พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 972 ยอดเขาโอนเอน
แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่ได้ปัญญาอ่อนเหมือนที่เขาจินตนาการหรอก ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ลูกน้องของเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้โง่ขนาดนั้น
การกรีธาทัพออกปราบเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ต่อให้ลูกน้องจะรู้ว่าเจ้านายตัวเองไร้เหตุผล แต่ก็จำเป็นต้องกัดฟันตักเตือน พอได้รับคำตักเตือนแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เขาพาเทพแห่งผืนดินเหาะขึ้นฟ้าไป เห็นได้ชัดว่าจะมองหาจุดที่แม่นยำจากบนท้องฟ้า จากนั้นค่อยรุกโจมตีในแนวตั้ง จะโจมตีให้อีกฝ่ายทำอะไรไม่ถูก
เซี่ยโห้วหลงเฉิงขึ้นไปข้างบนแล้ว สอดคล้องกับเจตนาของโค่วเหวินหลานพอดี โค่วเหวินหลานสั่งให้ลูกน้องถอดเกราะทองและมุ่งไปข้างหน้าในแนวตรง
ระหว่างทาง ทุกคนพบว่าดาวเคราะห์ที่มืดสลัวนี้ก็มีด้านที่เป็นเสน่ห์เหมือนกัน ตอนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองลงมาข้างล่าง ถึงแม้ดาวเคราะห์ดวงนี้จะขาดแคลนแสงอาทิตย์ แต่กลับมีพืชจำนวนหนึ่งที่เปล่งแสงอยู่ท่ามกลางความมืดสลัว คล้ายๆ ฉากยามค่ำคืนที่เหมียวอี้เห็นที่เผ่าปีศาจของดาวแมกไม้
“น้องหนิว ปกติพวกพี่น้องปฏิบัติกับเจ้าอย่างไรบ้าง?”
เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดว่าถ้าเกิดการต่อสู้ขึ้นมา ตัวเองควรจะไปอยู่ตรงไหน แต่จู่ๆ สวีถังหรานก็ถ่ายทอดเสียงเบาๆ มาที่หู
เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะเอียงหน้ามองแวบหนึ่ง เห็นสวีถังหรานกำลังมองตนด้วยแววตาเฝ้าคอย ไม่รู้ว่าทำไมถึงถามคำถามแบบนี้ จึงถ่ายทอดเสียงตอบว่า “พี่สวีค่อนข้างดีต่อข้า”
สวีถังหรานจึงบอกว่า “งั้นก็ดี! ข้าจะไม่ปิดบังอะไรต่อหน้าพี่น้องก็แล้วกัน ผู้บัญชาการโค่วบอกไว้แล้ว ว่าถ้าเขาได้ขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ก็จะมอบตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกให้เป็นรางวัลแก่ผู้ที่สร้างผลงาน น้องหนิวรู้สึกว่าพี่สวีมีคุณสมบัติที่จะนั่งตำแหน่งนั้นมั้ย?”
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ แต่ก็ตอบทันทีว่า “แน่นอน มีคุณสมบัติแน่นอนอยู่แล้ว”
สวีถังหรานพูดต่อว่า “ได้ยินคำพูดแบบนี้จากน้องชายข้าก็วางใจ อีกประเดี๋ยวถ้ามีการต่อสู้กันขึ้นมา หวังว่าน้องชายจะยืนอยู่ฝ่ายข้า ช่วยเหลือพี่สวีอีกแรง ขอเพียงพี่สวีได้ขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ต่อจะดูแลน้องชายอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแน่!”
เหมียวอี้เข้าใจแล้ว นอกจากเขาที่ไม่มีลูกน้องอยู่ที่เขตเมืองตะวันออก ทหารเลวอีกหกคนล้วนมีลูกน้องติดมาด้วยสี่คน ทุกคนมีกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกัน การช่วงชิงผลงานย่อมสูสีเช่นกัน ถ้ามีเหมียวอี้เพิ่มมาอีกคน ก็ย่อมมีโอกาสชนะเพิ่มมาอีกส่วน ต่อให้เหมียวอี้จะไม่ยอมช่วยเขา แต่ขอเพียงไม่ไปยืนอีกฝั่งและมาเป็นศัตรูกับเขาก็พอแล้ว
“ได้เลย!” เหมียวอี้เอ่ยรับ แสดงออกว่าเข้าใจ
ตรงนี้เพิ่งรับมือกับสวีถังหรานเสร็จ ปู้เหลียนจงที่เหาะอยู่ข้างหน้าก็ผ่อนความเร็วอย่างแนบเนียน ค่อยๆ เหาะมาเคียงข้างกับเหมียวอี้ที่เหาะอยู่ข้างหลังสุด แล้วถ่ายทอดเสียงถามเงียบๆ “น้องชาย เจ้าคิดว่าพี่ปู้คนนี้ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร?”
พอได้ยินคำถามนี้ เหมียวอี้ก็ปวดประสาท ไม่ต้องบอกก็รู้ คำถามเดิมมาอีกแล้ว เขาตอบอย่างจริงจังว่า “การวางตัวของพี่ปู้ย่อมไม่ต้องพูดถึง”
ปู้เหลียนจงพูดต่อ “ข้าก็ชอบการวางตัวของน้องหนิวเหมือนกัน ข้าจะไม่พูดเยอะ น้องหนิวเองก็ได้ยินสิ่งที่ผู้บัญชาการโค่วบอกแล้ว ถ้าผู้บัญชาการโค่วได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ก็จะมอบตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกให้ขุนนางที่มีผลงาน ถ้าข้าได้นั่งในตำแหน่งนั้น ตำแหน่งรองผู้บัญชาการก็จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากน้องหนิว หวังว่าในศึกนี้น้องหนิวจะช่วยข้าอีกแรง!”
ตำแหน่งรองผู้บัญชาการเหรอ? เหมียวอี้ได้ยินแล้วอยากขำ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาทำการกับทางการที่พิภพเล็กมาหลายปี เกรงว่าจะเชื่อคำพูดเหลวไหลประเภทนี้แล้ว ปู้เหลียนจงมีลูกน้องสี่คน ตำแหน่งรองผู้บัญชาการมีแค่สองตำแหน่ง จะถึงคราวของข้าเหรอ? ถึงตอนนั้นต่อให้เจ้าจะไม่ให้ข้า ข้าก็พูดอะไรไม่ได้แล้ว!
แต่ปากก็ยังตอบซ้ำๆ ว่า “พี่ผู้พูดถึงขั้นนี้แล้ว ข้ายังจะพูดอะไรได้อีก ตกลง!”
ปู้เหลียนจงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วค่อยๆ เร่งความเร็วนำไปข้างหน้า ตามประกบคุ้มกันข้างหลังโค่วเหวินหลาน
ผ่านไปครู่เดียว สวี่เต๋อก็ค่อยๆ เข้ามาใกล้ “น้องหนิว เดี๋ยวกลับไป ข้าจะจัดการเรื่องเถ้าแก่เนี้ย ‘ร้านโฉมเมฆา’ ให้”
เหมียวอี้ตกใจทันที เจ้าจะจัดการอะไร? เหมียวอี้คิดว่าเขามาด้วยจุดประสงค์เดียวกับสองคนก่อนหน้านี้ ใครจะคิดว่าจะพูดถึงเรื่องอวิ๋นจือชิว จึงตอบทันทีว่า “จัดการอะไรเหรอ?”
สวี่เต๋อตอบว่า “ในเมื่อน้องหนิวชอบเถ้าแก่เนี้ยคนนั้น ข้าคิดได้แล้ว เรื่องนี้พี่น้องไม่เสียดายที่จะทุ่มเท เดี๋ยวข้าจะหาทางกำจัดผู้ชายของนางทิ้ง จะพยายามทำให้น้องหนิวได้อุ้มสาวงามกลับบ้านแน่นอน! เพียงแต่เจ้าเองก็รู้ พวกเราล้วนเป็นทหารเลว ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจที่เขตเมืองตะวันออก แต่ถ้าข้าได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ทุกอย่างก็ต่างออกไปแล้ว แบบนั้นข้าจะมีอำนาจตัดสินใจที่เขตเมืองตะวันออก เถ้าแก่เนี้ยคนนั้นก็จะเป็นเนื้อในปากน้องหนิว ต่อให้นางไม่ยอมก็ต้องยอม! และแน่นอน ถ้าข้าได้เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก น้องหนิวก็ย่อมได้เลื่อนขั้น ตำแหน่งรองผู้บัญชาการต้องเป็นของน้องหนิวแน่นอน น้องหนิวเอ๊ย เจ้าคิดอย่างไรก็เอ่ยปากมาสักคำ ข้ารู้ว่าคนอื่นก็ต้องมาหาเจ้าเหมือนกันแน่ๆ แต่อาจจะไม่ได้จริงใจเหมือนข้า ส่วนน้องหนิวจะยืนอยู่ฝ่ายข้าหรือไม่ ข้าก็ไม่ฝืนใจแน่นอน เพียงอยากจะให้น้องหนิวบอกมาสักคำ!”
ขณะที่พูดไม่ออก เหมียวอี้ก็โล่งใจ สงสัยที่พูดอ้อมไปอ้อมมาก็เพื่อตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกนี่เอง เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “พี่สวี่พูดถึงขั้นนี้แล้ว ข้ายังจะพูดอะไรได้อีก ท่านวางใจเถอะ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”
สวี่เต๋อเผยรอยยิ้มชื่นชม แล้วพยักหน้าเบาๆ
ยังไม่หมด มีคนมาพูดแบบนี้กับเขาคนแล้วคนเล่า จุดประสงค์ก็ไม่ซับซ้อนเลย ต่อให้เหมียวอี้จะไม่ช่วยฝ่ายตน แต่ก็หวังว่าเหมียวอี้จะไม่มาสู้กับตนเพื่อเพิ่มกำลังให้ฝ่ายตรงข้าม
เหมียวอี้เริ่มไม่เข้าใจแล้ว ทำไมพวกเจ้ามั่นใจว่าข้าอยากเป็นแค่รองผู้บัญชาการล่ะ ทำไมข้าจะเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกไม่ได้ ทำไมข้าต้องทำงานให้พวกเจ้าด้วยล่ะ?
แต่เขาก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว เหตุผลซับซ้อนเลย แค่เพราะเขาไม่มีกำลังพล ทั้งยังมีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง ในสายตาของทุกคน เขาไม่มีความสามารถที่จะไปแย่งชิง จึงนึกว่าเขาจะไม่คิดฝันเพ้อเจ้อถึงสิ่งนั้น
แต่เขาเป็นคนยังไงล่ะ ตอนที่ไปค้นหาสมบัติกับปราสาทดำเนินนภา เขาก็ยังแอบแข่งกับปราสาทดำเนินนภาว่าใครจะได้สมบัติมาไว้ในมือ แล้วจะกลัวเรื่องแข่งขันกับพวกเขาได้อย่างไร? ตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เขาเองก็อยากเป็นเหมือนกัน ทุกคนพึ่งพาความสามารถของตัวเองไปเถอะ คำสัญญาปากเปล่าที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรในภายหลัง เขาไม่เชื่อหรอก!
ระยะทางสามพันลี้ สำหรับกลุ่มนักพรตบงกชทอง ไม่นับว่าเป็นระยะทางที่ไกลเท่าไรนัก
หลังจากเดินทางเป็นเส้นตรงได้สามพันลี้ ก็เริ่มได้กลิ่นกำมะถัน เป็นเหมือนที่เทพแห่งผืนดินบอก ท่ามกลางเขาหลายลูกที่เชื่อมต่อกัน ที่ภูเขาแต่ละลูกมีควันดำลอยขึ้นมา ราวกับเป็นปล่องไฟใหญ่
โค่วเหวินหลานนำลูกน้องไปเหยียบลงบนภูเขาแห่งหนึ่ง ทุกคนรีบร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดมองโดยรอบ
บนยอดเขาอุณหภูมิค่อนข้างสูง ไม่ค่อยสอดคล้องกับโลกที่มีลมหนาวยะเยือกพัดมาเป็นระลอกแบบนี้ โค่วเหวินหลานเดินไปบนปากปล่องที่มีควันแล้วก้มมอง พบว่าด้านล่างมีหินหลอมเหลวสีแดงฉานไหลกลิ้งไม่หยุด ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วที่นี่คือกลุ่มภูเขาไฟ เพียงแต่ไม่รู้ว่าในหินหนืดมีส่วนประกอบอะไร ถึงทำให้มีควันดำลอยโขมง
“นายท่าน! ภูเขาที่สูงที่สุดลูกนั้นคงจะเป็นยอดเขาโอนเอน” รองผู้บัญชาการหงพลันโบกมือชี้ไปยังจุดไกลๆ ที่ขมุกขมัว ตรงนั้นมีภูเขาสูงที่มองเหนรางๆ ลูกหนึ่ง ควันดำลอยโขมงทำให้มองเห็นไม่ค่อยชัด
โค่วเหวินหลานทอดสายตาจ้องมอง แล้วพยักหน้าเบาๆ
รองผู้บัญชาการซุนบอกว่า “นายท่าน ในเมื่อหาสถานที่พบแล้ว ทำไมไม่ฉวยโอกาสชิงลงมือก่อนหมีควายเซี่ยโห้วเพื่อความได้เปรียบล่ะขอรับ?” ความหมายในคำพูดก็คือ จะมัวรออยู่ตรงนี้ทำไม
รองผู้บัญชาการหงกล่าวอีกว่า “เทพแห่งผืนดินนั่นตกอยู่ในมือหมีควายเซี่ยโห้ว พวกเราไม่รู้ว่าเฮยหวังหน้าตาเป็นอย่างไร ทั้งยังไม่รู้สถานการณ์ของที่นี่ เจ้าไม่ได้ยินเทพแห่งผืนดินบอกเหรอว่าที่นี่ยังมีนักพรตผีตนอื่นอีก ถึงตอนนั้นคงแยกไม่ออกว่าใครคือเฮยหวัง หากเปิดช่องโหว่ให้เฮยหวังหนีไปได้จะทำอย่างไร?”
รองผู้บัญชาการซุนจึงบอกว่า “พี่หงกังวลมากไปแล้ว คนที่กล้าให้ที่พักกับนักโทษ แสดงว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด จะสนใจทำไมว่าใครคือเฮยหวัง ฆ่าให้หมดเกลี้ยงไม่ให้มีปลาหนีลอดแหก็ไม่ผิด สรุปก็คือจะให้เฮยหวังตกอยู่ในมือหมีควายเซี่ยโห้วไม่ได้”
โค่วเหวินหลานค่อนข้างลังเล ตอนที่มารีบร้อนฉุกละหุก แต่หลังจากมาแล้วกลับลังเลตัดสินใจไม่ได้ ตั้งแต่เขาออกจากบ้านมา ถึงแม้จะไล่ตามก้นซี่ยโห้วหลงเฉิง ไม่ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะไปเป็นผู้บัญชาการที่ไหน เขาก็ไปเป็นผู้บัญชาการที่นั่น แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นผู้บัญชาการของตลาดสวรรค์ของดาวต่างๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้นำกำลังพลออกปราบ ไม่มีประสบการณ์อะไร ไม่มีความมั่นใจ อดไม่ได้ที่จะคิดมาก
ในเวลานี้ เมื่อเห็นรองผู้บัญชาการซุนกล่าวแล้วรองผู้บัญชาการหงไม่มีความเห็นอะไรต่อ คนอื่นๆ ก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเช่นกัน ขณะที่โค่วเหวินหลานกำลังจะพยักหน้า จู่ๆ ก็ได้ยินเหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงมา “นายท่านผู้บัญชาการ จะประมาทไม่ได้!”
โค่วเหวินหลานกวาดสายตามอง ในดวงตาฉายแววสงสัย ไม่รู้ว่าทำไมเขาไม่พูดต่อหน้าทุกคน แต่กลับแอบถ่ายทอดเสียงมา จึงถ่ายทอดเสียงถามกลับทันที “หรือว่าเจ้ามีความคิดอันสูงส่งอะไร?”
ทั้งสองถ่ายทอดเสียงคุยกัน สายตาของคนอื่นๆ สลับมองทั้งสองฝั่ง
“ไม่นับว่าเป็นความคิดอันสูงส่งหรอก! นายท่าน ภายใต้การกดดันจากตำหนักสวรรค์ เหตุใดเฮยหวังจึงซ่อนตัวอยู่ที่นี่? ในเมื่อเฮยหวังกล้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ก็เป็นไปได้สูงว่าจะมีที่พึ่งพาอยู่บ้าง ในสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง การบุ่มบ่ามรุกโจมตีไม่ใช่เรื่องดี” เหมียวอี้ตอบ
โค่วเหวินหลานพยักหน้าเงียบๆ รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมีเหตุผล จึงถามต่อว่า “งั้นเจ้าคิดว่าควรจะรับมืออย่างไร?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ล้อม! แบ่งกำลังพลเป็นกลุ่มๆ แล้วดักซุ่มรอบยอดเขาโอนเอนในตำแหน่งที่สะดวกต่อการสังเกตการณ์ ไม่ต้องรีบลงมือ รอให้พวกเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาถึง ให้พวกเขาไปต่อสู้ก่อน พวกเราดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจับเฮยหวังสำเร็จล่ะ เจ้ารู้ถึงผลที่จะตามมาหรือเปล่า?” โค่วเหวินหลานถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าพวกเราคิดมากไปเอง ที่จริงสามารถจับตัวเฮยหวังได้ง่ายๆ พวกเราก็ห้ามนิ่งดูดาย ผู้บัญชาการต้องสั่งให้กรูกันเข้าไปทันที ไปช่วยผู้บัญชาการเซี่ยโห้วอีกแรง! ถ้าหากเฮยหวังมีผู้ช่วยอีก ก็ให้คนกล้าอย่างผู้บัญชาการเซี่ยโห้วไปประสบความพ่ายแพ้แทนพวกเราก่อน แล้วพวกเราค่อยลงมือก็ยังไม่สาย สรุปก็คือพวกเราดูสภานการณ์ในชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน จะสู้อย่างขาดสติไม่ได้!”
โค่วเหวินหลานเลิกคิ้ว มองไปยังเหมียวอี้ด้วยแววตาแปลกๆ เหมียวอี้พูดชัดเจนขนาดนี้ ถ้าเขายังไม่เข้าใจความหมาย เขาก็คงไม่ต่างอะไรกับคนโง่
เรียกว่าไปช่วยผู้บัญชาเซี่ยโห้วอีกแรงอะไรกันเล่า? ชัดเจนว่านี่คือการปล้นชิงตามไฟ[1]ชัดๆ ถ้าฝ่ายนี้ไปช่วยเซี่ยโห้วหลงเฉิงอีกแรงก็คงแปลกแล้ว ที่บอกว่าให้คนกล้าอย่างผู้บัญชาการเซี่ยโห้วไปประสบความพ่ายแพ้ก่อน ก็ชัดเจนว่าหวังให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับเฮยหวังสู้กันจนย่อยยับทั้งคู่ แล้วฝ่ายนี้ค่อยตักตวงผลประโยชน์ก็พอ ดังนั้นจึงต้องดูสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อน และต้องเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองด้วย ถ้าเฮยหวังร้ายกาจเกินไป ฝ่ายนี้ก็ไม่ยอมบุ่มบ่ามเอาชีวิตไปทิ้งแน่
“พูดจามีเหตุผล!” โค่วเหวินหลานพยักหน้าเบาๆ “ขุนพลเหมียว ดูจากแผนการที่รู้จักรุกเข้าถอยออก เหมือนเจ้ามีประสบการณ์ในสนามรบมานาน เป็นบุคคลมีความสามารถที่ควรเลี้ยงไว้ ข้าอนุมัติแผนของเจ้า ถ้าแผนการของเจ้าได้ผล หลังจากจบเรื่องข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีแน่นอน! ในเมื่อมีความคิดแบบนี้ ทำไมไม่พูดออกมาต่อหน้าทุกคน?”
“ข้าน้อยไม่มีตำแหน่งอะไรติดตัว สำหรับความคิดเห็นของผู้ร่วมงานทุกท่าน คนที่มาใหม่อย่างข้าน้อยไม่สะดวกจะคัดค้าน” เหมียวอี้กล่าว
พูดถึงขั้นนี้แล้ว โค่วเหวินหลานเองก็เป็นคนฉลาด เขากวาดสายตามองแวบหนึ่ง แต่ละคนกำลังมองเหมียวอี้กับเขาด้วยแววตาสงสัย ในในเกิดความรู้สึกบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ทำตามแผนของเหมียวอี้ทันที
…………………………
[1] ปล้นชิงตามไฟ 趁火打劫 หมายถึง ซ้ำเติมคนที่กำลังประสบเคราะห์ร้าย