พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 959 ทำตัวเด่นเกินหน้าเกินตา
ก่อนหน้านี้โมโหเดือดดาลเพราะร้านขายของชำซื่อตรง ตอนนี้เมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่แห่งขุมทรัพย์ อารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นดีใจถึงขีดสุด หุ้นของร้านขายของชำที่เสียไป ถ้าได้สมบัติจากราชันลัทธิมารกลับมาชดเชยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
ไม่มีอะไรน่าลังเล เขากอบแผ่นแผนที่โลหะไปเทียบดูตรงหน้าฉากกั้น ทำให้พูดไม่ออกอีกครั้ง
จุดซ่อนสมบัติที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่อยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง เป็นเกาะตรงกลางแม่น้ำที่ไหลแยกกันและมาบรรจบกันอีกครั้ง เมื่อดูเทียบกัน ก็พบว่าเป็นแม่น้ำที่เกิดจากน้ำตกใต้ตำหนักคุมงานของปราสาทดำเนินนภา เป็นเกาะที่อยู่ห่างออกไปสิบลี้ เพียงแต่บนเกาะที่อยู่บนฉากกั้นมีศาลาอยู่หนึ่งหลัง
เหมียวอี้มึนตึ้บ ล้อเล่นอะไรกัน สมบัติของราชันลัทธิมารอยู่ในปราสาทดำเนินนภาเหรอ? ถ้าที่นี่มีสมบัติอะไรซ่อนไว้จริงๆ จะปิดบังสายตาของปราสาทดำเนินนภาไปได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ที่ปราสาทดำเนินนภาจะไม่คุ้นเคยกับอาณาเขตของตัวเอง แม้กระทั่งใต้ดินมีหนูซ่อนอยู่กี่ตัว ก็ยังปิดบังสายตาของปราสาทดำเนินนภาไม่ได้เลย ถ้ามีสมบัติซ่อนอยู่ ก็คงจะตกอยู่ในมือของปราสาทดำเนินนภาไปแล้ว
แต่คิดไปคิดมาก็พบว่าไม่ถูก ถ้าเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินอยู่ในมือของปราสาทดำเนินนภาจริงๆ เช่นนั้นปราสาทดำเนินนภาก็ไม่จำเป็นต้องถ่อไปลำบากหาที่ดาวแมกไม้ อย่าบอกนะว่าปราสาทดำเนินนภารู้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่แกล้งปล่อยข่าวมั่วเพื่อหลอกฝ่ายตรงข้าม?
เมื่อเทียบดูกับแผนที่บนฉากกั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็พบว่าน่าจะอยู่บนเกาะแห่งนั้นจริงๆ
พอเก็บแผนที่แล้ว เหมียวอี้ก็เดินออกจากเรือนพักเดี่ยว เหลือบตามองเกาะไกลๆ ที่อยู่ตรงแม่น้ำที่ไหลมาจากน้ำตก
ในขณะนี้เอง จงหลีค่วยก็เหาะมาอีกครั้ง มายืนข้างกายเขาแล้วถามว่า “กำลังเหม่อลอยอะไร?”
“ไม่มีอะไร?” เหมียวอี้ส่ายหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
“ข้านำความประสงค์ของเจ้าไปบอกท่านอาจารย์แล้ว อาจารย์บอกว่าถ้าเจ้าจะไปเมื่อไรก็บอก จะต้องส่งเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัยแน่นอน… พร้อมทั้งให้ข้ามาบอกเจ้าด้วย ว่าขอให้เจ้าเข้าใจถึงความลำบากใจของปราสาทดำเนินนภา” จงหลีค่วยกล่าว
เหมียวอี้พยักหน้า เขาเข้าใจถึงความลำบากใจของปราสาทดำเนินนภา ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา ก็คงไม่มีทางทุ่มเทสู้ตายอย่างซี้ซั้วเพื่อคนคนเดียวเหมือนกัน จึงโบกมือบอกว่า “ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว เกาะที่มีศาลาแห่งนั้นคือที่ไหนเหรอ?” เขาชี้ถาม
จงหลีค่วยมองแวบหนึ่ง แล้วตอบกลั้วหัวเราะว่า “เป็นที่พักของศิษย์หญิงที่ยังไม่แต่งงานน่ะ”
“ศิษย์หญิงที่ยังไม่แต่งงาน…” เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย ถามหยั่งเชิงว่า “ข้าอยากจะไปดูที่นั่นสักหน่อย ไม่รู้ว่าจะสะดวกหรือเปล่า?”
“มีอะไรไม่สะดวกล่ะ ขอแค่เจ้าไม่บุกเข้าไปในห้องพวกนางซี้ซั้วก็พอ คงไม่ถึงขั้นไม่หลีกทางให้เดินหรอก ตามข้ามา!” จงหลีค่วยตบบ่าเขา แล้วเหาะนำไปทันที ที่ตอบรับอย่างไม่ลังเลแบบนี้ ก็อาจเป็นเพราะรู้สึกผิดที่ช่วยเหลือเหมียวอี้ไม่ได้ ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็นับว่าเคยช่วยชีวิตเขาไว้ที่ค่ายกลมารโลหิต
ทั้งสองต่างก็สร้างความเดือดร้อนให้กัน เท่ากับช่วยชีวิตกันและกันไว้ มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา แต่จนใจที่ไม่อาจปล่อยให้ปัจจัยเรื่องความสัมพันธ์ของจงหลีค่วยคนเดียวมาทำให้ต้องละเลยผลประโยชน์ของทั้งปราสาทดำเนินนภา ได้แต่เก็บความรู้สึกผิดไว้ในใจ!
ระยะทางสิบลี้ สำหรับทั้งสองแค่ถลันตัวทีเดียวก็ไปถึงแล้ว บนเกาะมีศาลางดงาม มีบ่อปลาและดอกไม้ เขียวชอุ่มร่มรื่น มีน้ำล้อมรอบ ราวกับแดนสวรรค์ในเทพนิยาย
เกาะนี้คือที่อยู่ของศิษย์หญิงที่วรยุทธ์ยังไม่ถึงขั้น ยังไม่สามารถพักอาศัยตามลำพังได้ ถ้าวรยุทธ์ถึงขั้นแล้ว ก็สามารถออกจากตรงนี้ไปพักที่เรือนพักเดี่ยว หรือไม่ถ้าแต่งงานก็ออกจากที่นี่ได้เช่นกัน ส่วนคนที่เหลือก็รวมกลุ่มกันอยู่ที่นี่
จงหลีค่วยควบตำแหน่งมัคคุเทศก์พาเหมียวอี้เดินเล่นอยู่บนเกาะ คอยชี้บอกและแนะนำตลอดทาง แล้วก็ชี้ไปที่เชิงเขาตรงข้ามแม่น้ำ “ด้านหลังภูเขาเป็นที่อยู่ของศิษย์ผู้ชาย สถานการณ์คล้ายๆ กับที่นี่ ลูกศิษย์ชายหญิงวัยรุ่นที่ยังไม่แต่งงานต้องแยกกันอยู่ จะได้ไม่คิดเพ้อเจ้อจนเสียสมาธิฝึกตน แต่สำนักนี้ไม่ไม่ขับไล่ศิษย์ที่แต่งงาน ถ้าเจ้าถูกใจศิษย์หญิงคนไหนก็บอกได้ เดี๋ยวข้าจะช่วยเป็นคนกลางติดต่อให้ให้เจ้า”
“ไม่เป็นไรหรอก!” เหมียวอี้ยกมือห้าม ผู้หญิงของเขามีเยอะจนรับมือไม่ไหวแล้ว ที่บ้านมีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ทั้งยังมีสาวงามอีกสามคน สองคนในนั้นยังเป็นฝาแฝดกันด้วย แถมยังมีสาวใช้หกคนกำลังรอให้เขาไปรับเข้าห้อง ข้างนอกยังมีหญิงชู้อีกหนึ่งคน แต่ละคนหน้าตาไม่ธรรมดา ขนาดในบ้านยังรับมือไม่ไหวเลย จะมีความคิดไปเจ้าชู้เสเพลได้อย่างไร ผู้หญิงสวยทั่วไปไม่ถูกใจเขาเลยจริงๆ เขาชำเลืองจงหลีค่วยพลางพูดหยอก “ท่านจัดการเรื่องของตัวเองก่อนเถอะน่า”
จงหลีค่วยหัวเราะเสียงดัง “ข้าหน้าตาขี้เหร่ เป็นคนที่ขี้เหร่ที่สุดในปราสาทดำเนินนภา ไม่มีใครถูกใจข้าหรอก”
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูกสองที เขาไม่เชื่อคำพูดนี้หรอก ด้วยวรยุทธ์และฐานะของจงหลีค่วย ถ้าอยากจะแต่งงานก็ไม่ใช่ปัญหาเลย ในฐานะที่เป็นศิษย์ของรองเจ้าสำนัก ถ้าถูกใจคนไหน ปราสาทดำเนินนภาต้องช่วยเป็นตัวกลางประสานให้แน่นอน ก็เหมือนกับเหมียวอี้ ในปีนั้นก็รู้สึกว่าไม่มีใครชอบตัวเองเหมือนกัน ตอนหลังพอมีตำแหน่งฐานะขึ้นที่พิภพเล็ก เรื่องผู้หญิงก็ไม่ใช่ปัญหาเลย อยากจะมีมากเท่าไรก็ได้
ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เหมียวอี้ไม่ได้มาเพื่อคุยเรื่องนี้ เขามาหาสมบัติ
ตอนที่เดินเล่นอยู่บนเกาะ ศิษย์หญิงที่เดินผ่านมาอย่างไม่ขาดสายพากันคำนับจงหลีค่วย เรียกว่าศิษย์ลุงบ้างศิษย์อาบ้าง จงหลีค่วยเดินพยักหน้ารับตลอดทาง
เมื่อเดินวนบนเกาะได้รอบหนึ่ง ในใจเหมียวอี้ก็เกิดความสงสัย ถึงแม้เกาะนี้จะมีพื้นที่ไม่น้อย แต่นับว่ามีลักษณะพื้นที่ราบเรียบ ดูไม่เหมือนสถานที่ซ่อนสมบัติเลย
ตรงกลางเกาะมีเสาหินเก่าแก่โบราณขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง บนนั้นสลักอักษรตัวใหญ่เอาไว้ : ดำเนินนภาสร้างสัตบุรุษ พากเพียรบากบั่น จองจำมารปีศาจชั่วนิรันดร์!
ทั้งสองยืนอยู่ตรงหน้าเสาหิน เงยหน้ามองอักษรสลักตัวใหญ่ที่แข็งแรงเปี่ยมด้วยพลัง เป็นตัวอักษรที่ผ่านลมผ่านฝนมาแสนนาน ไม่รู้ว่าสร้างไว้กี่ปีแล้ว
จงหลีค่วยอธิบายว่า “ในปีที่สร้างปราสาทดำเนินนภาขึ้นมา ประมุขปราสาทเป็นผู้ถือกระบี่สลักไว้ที่นี่ด้วยตัวเอง เพื่อให้ลูกศิษย์ที่เข้าออกได้เห็นและจดจำใส่ใจ!”
เหมียวอี้ไม่สนใจสิ่งนี้ แต่มองไปรอบๆ แล้วถามเหมือนไม่ตั้งใจว่า “เลือกมาอยู่ที่สถานที่แบบนี้ได้อย่างไร ที่นี่มีกระแสน้ำไหลปะทะทุกปี ไม่กลัวหน้าดินพังเหรอ?”
จงหลีค่วยตอบกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว พวกเราจะไม่คิดถึงจุดนี้ได้อย่างไร พวกเราย่อมตรวจสอบรากฐานมาก่อนแล้ว ด้านล่างเป็นหินที่ทนทาน ไม่ได้พังง่ายๆ ขนาดนั้น แล้วเวลาน้ำไหลมาถึงตรงนี้ กระแสน้ำก็อ่อนลงแล้ว ไม่มีแรงปะทะอะไร”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็หนักใจยิ่งกว่าเดิม ที่เขามาดูสถานที่ด้วยตัวเอง ก็เพราะรู้สึกว่าที่นี่ไม่น่าจะซ่อนสมบัติได้ แต่อีกฝ่ายมาสำรวจดูตั้งนานแล้ว ถ้ามีของอะไรก็คงจะถูกพบไปตั้งแต่แรก ไม่รอให้เขามาหาหรอก ผู้ที่ซ่อนสมบัตินี้เล่นบ้าอะไรกันแน่
พอนึกถึงพฤติกรรมพิลึกพิลั่นของผู้ซ่อนสมบัติ เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องที่ดาวแมกไม้ คนกลุ่มหนึ่งถ่อไปค้นหาซ้ำไปซ้ำมาตั้งหลายปี แต่สมบัติไม่ได้ซ่อนอยูในจุดที่ระบุไว้บนแผนที่ซ่อนสมบัติเลย เขาใจเต้นแรงทันที ที่นี่ไม่เหมือนจุดที่จะซ่อนอะไรไว้ได้ หรือว่าจุดที่ซ่อนสมบัติจะอยู่ที่อื่น?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ เหมียวอี้กวาดสายตามองรอบๆ แล้วสุดท้ายก็ไปหยุดจ้องบนเสาหินตรงหน้า ชี้ถามว่า “นี่คงจะเป็นจุดกึ่งกลางของเกาะใช่มั้ย?”
“คงจะใช่ มีปัญหาอะไรเหรอ?” จงหลีค่วยพยักหน้าถาม
เหมียวอี้ถลันตัวขึ้นไป เหาะขึ้นไปด้านบนเสาหิน แล้วลอยตัวขึ้นอย่างช้า พอมองไปรอบๆ ก็พบว่าเสาต้นนี้เป็นจุดกึ่งกลางของเกาะจริงๆ จากนั้นก็เหาะลงมา พูดกับจงหลีค่วยที่กำลังทำสีหน้าสงสัยว่า “ทิวทัศน์ของที่นี่ไม่เลวเลย!”
“เจ้ายังมองเห็นทิวทัศน์ด้วยเหรอ?” จงหลีค่วยทำสีหน้าฉงนสนเท่ห์
เหมียวอี้กลับตอบไม่ตรงคำถาม “ลุงหนวด ถ้าข้าถูกใจศิษย์หญิงคนไหนของปราสาทดำเนินนภา ท่านจะช่วยเป็นสื่อกลางให้ข้าจริงๆ เหรอ?”
“…” จงหลีค่วยเบิกตากว้าง “ไหนเจ้าบอกว่าไม่เอาไง?”
“เมื่อกี้ข้าเพิ่งเจอคนหนึ่ง หน้าตาใช้ได้เลย” เหมียวอี้ว่าอย่างนั้น
จงหลีค่วยมองสำรวจรอบๆ ทันที “คนไหน? อยู่ที่ไหน?”
“ท่านไม่ต้องสนใจหรอก ข้าแค่อยากถามว่าท่านจะรักษาคำพูดมั้ย?”
“ก็ต้องรักษาคำพูดอยู่แล้ว แต่ข้าจะเตือนไว้ก่อนเลยนะ เรื่องนี้ต้องได้รับการยินยอมจากอีกฝ่ายด้วย ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอม เจ้าก็จะทำซี้ซั้วไม่ได้ เรื่องนี้บังคับกันไม่ได้”จงหลีค่วยกล่าวพลางเหลียวซ้ายแลขวา ถามว่า “ชอบคนไหนกันแน่?”
เรียกได้ว่าทำสีหน้าอยากรู้อยากเห็น ไม่รู้ว่าศิษย์หญิงคนไหนกันแน่ที่เปลี่ยนความคิดของเหมียวอี้ได้
“ไม่รีบหรอก! ข้าครุ่นคิดอีกทีค่อยตัดสินใจ ถึงอย่างไรสถานการณ์ในตอนนี้ของข้าก็ไม่สู้ดีนัก” เหมียวอี้โบกมือ
นี่คือข้ออ้างทั้งนั้น เช้าตรู่วันต่อมา เหมียวอี้ก็มาที่เกาะแห่งนี้คนเดียว ยืนเอามือไขว้หลังรออยู่ใต้เสาหิน
ตอนที่เส้นขอบฟ้ามีแสงสว่างจางๆ เหมียวอี้ก็เหาะขึ้นบนฟ้า ลอยขึ้นเหนือเสาหินในระดับความสูงสามพันจั้ง ลอยอยู่กลางอากาศพลางสังเกตการเปลี่ยนแปลงสีของท้องฟ้า
การกระทำของเขาดึงดูดความสนใจของศิษย์ปราสาทดำเนินนภาไม่น้อย มีคนมากมายใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองขึ้นไป ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ทำอะไรอยู่บนฟ้า
เหมียวอี้เองก็รู้ว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ใครใช้ให้แผนที่สมบัติระบุเครื่องหมายไว้ที่ปราสาทดำเนินนภาล่ะ เจ้าคงไล่คนของปราสาทดำเนินนภาออกไปหมดไม่ได้หรอก
ผ่านไปไม่นาน จงหลีค่วยก็เหาะขึ้นบนฟ้าอีกครั้ง แล้วขมวดคิ้วถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ากำลังทำอะไร?”
“ท่านจะมาทำตัวโดดเด่นเกินข้าทำไม?” เหมียวอี้ถาม
“ทำตัวเด่น?” จงหลีค่วยมึนงง “ทำตัวเด่นอะไรเกินเจ้า?”
เหมียวอี้ตอบอย่างหงุดหงิด “ข้ากำลังดึงดูดความสนใจของผู้หญิงคนนั้น ท่านจะมาประสมโรงด้วยทำไม? รีบไปเลย รีบไป ตอนนี้นางมองเห็นข้าแล้ว”
“…” จงหลีค่วยใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปข้างล่างทันที เห็นมีศิษย์หญิงจำนวนไม่น้อยกำลังมองขึ้นมาบนฟ้า ใครจะไปรู้ว่าเป็นคนไหน ในใจอยากรู้อยากเห็นมาก อดไม่ได้ที่จะถามว่า “คนไหนกันแน่? เจ้าบอกข้ามาตรงๆ ก็พอแล้ว ข้าจะไปทักทายและให้พวกเจ้าได้พูดคุยกันเลย จำเป็นต้องทำตัวยุ่งยากขนาดนี้มั้ย”
เหมียวอี้บอกว่า “ท่านไม่เข้าใจ ข้าแอบบอกเป็นนัยไว้ล่วงหน้าแล้ว ถ้านางตอบตกลง รออีกประเดี๋ยวก็มาหาข้าเองนั่นแหละ ข้ากับนางรู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย ถ้าทำไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร ทุกคนจะได้ไม่ต้องรับผลกระทบอะไร ลุงหนวด ท่านรีบลงไปเถอะ อย่ามาขัดขวางธุระของข้า!”
จงหลีค่วยพูดไม่ออก เขาไม่สะดวกจะขัดขวางธุระของอีกฝ่ายจริงๆ จึงถลันตัวออกไปทันที ไปยืนอยู่ข้างๆ ตำหนักคุมงาน ที่จริงแล้วฝูเสี่ยนอาจารย์ของเขาสั่งให้เขามาดูว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ เขาย่อมต้องกลับไปรายงาน
หลังจากรู้ความจริงแล้ว พวกหมิงจ้าวที่ทยอยเข้ามาในตำหนักคุมงานเพื่อถามไถ่ถึงเหตุการณ์ก็อยู่ที่นี่ต่อ เดินคุยเล่นกันนอกตำหนักพลางมองไปทางเหมียวอี้เป็นระยะ พวกเขาก็สงสัยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังแอบส่งสัญญาณลับให้ศิษย์หญิงคนไหนกันแน่ ไม่รู้ว่าศิษย์หญิงคนนั้นจะตอบรับหรือเปล่า เหมียวอี้มีอนาคตที่น่าเป็นห่วงนะ!
ตอนที่ตรงเส้นขอบฟ้ามีแสงสีทองปรากฏ เหมียวอี้ที่ลอยอยู่บนฟ้าก็เหาะขึ้นสูงกว่าเดิม เหาะขึ้นสูงอีกสามพันจั้ง พออยู่สูงในระดับหกพันจั้งแล้ว ก็ก้มมองลงมาที่พื้นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล รอให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ส่องแสงพร้อมกัน หยินหยางรวมกันอยู่ใต้เท้าตัวเอง
ตอนที่ช่วงเวลานั้นกำลังใกล้เข้ามาทีละนิด บนพื้นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล ในที่สุดภาพที่อลังการงานสร้างก็ปรากฏขึ้นมา สตรีทะยานฟ้าที่กางแขนอย่างอ่อนช้อยโผล่มาแล้ว ปรากฏขึ้นแล้วจริงๆ!
เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย! เหมียวอี้กำหมัดแน่น รู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิมมาก รีบใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปบนฝ่ามือของผู้หญิงคนนั้น ตรงจุดที่อยู่ไกลๆ มันคือภูเขาลูกหนึ่ง!
…………………………