พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 961 ช่วยเหลือสักสามเรื่อง
หาจนทั่วแล้วยังไม่เจอ จู่ๆ เหมียวอี้ก็พบว่าสิ่งที่ตัวเองเฝ้าคอยมาตลอดสูงเกินไปรึเปล่า ใครบอกล่ะว่าต้องเป็นราชันลัทธิมารเท่านั้นที่ซ่อนสมบัติไว้? ตอนแรกมีแค่แผนที่ซ่อนสมบัติของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน ก็ทำให้คิดไปแล้วว่าเป็นสมบัติที่ราชันลัทธิมารซ่อนไว้ ตอนนี้มีมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงโผล่มาอีกแล้ว จะเอาอะไรมาแน่ใจว่าเป็นราชันลัทธิมารล่ะ?
เมื่อเชื่อมโยงแผนที่สมบัติสองฉบับนี้ เขาก็สงสัยว่าผู้ซ่อนสมบัติไม่ใช่ราชันลัทธิมารอะไรนั่นเลย
พอนึกถึงจุดนี้ ท่านขุนนางเหมียวก็สิ้นหวังสุดๆ ทำได้เพียงหยุดการค้นหาสุ่มสี่สุ่มห้า เดินวนรอบกิ้งก่าเพลิงที่โดนขังสองสามรอบ แล้วส่ายหน้าเดินออกไป ดำเข้าไปในหินหนืดเพลิงอีกครั้ง
เหมียวอี้เหาะออกจากกลางภูเขาไฟมาเหยียบลงบนยอดเขา ตอนที่ก้มมองลงไปข้างล่างอีกครั้ง เขาก็ทอดถอนใจมาก ซ่อนสมบัติไว้ตรงนี้ ต่อให้มีคนลงไปได้ แต่ก็คงไม่รู้ว่าผู้ซ่อนสมบัติจะสามารถค้นหาจนทั่วแล้วสุดท้ายพบทางเข้าเล็กๆ ในหินหนืดที่อยู่ลึกลงไปหนึ่งพันจั้ง จากดาวแมกไม้จนถึงที่นี่ จากที่ค้นหามาตลอดทาง เขาพบว่าผู้ซ่อนสมบัติมีความคิดรอบคอบมากทีเดียว
หลังจากกลับมาถึงปราสาทดำเนินนภา เหมียวอี้ก็นำระฆังดาราออกมาติดต่อศีลแปด ผลปรากฏว่าไม่มีการตอบกลับ ไม่รู้ด้วยว่าสถานการณ์ของเจ้าบ้านั่นเป็นอย่างไรกันแน่ และเขาก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ไปตลอด คาดว่าความอดทนของสมาคมวีรชนมีจำกัด ถึงได้เป็นฝ่ายกล่าวอำลาปราสาทดำเนินนภา
ทางปราสาทดำเนินนภาก็รักษาคำพูดเหมือนอย่างเคย ยังส่งหมิงจ้าวและนักพรตระดับบงกชรุ้งอีกสองคนให้คุ้มกันส่ง เหาะอยู่ในอวกาศด้วยความเร็วตลอดทางจนถึงดาวเทียนหยวน
เมื่อส่งเหมียวอี้เข้าไปในตลาดสวรรค์ พวกหมิงจ้าวก็นับว่าทำภารกิจสำเร็จแล้ว ทั้งสองฝ่ายกล่าวอำลาและบอกให้อีกฝ่ายรักษาตัวดีๆ
คนกลุ่มหนึ่งตามมาตลอดทางตั้งแต่อยู่ในอวกาศ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนของสมาคมวีรชน พอตามเข้ามาในเมือง ก็เจอหน้าพวกหมิงจ้าว ทั้งสามสบตากับคนพวกนั้น แล้วหมิงจ้าวก็หันหลังกลับไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ก่อนจะออกจากเมืองไปทันที
เหมียวอี้มองคนกลุ่มนั้นของสมาคมวีรชน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก หันหน้าเดินออกจากตรงนั้นไป มุ่งตรงสู่ร้านขายของชำซื่อตรงเพื่อเข้าพบอวี้ซวีเจินเหริน
เมื่อเห็นเหมียวอี้ อวี้ซวีเจินเหรินก็รู้สึกผิดมาก ยื่นมือเชิญให้เหมียวอี้นั่งลงแล้วบอกว่า “ฆราวาส ที่ปล่อยร้านขายของชำไป… สำนักลมปราณก็หมดหนทางแล้วจริงๆ!” ขณะที่พูดก็ใช้สองมือยื่นสัญญาให้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย
เหมียวอี้เข้าใจว่าทางสำนักลมปราณยังไม่รู้เรื่องที่สมาคมวีรชนกำลังไล่สังหารเขาอยู่ สำหรับเรื่องบางเรื่อง ในเมื่อเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ หลังจากเหมียวอี้รับสัญญามาอ่านดู ก็กล่าวอย่างสั้นกระชับเพื่อลดความยุ่งยากว่า “ข้าเองก็รักษาหุ้นส่วนนี้ไว้ไม่อยู่แล้วเช่นกัน เตรียมจะปล่อยแล้ว! เจินเหริน รบกวนท่านนำกำไรพิเศษของร้านขายของชำที่ค้างไว้มาชำระให้ข้าได้มั้ย ข้าคิดว่าคงไม่ยากอะไรหรอกใช่มั้ย?”
อวี้ซวีเจินเหรินพยักหน้า แล้วถามว่า “ต้องการเมื่อไรล่ะ?”
“ตอนนี้เลย ยิ่งเร็วยิ่งดี แลกทั้งหมดเป็นยาแก่นเซียนให้ข้า ข้ามีเวลาไม่มากแล้ว” เหมียวอี้ตอบ
“ดี!” อวี้ซวีเจินเหรินเอ่ยรับ บอกให้เขารอสักครู่ แล้วไปจัดการทันที
หลังจากนั้นเกือบครึ่งชั่วยาม อวี้ซวีเจินเหรินก็นำกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งและแผ่นหยกแผนหนึ่งส่งให้เหมียวอี้นับ
เหมียวอี้มองดูรายละเอียดการคิดบัญชีในแผ่นหยก ทำให้ตกตะลึงทันที พอมองดูของในกำไลเก็บสมบัติอีกครั้ง ก็พบว่าเหมือนจะไม่ตรงกัน อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจินเหริน จำนวนผิดพลาดหรือเปล่า?”
อวี้ซวีเจินเหรินส่ายหน้าบอกว่า “กำไรพิเศษของสามร้อยห้าสิบปี มีจำนวนเกือบหนึ่งล้านแปดแสนล้าน ครั้งก่อนท่านนำยาแก่นเซียนไปแล้วหนึ่งล้านหนึ่งแสนล้าน ก่อนหน้านี้ท่านเบิกไปสองแสนล้าน ห้าแสนล้านที่เหลือก็แลกเป็นยาแก่นเซียนให้ท่านห้าล้านเม็ด ทั้งหมดอยู่ในแหวนเก็บสมบัติแล้ว”
ครั้งก่อนให้อวิ๋นจือชิวไปแล้วสองแสนล้าน เหมียวอี้ยกแผ่นหยกขึ้นมาถามอย่างแปลกใจ “งั้นถ้าแยกจำนวนรวมในแผ่นหยกออก แล้วสามล้านหกแสนล้านผลึกแดงมันคืออะไรล่ะ?”
อวี้ซวีเจินเหรินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะอธิบายว่า “นี่คือความประสงค์ของเจ้าสำนัก เจ้าสำนักบอกไว้แล้ว ว่าสำนักลมปราณทนแรงกดดันนี้ไม่ไหว ฆราวาสเองก็คงทนแรงกดดันนี้ไม่ไหวเช่นกัน ถ้าฆราวาสต้องการจะถอนตัวออก เราก็จะไม่คำนวณตามกำไรพิเศษแล้ว แต่คำนวณตามกำไรที่ผู้บัญชาการเซี่ยโห้วได้ไป นำที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งมาเติมชดเชยให้ท่าน เจ้าสำนักบอกว่าในภายหลังท่านต้องได้ใช้แน่นอน ส่วนหนึ่งล้านแปดแสนล้านผลึกแดงที่เหลือ ทางพวกเรานำออกมาทั้งหมดรวดเดียวไม่ได้ ถ้าจ่ายเงินส่วนนี้ไปหมดจะส่งผลกระทบต่อการบริหารธุรกิจ จะอธิบายกับผู้ถือหุ้นคนอื่นไม่ได้ ดังนั้นพวกเราจึงแจ้งไปที่ร้านค้าอีกเก้าสาขาแล้ว พวกเขาจะแลกเป็นยาแก่นเซียนสิบแปดล้านเม็ดเพื่อมอบให้ท่านให้เร็วที่สุด”
เหมียวอี้ซาบซึ้งอยู่ในใจ แสดงว่าสำนักลมปราณพยายามช่วงชิงผลประโยชน์ที่มากที่สุดให้เขา จึงถามทันทีว่า “ทำแบบนี้จะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อสำนักลมปราณเหรอ?”
อวี้ซวีเจินเหรินตอบพร้อมรอยยิ้มขื่นขม “นี่คือส่วนแบ่งที่ท่านควรจะได้ไป ถ้าท่านต้องการเบิกเป็นเงินสดก็เป็นเรื่องที่สมควร ไม่มีผลกระทบอะไรต่อพวกเราหรอก กลับเป็นสำนักลมปราณของพวกเราที่ติดค้างฆราวาสไว้เยอะ ที่สำนักลมปราณมีวันนี้ได้ ก็เพราะความช่วยเหลือจากฆราวาส เรื่องอื่นพวกเราก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน จะว่าไปแล้ว ตอนแรกที่บริหารร้านขายของชำนี้ พวกเราก็แค่อยากหาเงินนิดหน่อยเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นการบุกเบิกวิธีการบริหารแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในแดนฝึกตน ถึงขั้นทำให้คนพากันอิจฉา แบบนี้เรียกว่า ราษฎรเดิมไม่มีความผิด[1] แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด!”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่กล่าวคำขอบคุณอะไรมากแล้ว!” หลังจากกุมหมัดคารวะ เหมียวอี้ก็บอกว่า “ต่อไปนี้ข้าไม่มีรายได้อะไรแล้ว ตอนนี้ต้องการทรัพยากรฝึกตนจริงๆ ข้าไม่เกรงใจแล้วกัน เจินเหริน หนึ่งล้านแปดแสนล้านที่เหลือ ให้ยาแก่นเซียนข้าสิบล้านเม็ด แล้วให้ผลึกแดงข้าอีกแปดแสนล้าน”
“ตกลง!” อวี้ซวีเจินเหรินพยักหน้า “เพียงแต่ตอนนี้ยังเบิกมาไม่ได้ เกรงว่าต้องรออีกสักระยะถึงจะได้มา”
“ได้ขอรับ! ข้ามีธุระต้องขอตัวก่อน ถ้าได้ของแล้วรบกวนแจ้งข้าด้วย”
“เรื่องนี้ฆราวาสไม่ต้องห่วง”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คนพวกนั้นที่ฮุบหุ้นของร้านขายของชำไป รบกวนเจินเหรินนำรายชื่อมาให้ข้าสักฉบับ”
อวี้ซวีเจินเหรินตกใจ “ฆราวาส อย่าบุ่มบ่ามเชียวนะ ท่านไปมีเรื่องกับคนพวกนั้นไม่ไหวหรอก”
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “เจินเหรินคิดมากไปแล้ว ข้ายังไม่อยากรนหาที่ตายหรอก แค่จะเอาไปใช้อย่างอื่นเฉยๆ” แต่พูดเสริมในใจว่า ใครมันฮุบของของของข้า สักวันหนึ่งข้าจะให้มันคายออกมาทั้งต้นทั้งดอก ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย ก็เตรียมตัวรอข้าไว้ได้เลย!
หลังจากบอกเรื่องบางอย่างไว้ชัดเจนแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่นาน เดินออกจากร้านขายของชำซื่อตรง มุ่งตรงสู่เขตเมืองตะวันออก
ระหว่างทาง ไม่น่าเชื่อว่าคนของสมาคมวีรชนจะติดตามเขาอย่างโจ่งแจ้ง เรียกได้ว่าจับจ้องเขาอย่างไม่เกรงกลัวอะไรเลย
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้าลงมือที่นี่ เหมียวอี้จึงไม่กลัวพวกเขา กลัวแค่หวงฝู่จวินโหรวจะขอให้ไอ้เวรเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาบังคับเท่านั้น จึงรีบหลบไปที่อาณาเขตของศัตรูคู่แค้นของเซี่ยโห้วหลงเฉิง มาขอพบโค่วเหวินหลานจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก
ผ่านไปครู่เดียว หลังจากรายงานแล้ว คนเฝ้าประตูก็ปล่อยเขาเข้าไป คนของสมาคมวีรชนที่หยุดอยู่หน้าจวนผู้บัญชาการมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่กล้าบุกเข้าไปโดยพลการ หนึ่งในนั้นมีคนรีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อหวงฝู่จวินโหรว
เหมียวอี้ที่ถูกพาเข้าไปที่ห้องรับแขกรออยู่ครู่หนึ่ง โค่วเหวินหลานถึงได้เดินเนิบนาบเข้ามา แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “พี่หนิวช่างเป็นแขกทีนานๆ มาที!”
เหมียวอี้รีบยืนขึ้นคำนับ “คำนับผู้บัญชาการโค่ว!”
โค่วเหวินหลานยื่นมือเชิญให้ดื่มชา หลังจากตัวเองนั่งลง ก็สะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมาป้องปากหัวเราะ “ได้ยินว่าคนของสมาคมวีรชนสนใจพี่หนิวมากเชียวนะ ไม่ทราบว่าพี่หนิวมาเยี่ยมตอนนี้เพราะมีอะไรจะชี้แนะ?”
เหมียวอี้เห็นรอยยิ้มในดวงตาเขาแฝงความหมายลึกซึ้ง รู้สึกเหมือนเขาจะเดาออกถึงเจตนาของตน รู้สึกวูบในหัวใจทันที คนคนนี้ฉลาดกว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเยอะ
“ท่านผู้บัญชาการรู้ข่าวไวจริงๆ! มิบังอาจชี้แนะหรอก” เหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก พูดตรงๆ เลยว่า “ท่านผู้บัญชาการคงรู้แล้วว่าทำไมคนของสมาคมวีรชนจึงไล่ตามข้าไม่ปล่อย สมาคมวีรชนคุกคามรังแกกันเพื่อหุ้นร้านขายของชำสองส่วนในมือข้า รังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ ข้าเลยยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์[2] ยินดีจะนำหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรงมอบให้ท่านผู้บัญชาการ!”
โค่วเหวินหลานตาเป็นประกายทันที
คนที่มีพื้นเพแบบเขา ปกติจะไม่มาสนใจเรื่องทำธุรกิจเอง เพราะความรู้สึกค่อนข้างช้า สู้คนทำธุรกิจอย่างหวงฝู่จวินโหรวไม่ได้ นางมองเห็นอนาคตของร้านขายของชำตั้งแต่แรก กำจัดคนเห็นต่างและเข้ามาแทรกแซงตั้งนานแล้ว แม้แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เป็นไอ้โง่ในสายตาเขาก็ช้อนหุ้นไปแล้วสองส่วน
ร้านขายของชำที่เมื่อก่อนไม่ค่อยสะดุดตา ปัจจุบันหลังจากขยายสาขาแล้ว การผงาดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้การร้องทุกข์ของพวกพ่อค้าดึงดูดความสนใจคนจำนวนมากทันที หลังจากให้ความสนใจเพิ่มขึ้น คนพวกนั้นก็ค้นพบอย่างตกตะลึงว่า ถ้าใช้วิธีการบริหารแบบนี้กับธุรกิจของทั้งแดนฝึกตน ในภายหลังนักพรตทั้งใต้หล้าจะต้องทำการซื้อขายกับร้านขายของชำนี้แน่นอน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำไรที่เกิดขึ้นจะน่าดูขนาดไหน
ยิ่งคนที่มีฐานะตำแหน่งสูง ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งมาก ลูกน้องที่เลี้ยงไว้ก็ยิ่งมีเยอะ ตระกูลโค่วก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำเป็นส่วนแบ่งที่ไม่น้อยเลย!
โค่วเหวินหลานค่อยๆ วางผ้าเช็ดหน้าในมือลง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ในใต้หล้านี้ไม่มีของที่ได้มาโดยไม่ต้องจ่าย มีเงื่อนไขอะไรก็ว่ามาตรงๆ เถอะ”
ไม่จำเป็นต้องพูดคลุมเครืออ้อมค้อมกับคนประเภทนี้ เหมียวอี้บอกตรงๆ เลยว่า “อยากจะขอให้ท่านผู้บัญชาการช่วยอะไรนิดหน่อยสักสามเรื่อง”
“ช่วยนิดหน่อย?” โค่วเหวินหลานเลิกคิ้ว แล้วพยักหน้าบอกว่า “ว่ามาให้ฟังก่อนสิ”
เหมียวอี้ยืนขึ้น “หนิวโหย่วเต๋อไร้ความามารถ แต่อยากจะเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์!”
เรื่องนี้จัดการได้ยากสำหรับคนทั่วไป คนที่ตำหนักสวรรค์จะรับเป็นขุนนาง โดยทั่วไปจะเป็นคนที่สามารถสร้างคุณูปการอย่างชัดเจนให้ตำหนักสวรรค์ได้ ต่อให้เป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ถ้ามีอำนาจมากพอที่จะรวบรวมพลังปรารถนาของสาวกให้ตำหนักสวรรค์ ก็สามารถได้รับแต่งตั้งจากตำหนักสวรรค์ได้ทั้งนั้น หรือที่พวกมนุษย์เรียกกันว่าสำเร็จเป็นเซียนเป็นพระ สำนักพุทธที่มีอำนาจทัดเทียมกับตำหนักสวรรค์ก็ใช้หลักการนี้เหมือนกัน ส่วนนักพรตทั่วไปที่อยากจะได้รับแต่งตั้งจากตำหนักสวรรค์ อย่างน้อยก็ต้องมีคนของตำหนักสวรรค์สามคนแนะนำและรับประกันให้ โดยทั่วไปถ้าไม่ใช่คนที่เชื่อใจกันมาก ก็จะไม่มีใครมารับประกันให้ ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาก็จะต้องติดร่างแหไปด้วย
แต่สำหรับตระกูลโค่ว เหมียวอี้เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
โค่วเหวินหลานยังสีหน้าไม่เปลี่ยน เพียงเหล่ตามองมา พลางถามเสียงเรียบว่า “อยากเป็นขุนนางระดับใหญ่ขนาดไหน?”
“จะเล็กจะใหญ่ก็ไม่เป็นไร แล้วแต่ท่านผู้บัญชาการจะจัดให้” เหมียวอี้ตอบ
“บอกมาสักสองเรื่องก่อนแล้วกัน?” โค่วเหวินหลานถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ในปีนั้นตอนเพิ่งเริ่มเปิดร้านขายของชำซื่อตรง ข้าน้อยเคยไปขอยืมเครื่องประดับชุดหนึ่งมาเรียกกระแสนิยม เรื่องนี้ท่านผู้บัญชาการรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ตอนขอยืมเครื่องประดับพวกนั้นมา ข้าน้อยรับปากอีกฝ่ายไว้ว่าจะหาหน้าร้านที่ตลาดสวรรค์ให้สักร้าน แต่จนใจที่ความสามารถมีจำกัด ยังไม่ได้ทำตามสัญญา เลยอยากจะขอให้ท่านผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกดูแลจัดหาให้สักร้าน”
“อยากได้ร้านที่ใหญ่ขนาดไหนล่ะ?” โค่วเหวินหลานถามอีก
“จะเล็กจะใหญ่ก็ไม่เป็นไร แล้วแต่ท่านผู้บัญชาการจะจัดให้!” เหมียวอี้ตอบ
สำหรับสองเรื่องนี้ เขาไม่เสนอเงื่อนไขใดๆ กับอีกฝ่าย ไม่มีการต่อรองใดๆ ทั้งนั้น ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกลำบากใจอะไรทั้งนั้น ต้องรู้จักสละทิ้ง ถึงจะได้สิ่งตอบแทนกลับมาง่ายๆ!
…………………………
[1] ราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด 匹夫无罪怀璧其罪 อุปมาว่า มีภัยเพราะความสามารถของตัวเอง
[2] ยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์宁为玉碎 , 不为瓦全 อุปมาว่า ตั้งมั่นในความดีไม่เปลี่ยนแปลงไม่หลงไปในทางเลว