พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 978 เกือบโดนรมควันตาย
เมื่อธงดำมาถึง รองผู้บัญชาการหงก็ยื่นมือเข้ามาจับ แต่ใครจะไปคาดคิดว่าในตอนนี้ ปั้ง! ธงดำพลันระเบิดหมอกหนาสีขาวออกมา
ทั้งสองตกใจทันที จิตใต้สำนึกบอกว่ามีกับดัก รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ออกมาเป็นฉากกำบัง ป้องกันร่างกายเอาไว้
แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน เหมียวอี้ก็ถ่ายทอดเสียงอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ลงมือ!”
เขาเองก็ถือทวนพุ่งเข้าไปเช่นกัน สองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวารีบโอบล้อมเข้ามา ขณะที่ทั้งห้าพุ่งเข้ามาในหมอก รองผู้บัญชาการหงก็ถ่ายทอดเสียงมาอย่างเดือดดาล “บังอาจลอบกัด รนหาที่!”
เห็นเพียงหมอกขาวที่ตลบอบอวลโดนพลังอิทธิฤทธิ์ตีกวนจนหมุนขึ้นหมุนลง หมอกกินพื้นที่ในวงกว้าง พลังอิทธิฤทธิ์ไม่สามารถทำลายทิ้งได้ในเวลาสั้นๆ พอผลักไปข้างหน้า ข้างหลังก็มีมาอีก พื้นที่ว่างมีแค่ตรงนี้ ทำได้เพียงกวนให้หมอกเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปต่างๆ นาๆ ข้างนอกมองเห็นไม่ชัดว่าสภาพภายในเป็นอย่างไรกันแน่ ได้ยินเพียงเสียงต่อสู้ที่ดุเดือดสะเทือนเลือนลั่น
ภายใต้สถานการณ์ที่สายตามองไม่เห็น เป็นเวลาที่เหมียวอี้ถนัดที่สุด ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เหล่าไป๋พยายามฝึกสอนอย่างสุดความสามารถ เป็นหนึ่งในต้นทุนที่ทำให้เหมียวอี้ออกมาเผชิญโลกกว้างจนถึงทุกวันนี้!
เสียงกรีดร้องของรองผู้บัญชาการหงกับรองผู้บัญชาการซุนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตกลงจากหมอกหนาบนฟ้าตามๆ กัน โดนทวนแทงทะลุกบาลทั้งคู่ ตกลงในหินหลอมเหลวข้างล่าง ลุกไหม้เป็นเปลวเพลิงสองกอง
ทว่าสิ่งที่ทำให้สวีถังหรานตกใจก็คือ ทำไมมีเสียงกรีดร้องปู้เหลียนจงกับลั่วว่านก่วงด้วยล่ะ!
เสียงต่อสู้ยังคงดังต่อไป สวีถังหรานพบความไม่ชอบมาพากลทันที สังเกตได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาตกใจจนใจสั่น ความคิดแรกที่แวบเข้ามาคือรีบหนีให้เร็วที่สุด หนีออกจากทะเลหมอกอย่างบ้าคลั่ง หนีขึ้นไปบนฟ้าเหนือทะเลหมอก พอหลุดออกจากทะเลหมอกแล้ว เขาก็รักษาะยะห่างที่ปลอดภัย แล้วจ้องลงไปข้างล่างอย่างสงสัยปนตกใจ
“อา…” ขณะเดียวกัน เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นอีก
เมฆหมอกโดนกระตุ้นด้วยไอร้อนข้างล่าง ทำให้ระเหยอย่างรวดเร็ว สวีถังหรานที่อยู่บนฟ้าเห็นรางๆ ว่าหัวทวนของเหมียวอี้กำลังปาดร่างข่งเฟยฝาน หัวทวนแทงทะลุหัวใจของข่งเฟยฝาน เห็นนิ้วสั่นๆ ของข่งเฟยฝานกำลังชี้ไปที่เหมียวอี้ แต่กลับโดนเท้าของเหมียวอี้ถีบจนตกลงไปในหินหลอมเหลวที่แดงฉาน
ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้เงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้า พร้อมพึมพำในใจว่า ไอ้เวรนี่ไหวตัวเร็วจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้หนีไปด้วย ทั้งสองวรยุทธ์ต่างกันไม่เท่าไร อีกฝ่ายรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย ถ้าอยากจะตามให้ทันคงเป็นไปไม่ได้ จึงตะโกนขึ้นฟ้าเสียงดังทันทีว่า “พี่สวี ทำไมไปอยู่ไกลขนาดนั้นล่ะ?”
รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว ยังจะถามหาแม่เจ้าเหรอ! สวีถังหรานชี้ลงมาข้าง พร้อมตะโกนอย่างเดือดดาล “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ามันเลวนัก จะฆ่าให้หมดเลยล่ะสิ!”
เหมียวอี้ค่อยๆ ลอยขึ้นไปข้างบน “พี่สวีเข้าใจผิดแล้ว เขตเมืองตะวันออกกับตะวันตกมีแค่สองตำแหน่ง ข้าคิดเผื่อพี่สวีนะเนี่ย กำจัดภัยแฝงทิ้งไปก่อนสามคน ตอนนี้ก็ไม่มีใครมาแย่งตำแหน่งของเราแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครปล่อยข่าวด้วย มีแค่สวรรค์รู้ เจ้ารู้ ข้ารู้ แบบนี้ไม่งดงามหรอกเหรอ!”
งดงามบ้าอะไรเล่า! ถ้าไม่เพราะข้าหนีได้ไว ป่านนี้คงโดนเผากลายเป็นถ่านไปแล้ว! สวีถังหรานชี้ลงมา “หยุดนะ! อย่าเข้ามาใกล้!”
ทั้งสองต่างก็ไม่ใช่คนดีอะไร และไม่ใช่หนุ่มน้อยที่อ่อนต่อโลกด้วย คำพูดนี้หลอกลวงเขาไม่ได้หรอก
เขารีบลอยขึ้นฟ้า พยายามรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยเหมียวอี้เอาไว้ เมื่อเจอกับคนหนังเหนียวที่จิตใจโหดเหี้ยมทั้งยังมากแผนการแบบนี้ เขาก็เริ่มจะกลัวแล้ว เมื่อเห็นเหมียวอี้เข้าใกล้ก็ขนลุกทันที ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องยังไม่จบ เลยกลัวจะอธิบายลำบาก เขาคงจะหนีไปก่อนแล้ว
ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังแล้ว ไปมีเรื่องกับคนประเภทนี้ ทำให้กังวลเรื่องความเป็นความตายได้ตลอดเวลา
เดิมทีคิดว่าคนที่มาใหม่อย่างเหมียวอี้จะรับมือได้ง่าย ยามปกติดูเหมือนเข้ากับคนง่ายมาก เหมือนไม่เข้าใจแม้กระทั่งกฎบางอย่างของตำหนักสวรรค์ ใครจะคิดว่าไม่ใช่พวกอ่อนหัดเลย บทจะเลวก็เลวได้ บทจะโหดก็โหดได้ คุ้นเคยกับการแย่งอำนาจชิงผลประโยชน์มาก ไม่เหมือนคนที่เพิ่งเข้าตำหนักสวรรค์ได้ไม่นาน ไอ้เวรนี่มันเป็นเสือที่คลุมหนังหมูมาตลอด!
“พี่สวีเข้าใจข้าผิดแล้วจริงๆ!” เหมียวอี้ถอนหายใจ เหมือนเห็นอีกฝ่ายมีจิตใจที่ระแวดระวัง ไม่มีทางเข้าใกล้ได้ ทำได้เพียงล้มเลิกแผนการที่จะปะทะตรงๆ เตรียมจะใช้อีกวิธีการทำให้อีกฝ่ายตาย
เพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายสงบใจ เพื่อให้สถานการณ์มั่นคงก่อน ไม่ให้อีกฝ่ายถึงขั้นตกใจหนีไป เหมียวอี้ถลันตัวลงไปที่ภูเขาด้านล่าง ลงไปอยู่ข้างกายเฮยหวังที่กำลังปล่อยควันดำและตัวสั่นเทิ้มอยู่ในความทรมาน
เฮยหวังที่ได้ได้ดูละครเด็ดๆ ไปกล่าวเสียงสั่นว่า “ช่วยข้า… ข้าจะสอนเจ้า… หลอมสร้าง ‘ธงเรียกวิญญาณ’!”
ธงเรียกวิญญาณ? เหมียวอี้ตะลึงงัน พลิกมือคว้าธงดำที่เก็บได้ออกมา ถามว่า “นี่คือธงเรียกวิญญาณเหรอ?”
“ใช่!” เฮยหวังพ่นออกมาคำเดียวอย่างยากลำบาก แล้วถามเสียงสั่นต่อไปว่า “ธงนี้คือความสำเร็จขั้นแรก…หลังจากสำเร็จครั้งแรก…สามารถกำหนดความเป็นความตายของคน… อย่างไม่รู้ตัว… วิชาที่ถ่ายทอดมาจาก ‘เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง’ … สำเร็จครั้งยิ่งใหญ่… อานุภาพไร้ขอบเขต… ช่วยข้า!”
เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง? เคล็ดวิชาที่ปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวฝึก หนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษ? เหมียวอี้ตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าในหกเคล็ดวิชาพิเศษจะแฝงวิชาหลอมสร้างหลอมของวิเศษไว้ด้วย!
พอได้ยินแบบนี้ เขาก็อยากจะเก็บนักพรตผีตนนี้ไว้จริงๆ แต่พอเงยหน้ามองสวีถังหรานที่กำลังมองตนจากบนฟ้าไกลๆ ในใจก็เบื่อหน่าย ถ้ายังกำจัดเจ้าบ้านั่นไม่ได้ แล้วเขาจะปล่อยนักพรตผีตนนี้ไปได้อย่างไร
เขามองไปรอบๆ แล้วถามว่า “เจ้าทำผิดกฎสวรรค์ ไม่ไปซ่อนตัวในที่ที่ไร้คนเอง มีอย่างที่ไหนมาโอ้อวดตัวเองอยู่ที่นี่?”
“ควันแห่งไฟนรก… หลอมของวิเศษ!” เฮยหวังกล่าว
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็มองไปรอบๆ อีกครั้ง มองดูธงดำในมือ แล้วมองควันดำที่ลอยออกมาจากภูเขาไฟที่อยู่รอบๆ ทำให้เขาเข้าใจในทันที สงสัยนักพรตผีตนนี้จะหลบอยู่ที่นี่เพื่อหลอมของวิเศษ มิน่าล่ะ!
“หนิวโหย่วเต๋อ! ยังไม่รีบปล่อยท่านผู้บัญชาการออกมาอีก!” สวีถังหรานที่อยู่บนฟ้าพลันตะโกนเสียงดัง
เหมียวอี้เงยหน้า พบว่าเจ้าชาติสุนัขนี่วางแผนเก่งจริงๆ ถ้าปล่อยโค่วเหวินหลานออกมา แบบนั้นเหมียวอี้ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้ลงมือกับเขา
“น้องหนิว เจ้าบอกไม่ใช่เหรอว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายกับข้า? ถ้าเจ้ามีความจริงใจ ก็รีบปล่อยท่านผู้บัญชาการออกมา!” สวีถังหรานตะโกนอีก
ฝันไปเถอะ! ก่อนหน้านี้ยังรวมหัวกันจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย ตอนนี้ยังคิดว่าจะรอดอยู่อีกเหรอ! เหมียวอี้พึมพำในใจ แล้วเหลียวซ้ายแลขวาอีกครั้ง ครุ่นคิดว่ามีวิธีการอะไรที่พอจะกำจัดสวีถังหรานได้
ผ่านไปครู่เดียว ในใจก็เกิดความคิดบางอย่าง เขาหลบให้พ้นหูพ้นตาของสวีถังหรานก่อน แอบปล่อยตั๊กแตนออกมาโอบล้อม ตัดทางหนีทีไล่ สกัดเขาไว้ครู่เดียว ก็จะสามารถฆ่าได้!
เหมียวอี้เพิ่งจะตัดสินใจที่จะทำเรื่องนี้ ตอนที่กำลังจะทำตามแผน ใครจะคิดว่าธงดำบนมือจะร้อนผ่าวขึ้นมากะทันหัน
มันเรื่องอะไรกัน? เหมียวอี้ตกใจไปชั่วขณะ ยังไม่ทันรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ธงดำก็เกิดเสียงวูบ จู่ๆ ก็มีไฟลุกออกจาฝ่ามือเขา ชั่วพริบตาเดียวก็มีแสงสีขาวจ้าตายิงออกมาจากแสงไฟ
สวีถังหรานที่อยู่บนฟ้าจ้องลงมาด้านล่างอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าคืออะไร
บึ้ม! ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้น สะเทือนจนเหมียวอี้แขนชา ธงดำหายไปในชั่วพริบตาเดียว ระเบิดออกเป็นควันดำไม่รู้จักจบสิ้น แล้วลอยขึ้นด้านบน
เหมียวอี้ที่โบกแขนบังตาเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง เห็นแสงสีขาวที่แสบตาสี่สายกำลังยิงไปทั่วทุกทิศ โดยมีร่างคนคนหนึ่งเป็นจุดศูนย์กลาง
มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวเหมียวอี้ โค่วเหวินหลานพังของวิเศษออกมาแล้ว!
“แค่กๆ!” เสียงไออย่างหนักหน่วงของคนสองคนดังมา ไอเหมือนปอดจะฉีก
เหมียวอี้รีบร่ายอิทธิฤทธิ์โบกควันดำตรงหน้าออก เห็นเพียงเซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานกลายสภาพเป็นครึ่งผีครึ่งคนแล้ว ถูกรมควันจนดำไปทั้งตัว เซไปเซมาและไออย่างรุนแรง ราวกับปีนออกมาจากปล่องไฟ
เหมียวอี้มองดูตัวเอง พบว่าตัวเองก็โดนควันระเบิดรมจนตัวดำเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าควันผีนี่จะฝ่าทะลุเกราะพลังอิทธิฤทธิ์มาได้ ขนาดร่ายอิทธิฤทธิ์ป้องกันก็ยังเอาไม่อยู่
เมื่อเห็นเหมียวอี้ที่อยู่ข้างๆ โค่วเหวินหลานก็โล่งใจ รัศมีสีขาวสี่สายบนตัวหายไปอย่างรวดเร็ว กระแทกก้นนั่งบนพื้น ไอพลางหอบหายใจเฮือกใหญ่
เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็นั่งลงเช่นกัน ขณะที่ไอก็บ่นว่า “บรรพบุรุษเอ๊ย ในที่สุดก็ได้ออกมาแล้ว แค่กๆ นี่มันของผีอะไร เกือบจะโดนรมควันเป็นเนื้อแห้งแล้ว! ไอ้ตุ้งติ้ง โชคดีนะที่เจ้าก็เข้าไปเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นข้าต้องตายอยู่ข้างในแน่ๆ แค่กๆ…”
โค่วเหวินหลานโบกมือ อยากจะพูดอะไรแต่หอบหายใจไม่ทัน คว้าผ้าเช็ดหน้าออกมา ปิดปากปิดจมูกไออยู่พักหนึ่ง สักประเดี๋ยวพอเห็นว่าผ้าเช็ดหน้าสกปรกแล้ว เขาก็โยนมันทิ้งไป
ควันดำลอยขึ้นฟ้าไม่จบไม่สิ้น สวีถังหรานปรากฎตัวในเวลาที่เหมาะสม ถลันตัวไปตรงหน้าโค่วเหวินหลาน แล้วกุมหมัดคารวะอย่างตื้นตันใจ “ท่านผู้บัญชาการ ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว ข้าน้อยสองคนกำลังพยายามหาทางช่วยเหลือ นึกไม่ถึงว่าท่านผู้บัญชาการจะหลุดออกมาได้เอง!”
เหมียวอี้เหล่ตาจ้องเขา อยากจะฉวยโอกาสแทงเขาให้ตายจริงๆ!
“เจ้าก็อยู่เหรอ!” โค่วเหวินหลานพยักหน้า หอบหายใจเฮือกใหญ่ แล้วบอกว่า “คนอื่นล่ะ?”
สวีถังหรานตอบด้วยสีหน้าเศร้าโศก “ตอบผู้บัญชาการ เพื่อที่จะช่วยผู้บัญชาการ พวกเขาหลั่งเลือดสู้รบไม่ยอมถอย ตายหมดแล้วขอรับ!”
เหมียวอี้ยืนมองเขาแสดงละครอยู่ข้างๆ
“ตายหมดแล้วเหรอ!” โค่วเหวินหลานตะลึงงัน แล้วก็เริ่มไออีก ถามอีกว่า “เฮยหวังหนีไปไหนแล้ว?”
สวีถังหรานตอบว่า “ไม่ได้หนีขอรับ หลังจากทุกคนร่วมมือกันโจมตีจนเขาสาหัส ข้าน้อยทั้งสองก็เสี่ยงชีวิตไปจับไว้ นายท่านเชิญหันกลับไปมอง!” ขณะที่พูดก็ชี้ไปข้างหลังโค่วเหวินหลาน
โค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงพลันหันกลับไปมอง เห็นเฮยหวังโดนมัดจริงๆ ด้วย
“เป็นข้าที่จับได้!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถลึงตาโพลง กระโจนเข้าไป เจ้าบ้านี่หน้าด้านหน้าทนสุดๆ
แต่จนใจที่อ่อนล้าหมดกำลัง ตอนที่โค่วเหวินหลานตะโกนว่า “ขวางเขาไว้” แล้วไออีกครั้ง สวีถังหรานก็ถลันตัวเข้าไปแล้ว แย่งตัวเฮยหวังมาไว้ในมือ
เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ตัวดำเกรียมนอนอยู่บนพื้นชี้เข้ามา “กล้าแย่งของของปู่เหรอ เจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ รีบส่งมาเดี๋ยวนี้ แล้วปู่จะไว้ชีวิตเจ้า!”
ปรากฏว่าสวีถังหรานถือดาบในแนวนอน ฟันเฮยหวังจนกรีดร้องออกมา ก่อนจะกลายเป็นควันดำสลายหายไป
ยาเจี๋ยตันขั้นสี่หนึ่งเม็ดกับกับเชือกมัดเซียนตกอยู่ในมือสวีถังหรานแล้ว
โค่วเหวินหลานใช้ฝ่ามือตบต้นขา ถลึงตามองสวีถังหรานอย่างเสียดาย “เจ้าฆ่าเขาทำไม ถ้าจับกลับไปสอบสวนอาจจะได้เรื่องอะไรบ้างก็ได้ ท่านแม่ทัพยังอยากจะถามที่อยู่ของปีศาจจิ้งจอกพันหน้าจากปากเขา เฮ้อ!”
“ข้าน้อยบุ่มบ่าม!” สวีถังหรานรีบกุมหมัดคารวะ ทำสีหน้าหวาดกลัวกังวล แต่ดวงตากลับเหลือบมองเหมียวอี้เงียบๆ
เหมียวอี้รู้ดีอยู่แก่ใจ ที่จริงต่อให้สวีถังหรานไม่ลงมือ เขาก็จะลงมือเหมือนกัน เฮยหวังได้เห็นเรื่องที่ไม่ควรเห็นเยอะเกินไป ถ้าปล่อยให้รอดไปจะเป็นการสร้างปัญหาให้ตน
“ช่างเถอะ! มีเม็ดยาหยินนี่ก็นำกลับไปรายงานผลงานได้แล้ว!” โค่วเหวินหลานยื่นมือหยิบมา แล้วเก็บเข้าในกำไลเก็บสมบัติโดยตรง
“ไอ้ตุ้งติ้ง เจ้ากล้าแย่งของของข้าเหรอ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงตะคอกอย่างโมโห แล้วกระโจนเข้ามาหมายจะแย่ง
โค่วเหวินหลานเบี่ยงตัวหลบ แล้วถือโอกาสคว้าแขนสวีถังหราน อาศัยให้สวีถังหรานช่วยพยุง พอโซซัดโซเซยืนขึ้นมาได้ ก็หันกลับไปเตะเซี่ยโห้วหลงเฉิงหนึ่งที จากนั้นชี้ที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงซ้ำๆ
คำว่า ‘ซ้อมมันให้ข้า’ ยังไม่ทันเอ่ยออกจากปาก เหมียวอี้ก็แววตาวูบไหว รีบเหาะออกไปทันที
“หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าจะไปไหน?” โค่วเหวินหลานตะคอกถาม
“ข้าน้อยจะไปเก็บของที่พวกเพื่อนร่วมงานทิ้งไว้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็สู้จนตัวตายเพื่อท่านผู้บัญชาการ!” เหมียวอี้ตอบด้วยสีหน้าเจ็บปวด
พูดจาเหมือนแบกภาระหนักอึ้ง ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าการเก็บสมบัติของคนตายเกี่ยวอะไรกับการที่พวกเขาสู้รบจนตายเพื่อตน สรุปก็คือคิดว่าเป็นสิ่งที่สมควรจริงๆ! โค่วเหวินหลานโบกมือ อนุญาตให้เขาไปได้ แล้วหันกลับมาสั่งสวีถังหราน “ซ้อม! ซ้อมให้ข้าดู! ซ้อมไอ้หมีควายหน้าด้านนี่ให้หนักๆ!”
สวีถังหรานทำสีหน้าขื่นขม แทบจะร้องไห้ออกมา ล้อเล่นอะไรกัน ถ้าตัวเองซ้อมขึ้นมาจริงๆ ก็แปลว่าจะได้ผูกความแค้นอันใหญ่หลวง เดี๋ยวต่อไปเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะไม่คิดหาทางเล่นงานตนจนถึงตายหรอกเหรอ
พอหันกลับไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ก็เห็นเหมียวอี้กำลังก้มหน้าค้นหาในหินหลอมเหลวข้างล่าง โยนพวกเกราะรบ กำไลเก็บสมบัติขึ้นมาเป็นระยะ ราวกับใอเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลย สวีถังหรานด่าในใจ หนีไหวจริงๆ นะ!
“ไอ้ตุ้งติ้ง! เจ้ากล้าเหรอ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงตะคอก แล้วต้องการจะลุกขึ้นมา
โค่วเหวินหลานเตะเขาล้มคว่ำอีกครั้ง แล้วหันมาตะคอก “แม้แต่คำพูดของข้า เจ้าก็ไม่เชื่อฟังแล้วเหรอ?”
…………………………