พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 950
ไฉจวิ้นรู้สึกว่ายังไม่หายอยาก แต่ช่วยไม่ได้ที่การเล่นวงล้อเติมคำไม่มีการลองซ้ำ ทำได้เพียงลงจากเวทีพร้อมกับความเสียดาย
เหมียวอี้ไม่มีท่าทีว่าจะขึ้นไปบนเวที ไฉจวิ้นจึงนั่งลงแล้วบอกเขาว่า “ไม่ต้องเช็ดแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก็สิ้นเรื่อง” ความหมายที่จะสื่อก็คือ เร่งให้เขาขึ้นไปลองเล่น
ปรากฏว่าเหมียวอี้หันไปพยักหน้าให้ศิษย์พี่รองหญิงคนสวย บอกใบ้ให้นางขึ้นเล่นแทน ที่บอกว่าเสื้อผ้าสกปรกคือข้ออ้าง ความจริงคือไม่อยากเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดที่ถูกต้อนรับอย่างอบอุ่นอีกแล้ว
เซี่ยหนานเอ๋อร์เองก็ไม่เกรงใจ เห็นว่าหมิงจ้าวไม่คัดค้าน นางก็ลุกเดินออกจากโต๊ะ ค่อยๆ ก้าวขึ้นไปคำนับบนเวที หลังจากฟังคำชี้แนะจากธิดาศักดิ์สิทธิ์จบแล้ว นางก็ทำตัวทำให้กระปรี้กระเปร่าทันที ยืนจ้องหน้าวงล้อเงียบๆ นางใช้เวลาครุ่นคิดนานมาก ถึงได้ลองหมุนวงล้อเติมอักษรแปดตัว
ถึงแม้จะใช้ความคิดนานมาก แต่ก็ยังเปลี่ยนแปลงตอนจบไม่ได้อยู่ดี ยังถูกผู้อาวุโสมู่เซินยื่นมือเชิญให้ลงจากเวทีเหมือนเดิม ส่วนธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าก็รีบหมุนวงล้อเติมคำกลับไปตำแหน่งเดิม
เหมียวอี้แน่วแน่ว่าไม่อยากขึ้นไปเล่น หลังจากเซี่ยหนานเอ๋อร์กลับมาแล้ว คนถัดไปก็วิ่งขึ้นไปทดลองเล่นอีก ไม่ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ ก็คิดเสียว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน
ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม พ่ายแพ้กลับมา แล้วก็เปลี่ยนให้คนต่อไปขึ้นไปเล่นต่อ
จนกระทั่งเปลี่ยนให้จงหลีค่วยขึ้นไปเล่นก็ยังแพ้ ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสิบเอ็ดคน ขึ้นไปเล่นทีละคนและถอยกลับมาทีละคน รวมหมิงจ้าวด้วยก็เล่นครบสิบสองคนแล้ว พวกเขารู้สึกเสียดายมาก ไม่มีใครได้กลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของเผ่าปีศาจเลย
แต่เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสมู่เซินไม่อยากปล่อยให้ใครบางคนเป็น ‘ปลาลอดแห’ จ้องมองเหมียวอี้ที่อยู่เบื้องล่างตลอด ในงานเลี้ยงเงียบลง สายตาของทุกคนจ้องไปที่เหมียวอี้แล้ว
การรังควานด้วยสายตาแบบนี้ทำให้หมิงจ้าวกุมหมัดไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “ฆราวาส ขึ้นไปลองหน่อยเถอะ ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย”
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ แล้วตอบว่า “เว้นข้าไว้เถอะ ขนาดพวกท่านยังไม่ผ่านการทดสอบเลย งั้นข้าก็ไม่ขึ้นไปแสดงฝีมืออันต่ำต้อยแล้ว”
ใครจะคิดว่าผู้อาวุโสมู่เซินจะกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “ผู้ที่ไม่ยอมรับการทดสอบ พวกเราจะมองว่าดูถูกเผ่าของพวกเรา ป่าผืนนี้จะไม่ต้อนรับการมาเยือนของเขา ถ้าเจ้าไม่ยอมรับการทดสอบ ก็เชิญออกไปเสียตั้งแต่ตอนนี้!”
“…” เหมียวอี้อ้าปากค้าง ไม่ใช่แล้วมั้ง แค่ไม่เล่นด้วยก็จะไล่ข้าไปเลยเหรอ ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวเหรอ?
“ฆราวาส!” หมิงจ้าวขมวดคิ้วพลางพยักหน้า บอกใบ้ให้เขาขึ้นไป ที่จริงเหมียวอี้จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่สำคัญ เหมียวอี้ไปแล้วก็ไม่เป็นอะไร แต่ประเด็นสำคัญคือหมิงจ้าวไม่อยากปล่อยให้เรื่องนี้มาทำให้คนของเผ่าปีศาจไม่พอใจ ถึงอย่างไรต่อไปก็ยังต้องมาหาสมบัติในอาณาเขตของอีกฝ่าย
อีกฝ่ายพูดถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้ยังจะอ้างอะไรได้อีก ถ้าจะให้เขาออกไปตอนนี้เขาก็ไม่ยอมหรอก ถ้ายังหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานไม่พบ เขาจะยอมจากไปได้เหรอ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถ่อมาไกลขนาดนี้หรอก ทำได้เพียงขึ้นเวทีไป
แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เล่นดูหน่อยก็ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรเสียหาย ถ้าไม่อยากได้รับการปฏิบัติอย่างอบอุ่นเหมือนเมื่อครู่นี้ อย่างมากถ้าเล่นมั่วก็ไม่ผ่านการทดสอบหรอก! เหมียวอี้พึมพำในใจแล้วลุกขึ้นเดินไปบนเวที
เหมียวอี้ตัวเปื้อนน้ำสุราสีเขียว พอขึ้นบนเวทีแล้วดูสะดุดตามาก หลังจากขึ้นมากุมหมัดคารวะด้านข้างวงล้อโลหะ สายตาก็กวาดมองตัวอักษรที่ยัวเยี้ยอยู่บนวงล้อแวบหนึ่ง เขาไม่ได้ให้ความสำคัญสักเท่าไร ตอนที่เพิ่งย้ายสายตาไปบนใบหน้าของธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่า เขาก็ตกตะลึงทันที
ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่ามีแววตาที่สดใสเปล่งประกายมาก ดูสวยละมุนสะอาดไปทั้งตัว ยิ่งมองใกล้ๆ ก็ยิ่งพบว่าบริสุทธิ์ผุดผ่องจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ตอนที่นางกำลังอธิบายให้เหมียวอี้ฟังว่าจะทดสอบอย่างไร เหมียวอี้กลับรู้สึกเหมือนโดนเข็มจิ้ม เขาย้ายสายตากลับไปที่วงล้อเติมคำ จ้องมองตัวอักษรที่เขียนว่า ‘ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง’ บนวงล้อ เมื่อครู่เขากวาดสายตามองแต่เกือบจะมองข้ามไป ตอนนี้เขาเบิกตากว้างทันที ได้แต่ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น ขนาดธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าพูดจบแล้วเขาก็ยังไม่รู้ตัว
คนอื่นอาจจะประหลาดใจกับอักษรแปดตัวนี้ แต่สำหรับเหมียวอี้ เขากลับคุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยยังไงแล้ว เป็นอักษรแปดตัวหน้าที่อยู่ในบทนำคติพจน์สิบหกตัวของเคล็ดวิชาอัคนีดารา เขาจะไม่รู้จักได้ยังไง
ปฏิกิริยาของเหมียวอี้ค่อนข้างแปลก เขาหันหลังให้คนที่อยู่ข้างล่าง คนข้างล่างจึงมองไม่เห็น คิดว่าเขากำลังครุ่นคิดว่าจะเติมอักษรอย่างไร
แต่ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าสังเกตเห็นแล้ว นางหันไปมองผู้อาวุโสมู่เซินแวบหนึ่ง ผู้อาวุโสมู่เซินก็สังเกตเห็นความผิดปกติของเหมียวอี้แล้วเช่นกัน โดยเฉพาะปฏิกิริยาที่เหมียวอี้เสียอาการจนเบิกตากว้าง เรียกได้ว่าทำให้ผู้อาวุโสมู่เซินกลั้นหายใจทันที จ้องมองปฏิกิริยาของเหมียวอี้เงียบๆ มองออกรางๆ ว่าเขาเฝ้าคอยอยู่
ในใจเหมียวอี้กลับว้าวุ่นราวกับมีคลื่นโหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง อักษรแปดตัวแรกในคติพจน์สิบหกตัวของบทนำเคล็ดวิชาอัคนีดารา ทำไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้ล่ะ? จะบังเอิญขนาดนั้นเชียวเหรอ ทำไมแปดตัวข้างหน้าตรงกันพอดี แล้วแปดตัวข้างหลังก็เว้นว่างไว้พอดี? เคล็ดวิชาอัคนีดารามาจากแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง อย่าบอกนะว่ามาจากพิภพใหญ่ด้วยเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคติพจน์สิบหกตัวจะมาโผล่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
หลังจากได้สติกลับมาอย่างช้าๆ เหมียวอี้ก็เหลือบตาขึ้นอย่างสงสัย มองดูธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่า แล้วก็มองผู้อาวุโสมู่เซินอีก เหมือนอยากจะหาเบาะแสจากสีหน้าของทั้งสองคน แต่จนใจที่สีหน้าและแววตาของมู่น่าบริสุทธิ์ใสซื่อมาก ผู้อาวุโสมู่เซินก็นิ่งเฉยเยือกเย็นเช่นกัน เขามองเบาะแสอะไรไม่ออกเลย
ผู้อาวุโสมู่เซินจับสังเกตได้ถึงความตกตะลึงประหลาดใจในดวงตาเหมียวอี้ เขายิ้มบางๆ พลางยื่นมือเชิญ “หากแขกผู้มีเกียรติไตร่ตรองดีแล้ว เชิญลงมือได้!”
แววตาประหลาดใจสงสัยของเหมียวอี้ค่อยๆ ย้ายกลับไปบนวงล้อเติมคำ ตอนนี้เขากำลังพิจารณาว่าควรจะเติมคติพจน์แปดตัวหลังของบทนำเคล็ดวิชาอัคนีดาราลงไปหรือไม่ ถ้าเป็นความบังเอิญ ต่อให้เขาเติมคติพจน์สิบหกตัวนั้นไปก็คงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าไม่ใช่ความบังเอิญ เขาก็กังวลว่าจะสร้างปัญหาอะไรตามมาหรือเปล่า ทำไมต้องนำคติพจน์สิบหกตัวของเคล็ดวิชาอัคนีดารามาทำเป็นบททดสอบด้วยล่ะ? ระหว่างเผ่าปีศาจกับเคล็ดวิชาอัคนีดารามีอะไรเกี่ยวข้องกันเหรอ?
จะเติมคำตอบที่อยู่ในใจตัวเอง หรือจะเติมมั่วๆ ไป เขาสับสนพัวพันกันอุตลุต ทั้งอยากจะรู้ผลลัพธ์ ทั้งกลัวว่าจะสร้างปัญหาอะไร ประสบพบเจอกับเรื่องที่ทำให้เขาสับสนได้ขนาดนี้เข้าแล้ว
หลังจากไตร่ตรองซ้ำๆ เหมียวอี้ก็เริ่มตัดสินใจได้ เขาเองก็อยากจะเห็นว่าวงล้อเติมคำนี้เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราหรือเปล่า บางทีตัวเองอาจจะคิดมากไป
คนอื่นไม่มีทางเข้าใจว่าตัวอักษร ‘ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง’ ดึงดูดใจเขาขนาดไหน เพราะนี่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาฝึกตนของเขา เคล็ดวิชาที่ทำให้เขาเดินมาจนถึงวันนี้
สุดท้าย ขณะที่หมิงจ้าวและคนอื่นๆ ข้างล่างกำลังขมวดคิ้วสงสัยว่าทำไมเหมียวอี้ครุ่นคิดนานขนาดนี้ หลังจากสายตาของเหมียวอี้มองหาบนวงล้อโลหะพักหนึ่ง ก็ยื่นมือไปจิ้มตัวอักษร ‘ดารา’ แล้วหมุนวงอักษรนั่นช้าๆ ย้าย ตัวอักษร ‘ดารา’ ตามราง พอตัวอักษรหลุดจากวงก็ดันขึ้นไปเบาๆ ไปเติมที่ช่องว่างช่องแรกจากแปดช่องนั้น
หลังจากวางตรงตำแหน่งแล้ว เหมียวอี้ก็ใช้นิ้วจิ้มต่อไป จิ้มคำว่า ‘ดารา’ อีกตัว หมุนไปตามวิถีโคจรอีกครั้ง ตอนที่ดันตัวอักษรตัวที่สองไปเติมในช่องว่าง สายตาเขามองไปที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าและผู้อาวุโสมู่เซินอีกครั้ง หวังว่าจะมองเบาะแสอะไรออกจากสีหน้าของพวกเขา
ทว่าสายตาของทั้งสองก็กำลังจ้องอยู่บนวงล้อเช่นกัน ไม่ได้แสดงความผิดปกติใดๆ ถ้าจะบอกว่าผู้อาวุโสมู่เซินกำลังปิดบังอะไรอยู่ แล้วธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าล่ะ? ไม่ว่าจะมองอย่างไร เหมียวอี้ก็รู้สึกว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าไม่เหมือนคนที่จะหลอกลวงคนอื่น เป็นเพราะความบริสุทธิ์ผุดผ่องของนางเหมือนมาจากเนื้อแท้ บนโลกนี้เหมือนจะไม่มีแววตาของใครใสสะอาดเท่านางอีกแล้ว ราวกับฝุ่นทรายก็ทำใจพัดเข้าไปในดวงตาของนางไม่ลง เหมือนไม่เคยปนเปื้อนอะไรมาก่อน ไม่เหมือนกำลังหลอกลวงคนอื่น
ถ้าคนแบบนี้ยังหลอกคนอื่นได้ เช่นนั้นเหมียวอี้ก็บอกได้เพียงว่า ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าท่านนี้แสดงได้เหนือกว่ากว่าศีลแปด
ยิ่งทั้งสองทำท่าทางแบบนี้ ในใจเหมียวอี้ก็ยิ่งสงสัย ถ้าไม่ใช่เพราะคำตอบของตัวเองผิด ก็คงเป็นเพราะทั้งสองไม่รู้คำตอบที่แท้จริงเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นทำไมไม่แสดงปฏิกิริยาที่ผิดปกติอะไรสักนิดเลยล่ะ?
เหมียวอี้รีบเร่งมือ พอวางตัวอักษรตัวที่สองให้เข้าตำแหน่งแล้ว ก็ชี้ไปยังตัวอักษร ‘แห่ง’ ที่อยู่ข้างล่าง ขณะที่ดันมันขึ้นมาก็สังเกตปฏิกิริยาของทั้งสองอีกครั้ง
ทั้งสองยังคงทำสีหน้าสนใจเหมือนปกติ เหมียวอี้จึงกัดฟัน หาตัวอักษรอีกห้าตัวและหมุนดันขึ้นไปทีละตัว อักษรห้าตัวนั้นได้ความหมายว่า : ไฟเผาลามทุ่งหญ้า
อักษรแปดตัวนั้นได้ความหมายว่า : อัคนีแห่งดารา เผาลามทุ่งหญ้า!
คติพจน์สิบหกตัวในบทนำของเคล็ดวิชาอัคนีดารา ได้ความหมายว่า : ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง อัคนีแห่งดารา เผาลามทุ่งหญ้า!
เหมียวอี้ถอนนิ้วออกจากวงล้อเติมคำ หลังจากปล่อยมือสองข้าง ก็มองดูปฏิกิริยาของผู้อาวุโสมู่เซิน
ผู้อาวุโสมู่เซินก็จ้องวงล้อเติมคำเช่นกัน ในดวงตาเหมือนฉายแววผิดหวัง เงยหน้ามองเหมียวอี้ แล้วยกมือเล็กน้อย เป็นการเชิญให้กลับลงไป
เหมียวอี้แอบโล่งอก คิดในใจว่า ข้าก็ว่าแล้วไง จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นได้ยังไง ตัวเองคิดมากไปจริงๆ ด้วย สงสัยอักษรแปดตัวนั้นจะบังเอิญไปเหมือนกับคติพจน์สิบหกตัวในบทนำของเคล็ดวิชาอัคนีดาราพอดี
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะเตรียมจะลงจากเวที ทว่าตอนที่เขาหันตัวมา ขณะที่ผู้อาวุโสมู่เซินยกมือเตรียมจะบอกให้ปีศาจชายสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลมาถือวงล้อโลหะออกไป วงล้อโลหะนั่นก็มีเสียง ‘แกร๊ก’ ดังชัดเจนมาก
เหมียวอี้ที่ก้าวเท้าออกมาได้ก้าวหนึ่งหยุดชะงัก พอหันกลับไปมอง ก็ตกตะลึงทันที
เสียง ‘แกร๊ก’ ค่อยๆ กลายเป็นเสียง ‘แกร๊กๆๆ’ ดังต่อเนื่องเป็นชุด จู่ๆ วงตัวอักษรที่แน่นขนัดก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา ภายใต้สถานการณ์ที่มีใครควบคุม มันกำลังหมุนด้วยตัวเองเสียงดัง ‘แกร๊กๆ’ วงตัวอักษรหลายวงหมุนอย่างรวดเร็ว หมุนจนคนมองตาลายหมดแล้ว
ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
ผู้อาวุโสมู่เซินก็เบิกตากว้างเช่นกัน ลมหายใจถี่กระชั้นผิดปกติ ไม้เท้าที่ถืออยู่ในมือสั่นเล็กน้อย จ้องมองการเปลี่ยนแปลงบนวงล้อเติมคำอย่างไม่ละสายตา
เหมียวอี้ที่กำลังประหลาดใจสงสัยหันไปมองการเปลี่ยนแปลงของวงล้อเติมคำอีกครั้ง
เสียง ‘แกร๊กๆ’ บนเวทีทำให้หมิงจ้าวที่อยู่ข้างล่างยืนขึ้น เขาเองก็ทำสีหน้าประหลาดใจสงสัยเช่นกัน พวกไฉจวิ้นยืนขึ้นมองหน้ากันเลิกลั่ก อย่าบอกนะว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้เติมคำตอบได้ถูกต้อง?
พวกเขาอยากจะขึ้นไปดูมากว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ แต่ก็ไม่สะดวกจะทำตัวบุ่มบ่าม ทำได้เพียงยืนอยากรู้อยากเห็นอยู่ข้างล่าง
บรรดาปีศาจชายหญิงทุกคนที่นั่งอยู่ข้างล่างก็ลุกยืนเช่นกัน แต่ละคนมองไปข้างบนอย่างเงียบๆ
ในขณะนี้ทุกอย่างเงียบสงัด มีเพียงล้อเติมคำบนเวทีที่ส่งเสียงดัง ‘แกร๊กๆ’ ไม่หยุด ในระหว่างนั้นก็เริ่มมีเสียง ‘แปะๆ’ ดังขึ้น
เหมียวอี้ ผู้อาวุโสมู่เซินและธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่ากำลังจ้องวงล้อเติมคำอย่างไม่ละสายตา เห็นเพียงอักษรสิบหกตัวที่รวมกันจนได้ความหมายว่า ‘ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง อัคนีแห่งดารา เผาลามทุ่งหญ้า’ กำลังตกลงจากรางทีละตัว ไปรวมในวงอักษรที่กำลังหมุนวน หลังจากอักษรทั้งสิบหกตัวตกลงมาหมดแล้ว ตอนที่วนกลับรางไหล วงอักษรที่กำลังหมุนก็กระโดดขึ้นลงไม่หยุด มีทั้งตัวอักษรจากวงอักษรด้านล่างไปเติมใส่ด้านบน มีทั้งตัวอักษรจากวงอักษรด้านบนไปเติมใส่ด้านล่าง กำลังรวมกลุ่มกันไม่หยุด