนี้ นอกจากจงหลีค่วยที่ขี้เหร่ไปนิด คนอื่นๆ ก็หน้าตาใช้ได้อยู่นะ คนที่สามารถถูกประสาทดำเนินนภาเลือกเป็นศิษย์ได้ ล้วนเป็นคนที่มีเนื้อแท้ยอดเยี่ยม มีลักษณะภายนอกสง่าผ่าเผย โดยทั่วไปหน้าตาไม่แย่แน่นอน แบบจงหลีค่วยคือข้อยกเว้น
จากนั้นเหมียวอี้ก็คลำรากไม้โค้งที่ทำเป็นโต๊ะอยู่ข้างหน้า แล้วคลำรากไม้ที่อยู่ใต้ก้นอีก เขารู้สึกขำนิดหน่อย พบว่าปีศาจพวกนี้ช่างใกล้ชิดธรรมชาติจริงๆ แม้แต่ที่นั่งก็ไม่ต้องมี
ในตอนนี้เอง ปีศาจชายหลายคนที่สวมกำไลแขนก็เริ่มเป่าขลุ่ยเงิน เสียงขลุ่ยที่เดี๋ยวสูงเดี๋ยวแผ่วดังก้องอยู่ในป่าภูเขา
กลุ่มปีศาจที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ทยอยกันลุกขึ้นยืน หมิงจ้าวก็ยืนตามเช่นกัน พร้อมทั้งส่งสัญญาณบอกใบ้พวกเหมียวอี้ คนที่เหลือจึงพากันยืนขึ้น รู้ว่าตัวละครสำคัญกำลังจะปรากฏตัวแล้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ มีคนสองคนลอยลงมาจากต้นไม้ใหญ่ มาเหยียบลงบนเวทีที่เกิดจากรากไม้ด้านบนไขว้ตัดสลับกัน
คนหนึ่งคือชายชราผมขาวยาวคลุมบ่า สวมชุดคลุมยาวสีขาว ในมือถือไม้เท้าสีแดง ใบหน้ามีเมตตาหน้าเกรงขาม แววตาไร้ประกาย ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหก อีกคนคือหญิงสาวผมทอง เครื่องหน้างามวิจิตรมาก หน้าตาราวกับสาวน้อย เพียงแค่ได้มองหน้านางครั้งเดียว ก็เกรงว่าจะลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต ความสวยของนางเป็นเรื่องรอง แต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องที่ทำให้คนเห็นแล้วอยากเข้าใกล้ต่างหากที่เป็นสิ่งล้ำค่าหายาก ลูกตาสีฟ้าสดใสเป็นประกาย บริสุทธิ์ผุดผ่องมาก ปีศาจหญิงที่ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหกคนนี้ นอกจากคำว่า ‘บริสุทธิ์ผุดผ่อง’ ในโลกนี้ก็ไม่มีคำไหนที่ใช้บรรยายนางได้แล้ว อ่อนโยนไร้ราคี แววตาไร้เดียวสาราวกับเด็กทารก
เกรงว่าทั้งเผ่าปีศาจคงจะมีแค่สองคนนี้ที่สวมเครื่องแต่งกายที่มีกระบอกแขน และเป็นแค่สองคนในกลุ่มปีศาจที่เหมียวอี้เห็นว่าสวมรองเท้า
แต่สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้แปลกใจก็คือ ชายชราคนนั้นเหมือนจะอยู่คนละเผ่ากับปีศาจพวกนี้ หูไม่ได้แหลมตั้งขึ้น หน้าตาก็เหมือนคนทั่วไป แถมบนตัวยังไม่มีปราณปีศาจด้วย ซึ่งบนตัวของปีศาจคนอื่นล้วนมีสิ่งนี้
ปีศาจทั้งหมดที่อยู่ในงานใช้มือข้างเดียวกดตรงหัวใจเพื่อคำนับทั้งสอง หมิงจ้าวก็ทำแบบนี้ด้วยเหมือนกัน เหมียวอี้และคนอื่นๆ จึงเลียนแบบ
หลังจากชายชราและสาวน้อยคำนับตอบ ชายชราก็โบกมือบอกให้ทุกคนนั่งลง “แขกผู้มีเกียรติทุกท่านเชิญดื่มด่ำอาหารเลิศรสที่มาจากป่าไม้ ไม่ต้องเกรงใจ” จากนั้นสาวน้อยก็ชายชราก็นั่งลงเคียงกัน ชายชรายกจอกสุรา แล้วทุกคนก็ยกจอกสุราขึ้นมาดื่มสุราสีเขียวที่อยู่ในนั้น
ไม่ต้องประดิษฐ์คำพูดอะไรมากมาย บรรดาปีศาจที่กำลังนั่งยกจอกสุราขึ้นชนกันทันที บางคนเป่าขลุ่ย บางคนตีกลองไม้ บางคนก็ชูจอกสุราร้องเพลง แล้วก็มีชายหญิงที่คล้องแขนกันเต้นรำอย่างคึกคัก บรรยากาศเริ่มคึกคักขึ้นเรื่อยๆ เหมือนสนุกสนานสุดเหวี่ยง
ส่วนหมิงจ้าวและคนอื่นๆ ก็มองดูพลางยิ้มตาหยี พวกเขาค่อนข้างสำรวม ยากที่จะกลืนกับบรรยากาศแบบนี้ได้
เหมียวอี้ดื่มสุราสีเขียวเข้าไปคำหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงถามหมิงจ้าวว่า “ผู้อาวุโส ท่านนี้คือผู้อาวุโสที่บอกเหรอ?”
หมิงจ้าวพยักหน้าเบาๆ เหมียวอี้ถามอีกว่า “แล้วผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ คือใคร ทำไมนั่งเสมอกันได้?”
“เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจ ชื่อมู่น่า” หมิงจ้าวตอบ
ธิดาศักดิ์สิทธิ์? เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ ถามอีกว่า “ทำไมผู้อาวุโสมู่เซินดูไม่เหมือนอยู่เผ่าเดียวกับปีศาจพวกนี้ล่ะ บนตัวยังมีปราณปีศาจด้วย”
“พวกเรากำลังนั่งอยู่บนร่างเดิมของเขา ต้นไม้ต้นนี้ก็คือร่างเดิมของเขา พอแล้ว อย่าพูดมาก คนที่นี่ไม่ชอบให้คนอื่นแอบถ่ายทอดทอดเสียงคุยกันลับหลัง” หมิงจ้าวกล่าว
เหมียวอี้กลับเงยหน้ามองต้นไม้โบราณที่ใหญ่โตรโหฐานไร้ที่เปรียบตรงหน้า ที่แท้ผู้อาวุโสท่านนี้ก็คือปีศาจต้นไม้นี่เอง
เหมียวอี้กำลังครุ่นคิด แตรทันใดนั้นเอง ปีศาจสาวสองคนที่ที่จูงมือเขาก่อนหน้านี้ก็วิ่งเข้ามาอีก มาดึงแขนเขาเอาไว้ ตอนที่กำลังฉงนใจ เขาก็ถูกปีศาจสาวทั้งสองดึงเข้าไปร่วมวงเต้นรำปลดปล่อยอารมณ์แล้ว
ปีศาจสาวทั้งสองบอกใบ้ให้เหมียวอี้เต้นรำกับพวกนาง เหมียวอี้อับอายนิดหน่อย ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเต้นระบำเลย เขามองไปยังพวกปีศาจที่กำลังบรรเลงดนตรีเต้นรำอย่างสนุกสนานร่าเริงอีกครั้ง เขากระโดดเต้นแบบนั้นไปเป็นเลยจริงๆ จึงรีบโบกมือบอกพวกนางว่าเต้นไม่เป็น แล้วหันเลี้ยวกลับโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ใครจะคิดว่าปีศาจสาวสองคนนั้นจะดึงเขนเสื้อเขาไว้ ดึงเข้ากลับมา แล้วบอกให้เขาเต้นตามใจชอบ สบายใจอย่างไรก็เต้นอย่างนั้น
นี่กำลังกลั่นแกล้งข้าเหรอ? ท่านขุนนางเหมียวทำสีหน้าไม่ถูก แต่เมื่อเห็นทุกคนกำลังทำสายตาเฝ้าคอย เขาก็คงสัยนิดหน่อยว่าถ้าตัวเองไม่เต้นแล้วจะทำให้ทุกคนไม่พอใจรึเปล่า เพื่อเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน เจ้าบ้านี่จึงตัดสินใจกล้ำกลืนความอัปยศเอาไว้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรเสียหาย เขามองซ้ายมองขวา แล้วเริ่มยื่นมือ แล้วก็ยกเท้าต่อ เต้นแบบถูๆ ไถๆ ไปก็แล้วกัน
ท่าทางแข็งทื่อสุดๆ ปีศาจสาวทั้งสองที่หัวเราะคิกคักเข้ามาคล้องแขนเขาอีกครั้ง แล้ววิ่งไปพลางกระโดดไปพลาง
ค่อยเป็นค่อยไป เมื่อคล้อยตามกับบรรยากาศ เหมียวอี้ก็ค่อยๆ ปลดปล่อยอารมณ์แล้ว เริ่มกระโดดโลดเต้นท่ามกลางกลุ่มคน ไม่มีท่าทางอื่น รู้จักแค่ยื่นเท้ากับยื่นมือ แขนขาทั้งสี่ยื่นเข้ายื่นออก
ท่าทางของเขา ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนคนปัญญาอ่อน อาหารที่อยู่ในปากจงหลีค่วยแทบจะพุ่งออกมา เซี่ยหนานเอ๋อร์ก็ยิ่งเอามือปิดปากกลั้นขำ พวกหมิงจ้าวล้วนกำลังมองเหมียวอี้อย่างบันเทิงเริงใจ
พวกเขาหัวเราะเยาะเหมียวอี้ แต่เหมียวอี้เหมือนจะได้รับความนิยมจากพวกปีศาจมาก มีปีศาจถือจอกสุราเข้ามาหาเขาไม่ขาดสาย นำสุรามากรอกปากเขา หลังจากดื่มไปไม่กี่จอกเพราะปฏิเสธลำบาก ก็เหมือนเป็นการยั่วให้คนที่เหลือเข้ามาหา คนที่มากรอกสุราใส่ปากเขาจึงยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ เหมียวอี้อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา อยากจะหนีแต่กลับโดนดึงไว้ครั้งแล้วครั้งแล้ว ปีศาจพวกนั้นก็ไม่เกรงใจกันเลยจริงๆ เหมียวอี้เกิดความคิดอยากจะเอาทวนแทงพวกเขาให้ตายให้หมด
“อาจารย์อา!” ไฉจวิ้นมองไปทางหมิงจ้าวอย่างกังวล แต่หมิงจ้าวเพียงโบกมือยิ้มบางๆ บอกใบว่าไม่เป็นอะไร
ผู้อาวุโสมู่เซินที่นั่งอยู่บนเวทีก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน เอียงหน้าถามมู่หลินหลาง “เรื่องอะไรกัน?”
มู่หลินหลางกวักมือเรียกคนที่อยู่ข้างล่างทันที ปีศาจสาวที่ดึงแขนเหมียวอี้ก่อนหน้านี้วิ่งขึ้นไป หลังจากได้ยินที่ผู้อาวุโสถาม นางก็ยิ้มตาหยีกระซิบตอบผู้อาวุโสพักหนึ่ง ผู้อาวุโสมู่เซินได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ เหลือบมองเหมียวอี้ที่โดนกรอกสุราอยู่ท่ามกลางฝูงชนหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยห้าม
หลังจากโดนทรมานไปประเดี๋ยวเดียว เหมียวอี้ก็ฉวยโอกาสหาช่องว่างกึ่งคลานกึ่งวิ่งหนีออกมา ทำเอาพวกปีศาจหัวเราะเสียงดังลั่น
พวกหมิงจ้าวเหลือบมองเหมียวอี้ที่สะบักสะบอมเกินทน แล้วพากันกลั้นขำ
ในขณะนี้เอง ผู้อาวุโสมู่เซินกระทุ้งไม้เท้า หลังจากเสียงกระทุ้งดังขึ้นสามครั้ง คนที่กำลังเต้นรำในงานก็หยุดทันที บรรดาปีศาจที่สนุกสุดเหวี่ยงก็กลับไปนั่งประจำที่ตัวเองแล้วเช่นกัน
ปีศาจชายสองคนที่สวมกำไลแขนยกวงล้อโลหะสีดำขึ้นมาใบหนึ่ง แล้ววางบนชั้นไม้ จากนั้นผู้อาวุโสมู่เซินก็ยืนขึ้น มองไปทางพวกหมิงจ้าวพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แขกผู้มีเกนีติทุกท่าน เผ่าปีศาจของพวกเรามีประเพณีที่ทำกันมาตลอด ถ้ามีแขกมาเยือนเผ่าของพวกเรา พวกเราก็ทำการทดสอบ เพื่อดูว่าเป็นแขกผูมีเกียรติสูงสุดหรือไม่ ผู้ที่ผ่านการทดสอบจะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นที่สุดจากเผ่าปีศาจ หวังว่าทุกท่านจะเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เคารพประเพณีของพวกเรา”
พวกเหมียวอี้เงยหน้ามองวงล้อโลหะบนเวที นอกจากหมิงจ้าว คนอื่นก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร เหมียวอี้ก็เงยหน้ามองแวบหนึ่ง แล้วเช็ดน้ำสุราสีเขียวที่เปื้อนบนตัวต่อไป เขาโดนปีศาจกลุ่มนี้ต้อนรับอย่างอบอุ่นเต็มที่แล้ว ไม่ได้คิดจะเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดอะไรนั่นเลย นี่เป็นการดื่มสุราเสียที่ไหนกัน นี่เป็นการดื่มสุราทัณฑ์ชัดๆ หลังจากเคยโดยจับโดนจับกรอกสุราที่นภาจอมมาร เขาก็รังเกียจการโดนคนอื่นกรอกสุรามาก
หมิงจ้าวยืนขึ้น ประทับมือตรงหัวใจคำนับพลางกล่าวว่า “พวกเรายินดีจะเคารพประเพณีของเผ่าปีศาจ รับการทดสอบจากเจ้าบ้าน”
ผู้อาวุโสมู่เซินยื่นมือเชิญทันที หมิงจ้าวเป็นคนแรกที่เดินเข้าไป เดินไปข้างวงล้อโลหะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้รับการทดสอบแบบนี้ เขาก้มหน้าจ้องวงล้อโลหะและเริ่มครุ่นคิด
บนวงล้อโลหะมีอักษรตัวเล็กๆ อยู่รวมกันวงแล้ววงเล่า แน่นขนัดเป็นพันตัว ด้านบนของวงล้อโลหะมีตัวอักษรอยู่แถวหนึ่ง : ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง
มีทั้งหมดแปดตัวอักษร และด้านข้างของตัวอักษรทั้งแปด ก็ยังมีรอยเว้าอีกหนึ่งแถว เหลือตำแหน่งว่างไว้แปดตัว วงตัวอักษรที่หมุนอยู่บนถอดกลมก็คือตัวอักษรสำหรับเติมคำในช่องว่าง เมื่อเติมคติพจน์สิบหกตัวเสร็จแล้ว คนที่ตอบถูกก็จะผ่านการทดสอบ จะกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของเผ่าปีศาจ
ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าอธิบายกติกาให้หมิงจ้าวฟัง หมิงจ้าวพยักหน้ายิ้ม เขารู้กติกานี้อยู่แล้ว ถึงแม้จะมีประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ถ้าอยากจะเติมให้สอดคล้องกับคำตอบเดิมทุกตัว ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ทำได้เพียงไตร่ตรองพักหนึ่ง แล้วทำตามอำเภอใจ ยื่นมือไปกดตัวอักษร ‘ฟ้า’ แล้วหมุนไปตรงช่องว่าง ใช้ปลายนิ้วกดชี้ออกมา ไหลตามรางเติมไปที่ช่องว่างตัวแรก จากนั้นก็หมุนตัวอักษรอีกเจ็ดตัวอย่างรวดเร็ว เติมเข้าไปทีละตัว
ตัวอักษรแปดตัวที่เขาเติมได้ความหมายว่า : ท้องฟ้าสีดำแผ่นดินสีเหลือง จักรวาลผสมรวมกัน!
หลังจากเติมเสร็จแล้ว หมิงจ้าวก็เงยหน้ามองผู้อาวุโสมู่เซิน เจ้าตัวยิ้มบางๆ แล้วยื่นมือเชิญ บอกใบ้ให้เขากลับไปนั่งที่ได้
หมิงจ้าวส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ไม่ต้องบอกก็รู้ เขาไม่ผ่านการทดสอบนี้แล้ว ทำได้เพียงกุมหมัดคารวะและหันตัวเดินลงจากเวที ก่อนจะบอกเหมียวอี้ที่อยู่ถัดไปว่า “ฆราวาส ถึงตาเจ้าไปทดสอบแล้ว”
เหมียวอี้ไม่อยากได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นอะไรอีกแล้ว จึงบอกว่า “ขนาดผู้อาวุโสยังไม่ผ่านการทดสอบนี้เลย อย่างข้าก็ไม่ต้องทดสอบแล้ว” เขาหันไปบอกกับไฉจวิ้น “เชิญศิษย์พี่ใหญ่ก่อนแล้วกัน เสื้อข้ายังเหนียวเปื้อนอยู่เลย ต้องเช็ดก่อน”
ทำแบบนี้ได้เหรอ? ไฉจวิ้นมองไปทางหมิงจ้าว เขาเองก็อยากลองเปิดหูเปิดตาดูสักหน่อย
หมิงจ้าวไม่คัดค้านอะไร พยักหน้าตอบรับ ไฉจวิ้นจึงยืนขึ้น วิ่งไปคำนับบนเวทีแล้วฟังธิดาศักดิ์สิทธิ์อธิบายกติกา หลังจากครุ่นคิดครู่เดียว เขาก็หมุนตัวอักษรมาเติมแปดตัว ผลที่ได้เหมือนกับหมิงจ้าว ถูกผู้อาวุโสมู่เซินเชิญลงจากเวทีแล้ว