พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 987 ชะตาดอกท้อเป็นภัย
เมื่อส่งฮูหยินกลับไปแล้ว เหมียวอี้ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าโชคดี ทำไมตอนแรกเขานึกไม่ถึงว่าหวงฝู่จวินโหรวจะทิ้งเสื้อชั้นในไว้ในห้องนอน โชคดีที่ตอนแรกตัวเองอ้างชื่อโค่วเหวินหลานมาเป็นโล่ป้องกันแล้ว ตอนหลังเลยผลักเรื่องนี้ให้โค่วเหวินหลานไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางอธิบายได้เลยจริงๆ ในที่สุดก็รับมือจนผ่านไปได้แล้ว
พอนึกถึงเสื้อชั้นในตัวนั้น เหมียวอี้ก็เดือดดาลมาก เกิดความคิดชั่ววูบอยากจะไปเอาผิดกับหวงฝู่จวินโหรว อยากจะถามว่านางจงใจหรือว่าอะไรกันแน่
แต่พอลองคิดดูอีกมุมหนึ่ง จะไปเอาผิดอะไรนางล่ะ? เจ้าตัวไม่รู้ถึงความสัมพันธ์จะหว่างเขากับอวิ๋นจือชิวเสียหน่อย และไม่รู้ด้วยว่าอวิ๋นจือชิวจะเข้าไปในสถานที่ส่วนตัวของเขา จำเป็นต้องจงใจด้วยเหรอ? ดูจากเหตุการณ์ที่ฉุกละหุกตอนนั้น ก็เป็นไปได้สูงว่าทำตกหล่นโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วอีกอย่าง เรื่องแบบนี้เจ้าจะไปเอาผิดได้อย่างไร?
ถึงแม้จะล้มเลิกความคิดที่จะไปเอาผิด แต่เรื่องแบบนี้ก็กลายเป็นบทเรียนของเหมียวอี้แล้ว รู้สึกว่าตัวเองจะไปมีเรื่องกับหวงฝู่จวินโหรวอีกไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นสักวันต้องเกิดเรื่องแน่ โชคดีที่ก่อนหน้านี้ตนได้พูดไว้ชัดแล้ว ว่าครั้งนี้คือครั้งสุดท้าย!
แต่จนใจที่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่กล้าแน่ใจกับคำว่า ‘ครั้งสุดท้าย’ เพราะเขามีประสบการณ์มาแล้วว่าหวงฝู่จวินโหรวเกาะแกะขนาดไหน ถ้าเจ้าตัวเกาะแกะต่อไปไม่ยอมปล่อย เขาจะทำอย่างไรดีล่ะ?
ความรู้สึกของเหมียวอี้เรียกได้ว่ายุ่งเหยิงไร้ระเบียบ นึกย้อนไปตอนปีนั้นที่ตัวเองเชือดหมูอยู่ที่ตลาด ขนาดถือของขวัญไปสู่ขอแต่งงานถึงประตูบ้านยังโดนไล่ตะเพิดออกมา ตอนนี้ได้เผชิญหน้ากับยอดหญิงงาม แต่กลับรำคาญจนทนไม่ไหว เขาเองก็คิดไม่ตกเหมือนกัน ว่าตัวเองเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ได้อย่างไร แม้แต่ตัวเองก็ยังรำคาญตัวเอง
ขณะที่ความคิดกำลังยุ่งเหยิง เบื้องล่างก็มีคนยื่นนามบัตรมาให้ พอพลิกอ่านดู ก็พบว่าคนของร้านขายของชำซื่อตรงมาแสดงความยินดี จึงพยักหน้าทันที “เชิญเข้ามา!”
ผู้ที่มาคืออวี้หลิงเจินเหริน เจ้าสำนักลมปราณ มาแสดงความยินดีด้วยตัวเอง ผู้ที่มาด้วยกันยังมีเป่าเหลียนอีกคน
เพื่อที่จะแสดงความใกล้ชิดสนิทสนม เหมียวอี้ตั้งใจต้อนรับทั้งสองคนในศาลาที่สวนด้านหลัง แล้วนำน้ำชามาวางให้ด้วยตัวเอง
เหมียวอี้กับอวี้หลิงเจินเหรินนั่งตรงข้ามกัน พูดคุยหัวเราะกันอย่างชื่นมื่น เหมียวอี้อยากจะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับสำนักลมปราณมาก เป่าเหลียนยืนอยู่ข้างหลังอวี้หลิงเจินเหริน
“ประเดี๋ยวเดียวก็ผ่านไปหลายปี นึกย้อนไปถึงตอนที่ฆราวาสยังเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์ ถึงไม่ถึงว่าผ่านไปชั่วพริบตาเดียว ฆราวาสจะได้กลายเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกเร็วกว่านี้ ผู้ที่มีความสามารถ ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนตรงนั้นก็เป็นฮวงจุ้ยที่ร่ำรวยทั้งนั้น!” อวี้หลิงเจินเหรินเรียกได้ว่าทอดถอนใจไม่หยุด ตอนแรกเดิมทีคิดจะรับอีกฝ่ายไว้เป็นศิษย์ มีความสามารถระดับนี้ ในอนาคตจะส่งต่อตำแหน่งเจ้าสำนักให้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะส่งเสริมให้สำนักลมปราณเจริญรุ่งเรืองก็ได้
เหมียวอี้ส่ายหน้า “เจ้าสำนักกล่าวชมเกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่หนิวคนนี้ตั้งใจ เดินมาจนถึงทุกวันนี้โดยไม่รู้ตัวภายใต้ความจำได้ เพราะโดนกดดันจึงทำได้เพียงมาหลบภัยที่เขตเมืองตะวันออก ตอนแรกข้าเคยคิดเสียที่ไหนว่าจะมีวันนี้ได้! ถ้าไม่ใช่เพราะความจำใจ หนิวคนนี้ยินดีจะฝึกตนอย่างสงบเงียบอยู่ที่เรือนไม้ไผ่น้อยในสำนักลมปราณ ไม่อยากจะก่อให้เกิดความขัดแย้งเลยจริงๆ”
อวี้หลิงเจินเหรินพยักหน้า “พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ สำนักลมปราณก็ณู้สึกผิดต่อฆราวาส! แต่ที่อวี้หลิงมาครั้งนี้ กลับมีเรื่องจะขอร้อง ไม่รู้เหมือนกันว่าควรเอ่ยปากหรือเปล่า”
เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ “เจ้าสำนักว่ามาได้เลย ขอเพียงหนิวคนนี้สามารถทำได้ ก็จะไม่ปฏิเสธแน่นอน!”
อวี้หลิงเจินเหรินหันกลับไปมองเป่าเหลียนแวบหนึ่ง “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเป่าเหลียน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไร เจ้าเด็กนี่เซ้าซี้ข้ามานานมาก ว่าก็ว่าแล้ว ด่าก็ด่าแล้ว แต่นางไม่ยอมฟัง ดึงดันอยากจะเข้าตำหนักสวรรค์ด้วยเหมือนกัน เดิมทีข้าอยากจะไปให้ชีอู๋เจินเหรินของสำนักเราช่วย ทว่าเป่าเหลียนไม่อยากรบกวนปรมาจารย์ แล้วก็อยากอยู่ใกล้กับสำนักลมปราณสักหน่อย ดังนั้น…ไม่ทราบว่าฆราวาสจะเห็นสมควนหรือไม่?”
“…” เหมียวอี้เข้าใจความหมายแล้ว เขาเงยหน้ามองเป่าเหลียน นางจึงก้มหน้าเล็กน้อย
“หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็เตือนว่า “”เจ้าสำนักเองก็รู้ ว่าเดิมทีหนิวคนนี้เป็นคนรักอิสระเสรี ชั่วพริบตาเดียวกลับตกอยู่ในอ่างย้อมผ้าอย่างตำหนักสวรรค์ การแก่งแย่งผลประโยชน์ การใช้เล่ห์เหลี่ยมใส่กัน เกรงว่าถ้าเข้ามาแล้วจะกลับตัวได้ยาก ไม่สอดคล้องกับคำสอนของสำนักลมปราณ สถานที่อันตรายน่าหวาดกลัวขนาดนี้ เจ้าสำนักปล่อยปละละเลยได้อย่างไร?””
“
อวี้หลิงเจินเหรินหันกลับไปหาหลานสาว “เป่าเหลียน เจ้าเองก็ได้ยินสิ่งที่ฆราวาสบอกแล้ว ตำหนักสวรรค์เป็นสถานที่แห่งปัญหาและความขัดแย้ง เจ้าต้องคิดดูให้ดีนะ”
เป่าเหลียนจึงกุมหมัดกล่าวว่า “ท่านปู่ ต่อให้อยู่ที่สำนักลมปราณแล้วอย่างไรล่ะ ฝึกตนไปจนถึงตอนสุดท้ายก็ไม่ใช่เพื่อจะเป็นแบบปรมาจารย์หรอกเหรอ สุดท้ายก็ต้องเข้าไปทำงานรับใช้ตำหนักสวรรค์ ไม่ช้าก็เร็วท่านปู่ก็ต้องมีวันนั้นเหมือนกัน ไม่สู้ทำแบบนี้ไปเลยล่ะคะ เป่าเหลียนไม่สู้ก้าวเข้าไปก่อนดีกว่า ไปสำรวจเส้นทางให้ท่านปู่ไง!” จากนั้นก็หันไปกุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “หวังว่าฆราวาสจะช่วยให้สมปรารถนา!”
อวี้หลิงเจินเหรินหัวเราะเจื่อนแล้วบอกว่า “นางตัดสินใจแล้ว ไม่ทราบว่าฆราวาสคิดว่าอย่างไร ถ้าไม่สะดวก ก็บอกมาตรงๆ ได้ อวี้หลิงจะได้คิดหาทางอื่น”
เหมียวอี้จ้องเป่าเหลียน แล้วขมวดคิ้วบอกว่า “ในเมื่อเป่าเหลียนแน่วแน่แบบนี้ ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูด เจ้ากลับไปรอก่อนสักระยะ เดี๋ยวข้ายังต้องเติมกำลังคนอีกชุดหนึ่ง ถึงตอนนั้นจะรายงานชื่อเจ้าไปพร้อมกันเลย คาดว่าคงไม่มีปัญหาใหญ่อะไร ต่อไปก็ทำงานใต้บังคับบัญชาข้าแล้วกัน”
“ขอบคุณฆราวาส!” เป่าเหลียนกุมหมัดขอบคุณอย่างตื่นเต้นดีใจ โค้งตัวกล่าวขอบคุณ!
“อวี้หลิงเจินเหรินหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวฝากฝัง “”เรื่องบางอย่างข้าก็รู้ ที่จริงศิษย์ของสำนักลมปราณไม่เหมาะจะทำงานเป็นขุนนาง ต่อไปหวังว่าฆราวาสจะดูแลเป่าเหลียนมากๆ หน่อย””
“
เหมียวอี้โบกมือ “เจ้าสำนักเกรงใจเกินไปแล้ว คนกันเองทั้งนั้น ถ้าดูแลได้ก็ย่อมไม่รีรออยู่แล้ว”
หลังจากพูดคุยพอเป็นพิธี ปู่และลหานสาวก็กล่าวอำลาและออกไป
เมื่อกลับมาถึงร้านขายของชำซื่อตรง อวี้หลิงเจินเหรินก็ให้เป่าเหลียนไปทำงาน ส่วนตัวเองก็เข้าไปในห้องของอวี้ซวีเจินเหรินผู้เป็นศิษย์น้อง
เมื่อพบหน้ากัน อวี้ซวีเจินเหรินก็ถามทันที “ศิษย์พี่ หนิวโหย่วเต๋อตอบรับแล้วเหรอ?”
“ไม่ได้ปฏิเสธ ตอบรับแล้ว พอผ่านช่วงไม่กี่วันนี้ไป เป่าเหลียนก็น่าจะต้องไปที่เขตเมืองตะวันออกแล้ว” อวี้หลิงเจินเหรินตอบพร้อมรอยยิ้ม
“เฮ้อ!” อวี้ซวีเจินเหรินส่ายหน้าทอดถอนใจ “นางหนูนี่เป็นอะไรไปแล้ว อยู่ดีๆ จะไปที่ตำหนักสวรรค์ทำไม ศิษย์พี่ ขออภัยที่ข้าพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดนะ เป่าเหลียนเป็นสาวเป็นนาง ให้ไปทำงานรวมกับพวกผู้ชาย ท่านอนุญาตได้อย่างไร นี่ไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดเลย!”
“ศิษย์น้องเอ๊ย! ตอนอยู่ต่อหน้าเจ้า ข้าเองก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังเหมือนกัน” อวี้หลิงเจินเหรินตีข้อมือเขาเบาๆ “เป่าเหลียนนางเด็กนั่นถูกใจหนิวโหย่วเต๋อ นางมีความรักแล้ว ห้ามไม่อยู่หรอก!”
“…” อวี้ซวีเจินเหรินตกตะลึงอ้าปากค้าง “ศิษย์พี่พูดจริงเหรอ?”
อวี้หลิงเจินเหรินยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “โกหกเสียที่ไหนล่ะ! หลานสาวของข้าข้าจะไม่รู้จักดีได้อย่างไร เห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต พอนางเอ่ยปากถึงแม้จะตั้งใจปิดบัง แต่ข้าก็ไม่ถึงขั้นเป็นตาแก่ตาฝ้าฟาง เรื่องบางเรื่องข้ารู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่ข้าไม่ได้เปิดเผยก็เท่านั้นเอง”
“เอ่อ…” อวี้ซวีเจินเหรินอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะถามอย่างแปลกใจ “อย่าบอกนะว่าศิษย์พี่ตั้งใจจะช่วยให้พวกเขาสองคนสมปรารถนา?”
อวี้หลิงเจินเหรินเอามือลูบเครา แล้วพยักหน้ายิ้มบางๆ “ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นข้าก็จะพิจารณาดูอีกที ทั้งเจ้าทั้งข้าก็รู้ๆ กันอยู่ว่าความนิสัยของหนิวโหย่วเต๋อเป็นอย่างไร ทำงานอะไรไม่ค่อยพิถีพิถัน มีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงมากมาย แต่ก้นบึ้งของจิตใจนั้นซื่อตรง ไม่ต้องพูดถึงคุณสมบัติประจำตัวเลย คนแบบนี้สามารถรับผิดชอยเรื่องต่างๆ ได้ เป็นคนที่กำบังลมฝนให้เป่าเหลียนได้เป็นอย่างดี ตอนแรกข้าอยากจะรับเขาเป็นศิษย์ แต่น่าเสียดายที่ทำไม่สำเร็จ ตอนนี้พอลองมาคิดๆ ดูแล้ว เขาคือตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะรับเป็นหลานเขย”
อวี้ซวีเจินเหรินกลับกล่าวอย่างกังวล “กลัวแต่เป่าเหลียนจะสนใจอยู่ฝ่ายเดียวน่ะสิ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้คิดอะไรกับเป่าเหลียนเลย ถึงตอนนั้นจะให้เป่าเหลียนรู้สึกอย่างไร?”
อวี้หลิงเจินเหรินโบกมือ “ไม่เป็นไร! ถึงอย่างไรหนิวโหย่วเต๋อก็ยังไม่ได้แต่งงาน ผู้ชายยังไม่แต่งงาน ผู้หญิงก็ยังไม่แต่งงาน เหมาะสมกันพอดี ให้พวกเขาลองใกล้ชิดกันสักหน่อยก็ไม่เป็นไร นางหนูนั่นมีความรักแล้ว ห้ามไม่อยู่ ถ้าไม่สำเร็จก็ให้นางโดนปฏิเสธไป แบบนั้นก็ไม่มีอะไรเสียหาย จะได้ทำให้นางตัดใจ สำนักลมปราณเดินมาจนถึงวันนี้ได้ หาเส้นสายได้ไม่อยากหรอก ถ้าเป่าเหลียนไม่สมปรารถนาจริงๆ อย่างมากก็แค่ให้นางออกจากตำหนักสวรรค์ก็พอแล้ว”
“ที่แท้ศิษย์พี่ก็มีแผนในใจแล้วนี่เอง” อวี้ซวีเจินเหรินพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากอีก
เรื่องนี้เหมียวอี้ไม่รู้ ถ้ารู้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร เกรงว่าคงจะหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ขนาดเขายังไม่คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติดีสักเท่าไรเลย ในปีนั้นพยายามเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นคนดีอยู่ที่สำนักลมปราณ ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่จะมาเป็นหลานเขยของเจ้าสำนักอวี้หลิง
ตอนนี้เขาโดนดอกท้อพัวพันรัดตัวแล้ว ทั้งยังมีดอกท้อมหาภัยเพิ่มมาดอกหนึ่งด้วย ในปีนั้นที่เป็นคนเชือดหมูขายหมูอยู่ในตลาด เขาเป็นคนไร้ตัวตนไร้คนสนใจอยู่หลายปี แต่ตอนนี้ชะตาดอกท้อ[1]มาถึงแล้วจริงๆ ทั้งยังมาแบบดุเดือดรุนแรง จะต้านก็ต้านไม่อยู่!
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทางอวิ๋นจือชิวก็ตรวจนับของขวัญเสร็จแล้ว ร้านค้าใหญ่ๆ มอบของขวัญมาไม่น้อย หลังจากนำใบแสดงรายการสิ่งของให้เหมียวอี้ เหมียวอี้ก็ถือของขวัญที่อวิ๋นจือชิวแบ่งไว้ให้แล้วไปมอบแสดงน้ำใจที่ตำหนักคุ้มเมือง
ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ซื้อของที่ตลาดสวรรค์พักหนึ่ง จากนั้นก็ปลอมตัวออกจากตลาดสวรรค์เพียงลำพัง เหาะไปยังจุดลึกของท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล กลับไปยังพิภพเล็ก
ณ ดาวแมกไม้ ในป่าภูเขาซึ่งเป็นที่อยู่ของเผ่าปีศาจ ในสระมรกตในน้ำตกแห่งหนึ่ง ศีลแปดที่สวมชุดสีขาวนั่งขัดสมาธิอยู่บนโหดหินกลางน้ำ ปล่อยให้เรือยร่างเปลือยแหวกว่ายยั่วยวนอยู่ในน้ำ ส่วนเขาก็นั่งตระหง่านไม่สะทกสะท้าน
เปลือยกายตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวใคร? ปีศาจโลหิตที่แหวกว่ายอยู่ในสระมรกตหันกลับมาโดยไม่ได้ตั้งใจ จู่ๆ ก็ตกตะลึงทันที เท้าเปลือยเหยียบอยู่บนหินที่ก้นสระ เหม่อมองศีลแปดที่กำลังนั่งขัดสมาธิ เรียกได้ว่ามองเหม่ออย่างแท้จริง
ภายใต้ละอองน้ำที่สาดซัดออกมาจากม่านน้ำตก เสื้อของศีลแปดเปียกน้ำจนแนบเนื้อแล้ว บางครั้งหยดน้ำบนศีรษะล้านก็ไหลลงมาเป็นทาง ไหลจากคางและปลายจมูก แต่อากัปกิริยากลับยังสงบนิ่งเยือกเย็น ราวกับหญิงสาวบริสุทธิ์ ที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือ ภายใต้แสงแดดที่ส่องเฉียงลงมา บนตัวศีลแปดเปล่งประกายระยิบระยับ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสายรุ้งเล็กๆ สายหนึ่งแผ่คลุมอยู่เหนือยอดศีรษะของศีลแปด
ประกอบกับเคร่งขรึมศักดิ์สิทธิ์ของศีลแปด ทำให้ในดวงตาปีศาจโลหิตฉายแววตกตะลึง ฝึกตนมาหลายปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นและรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์โดยเนื้อแท้ นึกไม่ถึงว่าแม้แต่นิมิตมงคลแบบนี้ก็ยังปรากฏอยู่บนตัวศีลแปด นางแน่ใจได้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากการร่ายพลังอิทธิฤทธิ์ของศีลแปด เพราะบนตัวศีลแปดไม่มีการเคลื่อนไหวของพลังอิทธิฤทธิ์ แต่ทุกอย่างเป็นความบังเอิญจริงๆ
ภูเขาเขียวหมื่นชาติ พระพุทธเจ้าในสระมรกต!
พระพุทธเจ้า! นี่คือคำแรกที่แวบเข้ามาในหัวของปีศาจโลหิต นางรู้สึกว่าตัวเองได้พบพระพุทธเจ้าตัวจริงแล้ว ไม่ใช่พวกพระที่วางมาดสง่าภูมิฐาน แต่เป็นพระพุทธเจ้าที่มีหัวใจเป็นพุทธอย่างแท้จริง ไม่แปดเปื้อนสิ่งเร้าภายนอก หญิงงามอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่เกิดความคิดใฝ่ฝันจินตนาการ สิ่งเหล่านี้นางล้วนใช้ร่างกายสัมผัสประสบการณ์เอง
ยิ่งเป็นแบบนี้ นางก็ยิ่งปรารถนาอยากได้เขา เพราะเขาไม่ธรรมดา และก็เพราะว่าเขาไม่ธรรมดา จึงทำให้นางยิ่งกลัดกลุ้ม เพราะเป็นเรื่องที่ยากที่จะไขว่คว้าเขามาได้ ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของเขาทำให้นางรู้สึกต่ำต้อยน้อยใจ
ในหัวใจทรมานอย่างบอกไม่ถูก นางดำลงไปในน้ำ แต่น้ำใสในสระก็ยากที่จะชำระล้างความกลัดกลุ้มของนางได้ นางโผล่ขึ้นมาข้างโขดหินกลางสระ ใช้แขนสองข้างกอดศีลแปดเอาไว้ ใช้ร่างกายอ้อนแอ้นคลอเคลีย ปากก็ครางเบาๆ จูบศีรษะโล้น ใบหน้า ติ่งหูของเขาอย่างเร่าร้อน ตอนนี้นางเหมือนปีศาจร้ายที่ทำทุกอย่างเผื่อยั่วยวนเขา
ถ้ายั่วยวนสำเร็จ ต่อให้ตัวเองจะกลายเป็นนางปีศาจมารร้ายที่เลวทรามที่สุด นางก็ไม่สนใจ!
ศีลแปดไม่สะทกสะท้าน บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มบางๆ ในหัวกลับเกิดภาพอีกภาพหนึ่งแทน
สาเหตุที่เขามาถึงที่นี่ ก็เพราะตอนแรกปีศาจโลหิตพุ่งเป้ามาหาพี่ใหญ่ของเขา ปรากฏว่าพอมาถึงพี่ใหญ่ก็ไปแล้ว ทว่าในป่าภูเขาผืนนี้ ภายใต้แสงจันทร์ เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอาบน้ำ นั่งอาบน้ำอยู่บนโขดหินที่เขานั่งอยู่ นั่นคือผู้หญิงที่สวยเหมือนปีศาจ ที่แท้นางก็เป็นปีศาจจริงๆ บนโลกมีปีศาจแบบนี้อยู่จริงๆ เป็นปีศาจผู้หญิงที่ขาวบริสุทธิ์เหมือนแผ่นกระดาย มองบ่อยๆ แล้วร่างกายกับจิตใจได้ชำระบาป
พอเขาเดินมาข้างสระน้ำ ผู้หญิงคนนั้นก็ตกใจรีบเอามือปิดหน้าอก แล้วมุดลงไปในน้ำ ตอนที่นางหลบอยู่หลังโขดหิน เขาก็ยืนถามอยู่ภายใต้แสงจันทร์ว่า “โยมสีการู้หรือเปล่า ว่าสิ่งที่เรียกว่าชะตาดอกท้อเป็นภัยคืออะไร?”
ภาพนั้นช่างงดงาม! ทำให้ตอนนี้เขานึกถึงแล้วยิ้มบางๆ มองข้ามปีศาจโลหิตที่กำลังเกาะแกะพัวพันราวกับไม่มีตัวตน
…………………………
[1] ชะตาดอกท้อ 桃花运 ดอกท้อเป็นตัวแทนของดวงชะตาด้านความรัก คนที่มีชะตาดอกท้อก็หมายถึงคนที่มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม เสน่ห์แรง