พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 976 ใช้ทวนถาม
ความระเกะระกะหลังจากภูเขาถล่มแผ่นดินทลาย แสงสีแดงฉานของหินหลอมเหลวที่ไหลออกจากภูเขาไฟส่องสะท้อนใบหน้าของพวกเขา จู่ๆ ก็ทำให้เหมียวอี้รู้สึกว่าสีหน้าของคนพวกนี้โหดเหี้ยมเป็นพิเศษ! พวกที่ก่อนหน้านี้ยังเรียกตนว่าพี่ว่าน้อง แต่พอผ่านไปชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น นอกจากจะลอบจู่โจมตนแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าแต่ละคนยังคิดจะเล่นงานตนให้ถึงตายอีก
ไม่มีทางบรรยายความปวดร้าวเศร้าโศกในใจเหมียวอี้ได้เลย เขาทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน แต่ก็ดูดุดันเป็นพิเศษ ในดวงตาค่อยๆ พรั่งพรูความดุร้ายราวกับสัตว์ป่า
จู่ๆ สวี่เต๋อก็เร่งฝีเท้าดันเข้ามา ขณะที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ดันจนสองเท้าของเหมียวอี้เหมือนกับเป็นคันไถ ไถลจนพื้นดินเป็นรอยลึกอย่างรวดเร็ว
เสียงโครมครามดังไม่หยุดตลอดทาง หินก้อนใหญ่ที่ไหลลงจากภูเขาก้อนแล้วก้อนเล่าถูกร่างกายของเหมียวอี้ชนจนแตกกระจาย แต่เหมียวอี้ราวกับไม่สะทกสะท้าน ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องสวี่เต๋อที่ดันจนตัวเองถอยหลังอย่างรวดเร็วตลอดทาง ไม่ต้องดูก็รู้แล้ว สวี่เต๋อกำลังดันตนเข้าไปหาหินหนืดร้อนระอุที่ไหลออกมาจากกลางภูเขา อยากจะตอกตนลงในหินหนืด อยากจะเผาตนให้ตาย หรือไม่ก็ให้ศพหายไปอย่างไร้ร่องรอย
พลั่ก! หินหนืดที่ไหลร้อนถูกร่างกายของเหมียวอี้ชนจนประกายไฟที่สว่างพร่างพรายยิงออกมา ร่างกายครึ่งหนึ่งถูกดันเข้าในหินหนืดอุณหภูมิสูงสีแดงฉาน สิ่งที่เรียกว่าบุกน้ำลุยไฟก็เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่สีหน้าดุดันของเหมียวอี้ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงบนิ่งผิดปกติ แล้วกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “สวี่เต๋อ นี่เจ้ารนหาที่ตายเองนะ!”
“กำเริบเสิบสาน!” สวี่เต๋อแสยะยิ้ม ขณะทวนที่อยู่ในมืออีกข้างกำลังจะโบกแทงเข้าไปพร้อมกัน เหมียวอี้หันหน้ากลับมาพร้อมประกายไฟสวยตระการตา หินหลอมเหลวที่ไหลทะลักกระโจนไปทางเขาราวกับมังกรไฟ
พอสวี่เต๋อโบกทวนกวาด มังกรไฟหลายตัวก็โดนพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาโจมตีพังทันที แต่จู่ๆ ก็ต้องตกตะลึง เห็นเพียงบนข้อมือของเหมียวอี้ที่กำลังจับหัวทวนที่แทงคาอยู่บนหลังเอวมีเงาลึกลับสองสายกะพริบออกมา แล้วยิงเข้ามาทางเขาอย่างรวดเร็ว
ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดอะไร สวี่เต๋ออยากจะดึงทวนหนีออกมา แต่ใครจะไปคิด มือที่เปื้อนเลือดของเหมียวอี้กลับจับทวนที่เสียบหลังเอวตัวเองไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ถ้าอยากจะเอาทวนไปด้วยก็ต้องเอาเหมียวอี้ไปด้วย แล้วก็เห็นเหมียวอี้ชูทวนแทงเข้ามาอีก
เมื่ออยู่ภายใต้ความวิตกกังวล ก็ย่อมต้องปล่อยมือก่อนอยู่แล้ว สวี่เต๋อรีบถลันตัวหลบสัตว์ประหลาดสองตัวที่โจมตีไขว้เข้ามา
สัตว์ประหลาดสองตัวบินวนอยู่กลางอากาศ ตอนนี้ทุกคนถึงได้เห็นชัดๆ ว่ามันคือตั๊กแตนยักษ์หน้าตาหน้าเกลียดน่ากลัว ทั้งตัวมันวาวเหมือนโลหะประหลาด
ฉึก! พอเหมียวอี้ใช้มือดึง หัวทวนที่เสียบอยู่บนหลังเอวตัวเองครึ่งหนึ่งก็ถูกดึงออกมา ทำให้หลังเอวมีเลือดสดไหลทะลักทันที แต่ก็ถูกพลังอิทธิฤทธิ์ผนึกไว้อย่างรวดเร็ว
ขณะมองดูหัวทวนที่เปื้อนเลือดสดของตัวเอง เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ในหินหนืดสีแดงฉานก็เก็บทวนสีทองในมือ แล้วยกมือขึ้นทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของเฮยหวังที่อยู่ในทวนวิเศษผลึกแดง จากนั้นกรอกต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองเข้าไป พอร่ายอิทธิฤทธิ์เล็กน้อย ทวนวิเศษผลึกแดงในมือก็กะพริบแสงสีทองทันที มันคือทวนวิเศษผลึกแดงขั้นห้า!
เหมียวอี้หยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวมากัดคำหนึ่ง แล้วเงยหน้ามองสวี่เต่อที่กำลังทำสีหน้ามุ่งสังหาร ขณะเดียวกันก็เดินออกจากหินหลอมเหลวอย่างช้าๆ รองเท้ายาวสีทองที่เดินออกจากหินหลอมเหลวยังคงเปื้อนหินหลอมเหลวที่ร้อนผ่าว รอยเท้าสีแดงแต่ละก้าวทำให้เกิดควันบนพื้น พอปะทะกับความเย็น แสงสีแดงก็อับแสงลงอย่างรวดเร็ว
“ไม่ได้ใช้ทวนดีที่เหมาะมือมานานแล้ว ยังไม่ได้ฆ่าคนแบบถึงอกถึงใจเหมือนกัน ช่างน่าเสียดายนัก! ให้ข้าทดลองอานุภาพของทวนด้ามนี้หน่อยเป็นไง!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ แล้วจู่ๆ ก็สะบัดทวนสามที แทงไปทางซ้ายทางขวารวมทั้งปากภูเขาไฟที่อยู่ตรงหน้า
บึ้มๆๆ! พลังอิทธิฤทธิ์โหมซัดสาดออกมา แผ่นดินสะท้านภูเขาสะเทือน
การโจมตีประเภทนี้อาจจะไม่ได้ผลกับนักพรตระดับบงกชทอง แต่ยังได้ผลกับภูเขาหลายลูก ใต้ท้องภูเขาไฟสามลูกระเบิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น หินหลอมเหลวทะลักออกมาสามสาย ไหลลงมาในหุบเขาแห่งนี้พร้อมกับไอร้อนและควันดำ
เมื่อเห็นหินหลอมเหลวไหลเข้ามาปกคลุม สวี่เต๋อถึงได้สติกลับมา เมื่อครู่นี้ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะตกตะลึงกับสง่าราศี ‘เมื่อทวนอยู่ในมือ’ ของเหมียวอี้เข้าแล้ว พอได้สติกลับมาก็ลอยขึ้นทันที หลบหินหลอมเหลวที่ทะลักมาใต้เท้า
ถึงแม้หินหลอมเหลวร้อนผ่าวจะทำร้ายเขาไม่ได้ แต่เขาก็ไม่มีทางอยู่ตรงนี้ได้นาน
ตั๊กแตนสองตัวที่อยู่บนฟ้าพลันบินกลับมา กลับเข้ามาอยู่ในกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือของเหมียวอี้ เมื่อมีอาวุธที่เหมาะมือแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ตั๊กแตนช่วย แค่อยากจะแสดงอานุภาพของทวนที่อยู่ในมือตัวเองเท่านั้น!
ทุกคนได้แต่มองดูเข่าสองข้างของเหมียวอี้จมลงในหินหลอมเหลวร้อนผ่าวที่ไหลเข้ามาในหุบเขา เหมียวอี้ชูทวนชี้ไปยังกลุ่มทหาร “อยากจะฆ่าข้าเหรอ? หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว ใครกล้าก็เข้ามา!”
“รับความตายซะเถอะ!” หนึ่งในนั้นถลันตัวลงมาจากฟ้า ใช้ดาบด้ามหนึ่งฟันลงมาอย่างบ้าคลั่ง เป็นลูกน้องของสวี่เต๋อนั่นเอง นี่คือเวลาที่ควรทุ่มเทความพยายามแสดงความสามารถ
ลูกน้องของสวี่เต๋อตายไปแล้วสามคน เหลือเขาแค่คนเดียว
เหมียวอี้ถือทวนในแนวขวาง ไม่สะทกสะท้านใดๆ จนกระทั่งดาบใหญ่อยู่ห่างจากศีรษะตัวเองประมาณสิบนิ้ว ก็เกิดภาพมายาบนทวน จู่ๆ เงานั้นก็ขยับพร้อมแสงสีทอง ยิงออกมาราวกับผีพุ่งใต้ เร็วมาก! การออกทวนครั้งนี้เร็วจนทำให้นักพรตบงกชทองที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นแล้วตาลาย
แกร๊ง! เสียงดังฟังชัด หัวทวนที่แหลมคมแทงโดนด้ามของดาบใหญ่ที่ฟันลงมาได้อย่างแม่นยำ ฟันขาดอย่างง่ายดายราวกับหั่นเต้าตู้
“ระวัง!” สวี่เต๋อพลันตะโกนบอก
ผีพุ่งใต้สายนั้นยังไม่หยุดพุ่งไปข้างหน้า พอฟันด้ามดาบขาดแล้ว ก็ไถลเข้าไปในเกราะทองต่อ หัวทวนที่แหลมคมเสียบทะลุเกราะเข้าไปในหน้าอกของทหารคนนั้น
ทหารคนนั้นโดนเหมียวอี้ใช้ทวนตรึงไว้กลางอากาศ ขณะมองดูด้ามดาบในมือที่โดนฟันขาดไปครึ่งหนึ่ง ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความรู้สึกเหลือเชื่อ เลือดสดพุ่งออกจากหน้าอก ตรงนั้นคือตำแหน่งของหัวใจพอดี ทำให้เลือดลมปั่นป่วน รู้สึกเจ็บหน้าอกตอนหายใจ ที่มุมปากและรูจมูกมีเลือดสีแดงเข้มซึมออกมา
ในเวลานี้ ดาบยาวอีกครึ่งหนึ่งที่โดนฟันขาดกลิ้งลงไปถึงได้ส่งเสียง “ตู้ม” มันตกลงไปในหินหลอมเหลวสีแดงฉานที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ จมลงไปแล้ว!
สังหารได้ภายในการโจมตีครั้งเดียว! ทั้งยังสังหารได้รวดเร็วราบรื่น ไม่อืดอาดยืดยาดเลยแม้แต่น้อย สังหารจนเกิดความงามทางศิลปะ!
ทุกคนสูดหายใจอย่างตกตะลึง วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งเหมือนกันแท้ๆ แต่เมื่ออยู่ภายใต้น้ำมือหนิวโหย่วเต๋อกลับไม่มีแม้แต่กำลังโต้ตอบ ความสามารถแบบนี้ ต่อให้ทหารเลวคนอื่นๆ ก็ทำไม่ได้ เมื่อนักพรตบงกทองขั้นหนึ่งสู้กับพวกเขา อย่างน้อยก็สามารถทนรับได้หลายท่า
ร่างที่โดนตรึงอยู่กลางอากาศสั่นเทิ้ม เลือดสดไหลลงมาตามด้ามทวน
เหมียวอี้พลันเก็บทวน ทั้งคนทั้งทวนปักลงพื้นพร้อมกัน ทำให้ร่างของอีกฝ่ายกระทุ้งเข้าไปในหินหลอมเหลวที่ร้อนผ่าว เหมียวอี้ก้าวเท้าเหยียบตรงจุดที่ทวนแทงบนหน้าอกของอีกฝ่าย ทำให้อีกฝ่ายที่ยังตายไม่สนิทและกำลังดิ้นรนโดนเหยียบจมลงไปในหินหลอมเหลวสีแดงข้างล่างทั้งเป็นๆ
“อ้า…” คนที่โดนเหยียบลงในหินหลอมเหลวดิ้นรนเอาตัวรอดครั้งสุดท้าย ศีรษะและเท้าสองข้างกระดกขึ้นมา ส่งเสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชใจ ท่ามกลางเสียงแผดเผาฉ่าๆ ควันดำที่เจือกลิ่นเหม็นไหม้ลอยขึ้นมาใต้เท้าเหมียวอี้
เหมียวอี้ขยับเท้า เหยียบไปบนหน้าของอีกฝ่าย แล้วเหยียบศีรษะของเขาให้จมลงในหินหลอมเหลวอีกครั้ง เสียงกรีดร้องเงียบลงทันที เท้าสองข้างที่กำลังสั่นระริกค่อยๆ อ่อนแรง จมหายไปในหินหลอมเหลวอย่างช้าๆ
เหมียวอี้ดันโยกศีรษะเล็กน้อย สูดกลิ่นเหม็นไหม้เฮือกใหญ่ ทำท่าเหมือนกำลังดื่มดำกับมันมาก เป็นเรื่องที่คนปกติทำกันเสียที่ไหน นี่มันยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก ทุกคนมองดูภาพนี้จนอยากอาเจียน แต่ละคนกลืนน้ำลาย รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ขนลุกเหงื่อไหล เรียกได้ว่าตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว มีบางคนถึงขั้นนสงสัยว่าการที่พวกเราทำแบบนี้ เป็นการท้าทายผิดคนหรือเปล่า?
เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย เรียกได้ว่าสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ ดึงทวนออกมาอย่างช้าๆ แล้วชี้ไปที่สวี่เต๋อโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ ใช้ทวนถามแทน : กล้าสู้กับข้ามั้ย!
สวี่เต๋อมองไปที่ภูเขาด้านข้าง แล้วตะโกนอย่างโมโหว่า “ทุกคนมัวลังเลอะไรอยู่? ยังไม่รีบเข้าไปพร้อมกันอีก ยังไม่รีบร่วมมือกันกำจัดไอ้คนจัญไรที่มันวางกับดักทำร้ายพี่น้องตัวเองอีก!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็เห็นได้ชัดว่าเขาขาดความมั่นใจ เริ่มจะกลัวขึ้นมาแล้ว ลักษณะพลังเหมียวอี้ทำให้เขาสั่นคลอน หรือพูดได้อีกอย่างก็คือเริ่มไม่ค่อยมั่นใจ ไม่อย่างนั้นคงไม่ร้องเรียกผู้ช่วยหรอก ก่อนหน้านี้เขาลงมือจู่โจมด้วยตัวเองคนเดียว แต่ตอนนี้กลับอยากหาผู้ช่วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสภาพจิตใจเปลี่ยนไปขนาดไหน
“ไอ้ชั่วนี่มันพลังเสื่อมทรุดลงแล้ว แต่จงใจทำให้คนสับสน พวกเจ้าลุยเลย!” สวีถังหรานหันไปบอกกลุ่มลูกน้องที่อยู่ข้างหลัง
“พวกเจ้าลุยเข้าไปพร้อมกันเลย!” ปู้เหลียนจงหันหลังไปบอกพวกลูกน้องเหมือนกัน
สิบคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง เป็นลูกน้องของทหารเลวที่เหลืออยู่เพียงสิบคนเช่นกัน ในใจพวกเขาแค้นมาก อีกฝ่ายพลังเสื่อมทรุดเสียที่ไหนกัน พวกเจ้าอยากจะให้พวกเราเอาชีวิตไปเสี่ยงทดสอบระดับของอีกฝ่ายมากกว่า
แต่ก็ไม่มีทางเลือก ลูกน้องมีประโยชน์ที่สุดในเวลานี้นี่แหละ ถ้าเจ้าขัดคำสั่งตอนนี้ เกรงว่าดาบคงจะมาลงที่คอของเจ้าในทันที แต่ถ้าเจ้าเข้าไปสู้ ก็ยังพอมีโอกาสรอดชีวิตอยู่บ้าง
หลังจากทั้งสิบคนสบตากัน ก็กระโจนตัวขึ้นไปพร้อมกันทันที เข้าไปล้อมวงอยู่กลางอากาศ พวกเขามองหน้ากันไป มองหน้ากันมา ไม่มีใครกล้าลงมือก่อน คนที่โดนทวนสังหารก่อนหน้านี้ก็เป็นบทเรียนให้ดูแล้ว สุดท้ายทั้งสิบก็พยักหน้าพร้อมกัน แล้วพุ่งลงไปหาเหมียวอี้ที่อยู่ข้างล่างพร้อมกัน ร่วมมือกันโจมตี
เหมียวอี้พลันเงยหน้า แล้วพุ่งตัวขึ้นฟ้าเสียงดังพรึ่บ เหยียดทวนขึ้นฟ้า แสงสะท้อนคมทวนสายหนึ่งวับวาบออกมาก่อน ตามติดด้วยแสงสะท้อนคมทวนอีกหลายดอกที่พุ่งขึ้นฟ้าราวกับพายุฝน ราวกับฝนดาวตกที่พุ่งขึ้นท้องฟ้า
เสียงโช้งเช้งดังเป็นแถบ ดังก้องอยู่กลางอากาศ
อาวุธโดนตีจนแตกหักอย่างต่อเนื่อง ละอองเลือดพุ่งกระจายดอกแล้วดอกเล่า คนที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังฝนดาวตกราวกับเสือกระโจนเข้าฝูงแกะ บุกรุกรวดเร็วจนไม่อาจต้านทานได้ การร่วมมือของทั้งสิบคนพังทลายลงในชั่วพริบตาเดียว
ทั้งสิบคนพบว่าใช้เวลาแค่ชั่วพบหน้ากันเท่านั้น ด้ามทวนและด้ามดาบที่อยู่ในมือหักกลายเป็นไม้กระบองคามือ เรียกได้ว่ามึนงงจริงๆ แล้วก็เห็นเงาทวนที่ยุ่งเหยิงหมุนวนด้วยความเร็วสูงขึ้นบนฟ้า ทำให้พวกเขาตกใจจนแทบขวัญหนีดีฝ่อ เมื่อเจอกับคู่ต่อสู้แบบนี้ ก็พบว่านี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องวรยุทธ์เลย พบว่าเมื่อตกอยู่ในมืออีกฝ่าย ตัวเองก็ไม่มีแม้แต่กำลังจะโต้ตอบ
เงาทวนดูยุ่งเหยิง แต่ความจริงไม่ได้ยุ่งเหยิง การออกทวนแต่ละครั้งแม่นยำดุดัน สิบคนที่พุ่งลงข้างล่างยังไม่ทันได้ควบคุมความปลอดภัยของตัวเอง คนข้างล่างกลับทำลายการล้อมโจมตีของพวกเขาเสียแล้ว เล่นงานจนอาวุธในมือของพวกเขาพัง แล้วบุกฝ่าเข้าไปกลางวงโดยตรง ใครจะไปต้านทานไหวล่ะ?
ตรงนี้ยังไม่ทันได้หนี คอหอยของบางคนก็กลายเป็นรูที่มีเลือดพุ่ง หัวใจเกิดเป็นโพรงที่พ่นเลือดสีแดงเข้มออกมา มีบางคนที่หน้าผากโดนแทงจนเละ…
“อา..” เสียงกรีดร้องดังขึ้นหลายครั้ง ใช้เวลาแค่ชั่วพบหน้ากัน ร่างสี่ร่างก็ตกลงในหินหลอมเหลวร้อนฉ่าบนพื้น ยังมีบางคนที่คิดจะหนี แต่โดนเหมียวอี้ใช้ทวนแทงย้อนใต้ซี่โครง แทงทะลุจากข้างหลัง หัวทวนทะลุจากข้างหลังไปที่หัวใจโดยตรง ถ้าก้มหน้ามองจะเห็นหัวทวนแหลมอาบเลือดโผล่ออกมาตรงหน้าอกตัวเอง
มีอีกห้าคนที่ตกใจหนีกระเจิงไปคนละทิศละทาง ไม่มีทางต่อสู้กันได้เลย อีกฝ่ายลงมือเร็วจนเจ้าไหวตัวไม่ทัน ช่างเป็นการนำร่างกายที่มีเลือดเนื้อไปป้อนให้ทวนของอีกฝ่ายกินแท้ๆ
ปั้ง! เหมียวอี้หมุนตัวตะแคงถีบ ยันคนที่ห้อยอยู่บนหัวทวนให้กระเด็นออกไป ร่างที่กรีดร้องอยู่กลางอากาศตะเกียกตะกายฟาดแขนสะบัดขา ก่อนจะจมลงในหินหลอมเหลวอุณหภูมิสูงจนประกายไฟสาดกระเด็นขึ้นมา
“นายท่าน พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา นายท่านต้องลงมือด้วยตัวเองขอรับ!” ลูกน้องห้าคนที่หนีกลับมาหาพวกสวีถังหรานกลับมารายงานอย่างขวัญผวา
ขณะที่พวกสวีถังหรานมองดูเหมียวอี้โบกทวนชี้เข้ามาอย่างเย็นเยียบ ในใจก็เกิดความตึงเครียด แบบนี้โหดเกินไปแล้ว ขนาดฉายเดี่ยวยังทำอาวุธคนพังไปแล้วสิบคน ทั้งยังถือโอกาสสังหารนักพรตระดับเดียวกันไปห้าคน แต่หารู้ไม่ว่าบนเส้นทางฝึกตนที่เหมียวอี้เดินมา ในบรรดาคนระดับเดียวกัน ยังไม่เคยมีใครทนเขาได้เกินสามทวน นี่คือสิ่งที่เหล่าไป๋ให้เขามา คือต้นทุนสำหรับการช่วงชิงชัยชนะในใต้หล้า
แต่พวกสวีถังหรานเองก็ดูออก ถึงแม้วิชาทวนของเหมียวอี้จะโหดร้ายทารุณ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะต้านทานไหวหากพวกเราห้าคนร่วมมือกัน ความต่างของวรยุทธ์บงกชทองก็เห็นๆ กันอยู่ แต่ประเด็นสำคัญคือในมือเจ้าหมอนี่ถือทวนวิเศษผลึกแดงขั้นห้า อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องใช้วิชาทวนสู้กับเจ้าตรงๆ เลย แค่ประมือกันก็ทำให้อาวุธของเจ้าพังแล้ว แบบนี้จะให้สู้กันอย่างไรอีก?
สวีถังหรานและทหารเลวอีกสามคนมองสวี่เต๋อแวบหนึ่ง ในใจกำลังด่าแม่ เพราะสวี่เต๋ออยู่ดีไม่ว่าดี ทำไมต้องนำทวนวิเศษผลึกแดงขั้นห้าส่งไปให้อีกฝ่ายด้วย นี่ไม่ใช่การแกว่งเท้าหาเสี้ยนหรอกเหรอ
…………………………