พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 989 ผู้หญิงมากสร้างความวุ่นวาย
คำพูดนี้ทำให้คนฟังหวาดผวาจริงๆ แม้แต่หกปราชญ์ยังต้องยืนชิดซ้าย!
เมื่อก่อนพูดคำนี้ หยางชิ่งและลูกสาวก็อาจจะไม่เชื่อ แต่ในมือมียาแก่นเซียนจำนวนมากเป็นเครื่องพิสูจน์ ยาแก่นเซียนมากมายขนาดนี้ เกรงว่าต่อให้หกปราชญ์รวมกันก็หามาไม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ แน่
ในใจหยางชิ่งกำลังเต็มไปด้วยคำถาม สงสัยว่าเหมียวอี้หายาแก่นเซียนมากมายขนาดนี้มาจากไหนกันแน่ แต่กลับเห็นอวิ๋นจือชิวมองมาด้วยรอยยิ้มสนิทสนม “ผู้การหยาง ได้ยินว่าท่านกับเทพธิดาหงเฉินสนิทกันมากเหรอ?”
หยางชิ่งหัวใจกระตุกวูบ รู้ว่าพฤติกรรมของตัวเองปิดบังสายตานางไม่ได้ โดนอีกฝ่ายมองออกแล้ว เขาตอบอย่างค่อนข้างอับอาย “เคยคุยกันไม่กี่ครั้งขอรับ”
“แค่คุยกันเองเหรอ?” อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้ว แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “ใครๆ ก็ชอบของสิ่งสวยงามกันทั้งนั้น เทพธิดาหงเฉินเป็นยอดหญิงงามที่หาได้ยากในใต้หล้า ถ้าผู้การหยางถูกใจ นั่นก็เป็นความรู้สึกปกติของมนุษย์เรา แต่ผู้การหยางเป็นคนฉลาด เทพธิดาหงเฉินเป็นลูกศิษย์ของมู่ฝานจวิน ห้ามเอายาแก่นเซียนในมือไปเอาใจเทพธิดาหงเฉินเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเป็นการนำชีวิตของข้ากับเวยเวยไปเล่นสนุกนะ! ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ยั่วให้มู่ฝานจวินกำจัดพวกเราทิ้งหมด เกรงว่ามู่ฝานจวินก็คงไม่ยอมให้ท่านกับเทพธิดาหงเฉินอยู่ด้วยกันหรอก หวังว่าผู้การหยางจะไตร่ตรองก่อนทำ”
ฉินเวยเวยกำลังรู้สึกกดดันหนักเพราะคุมยอดเขาหยกนครหลวง เพิ่งจะมารู้ตัวทีหลัง เมื่อได้ยินแล้วก็มองหยางชิ่งด้วยสีหน้าฉงน นางรู้สึกแปลกประหลาดใจ ที่แท้พ่อบุญธรรมก็ชอบเทพธิดาหงเฉินแล้วนี่เอง รสนิยมสูงจริงๆ เจ้าตัวทั้งสวยทั้งฐานะสูงส่ง เพียงแต่คำพูดของพี่สาวใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล พ่อบุญธรรมทำแบบนี้ไม่เหมาะสม จะนำมาปัญหามาสู่สามีของตัวเอง สิ่งนี้ทำให้นางกังวลมาก!
โดนคนเปิดโปงความลับแบบต่อหน้า ทำเอาใบหน้าชราของหยางชิ่งแดงเรื่อ กุมหมัดตอบอย่างอับอายว่า “ท่านทูตไม่ต้องห่วง หยางชิ่งเพียงชื่นชมความงามของเทพธิดา แต่กลับรู้จักแยกแยะความสำคัญ ไม่ให้ความรักของชายหญิงมาทำให้เสียเรื่องเด็ดขาด”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ข้าเองก็เชื่อว่าผู้การสามารถแยะแยะความสำคัญได้ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่พูดเปิดโปงต่อหน้าผู้การหรอก เพียงอยากจะเตือนผู้การไว้สักคำ ขอเพียงสามีของของข้ากับน้องเวยเวยสามารถกลายเป็นจ้าวของพิภพเล็กได้ อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างผู้การกับน้องสาว นายท่านย่อมไม่ปฏิบัติต่อท่านอย่างไม่ยุติธรรมแน่ ถึงตอนนั้นอาศัยตำแหน่งขุนนางสูงสุดของผู้การ เทพธิดาหงเฉินหนีไม่พ้นเงื้อมมือผู้การแน่ ผู้การสามารถได้หญิงงามล่มเมืองมาครองอย่างง่ายดาย ถ้าใครกล้ามาแย่งกับผู้การ ข้ากับน้องเวยเวยจะเป็นคนแรกที่ไม่อนุญาต!” นางตบหลังมือฉินเวยเวยเบาๆ “น้องสาว เจ้าว่าพี่สาวพูดถูกรึเปล่า?”
พูดประเด็นนี้ต่อหน้าลูกสาวตัวเอง หยางชิ่งเรียกได้ว่าเคอะเขินทำตัวไม่ถูก
เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของหยางชิ่ง ฉินเวยเวยก็กลั้นขำเช่นกัน พยักหน้าบอกว่า “เมื่อถึงตอนนั้นก็ต้องให้ท่านพ่อตัดสินใจเองอยู่แล้ว!”
“คำพูดของท่านทูต หยางชิ่งจดจำไว้แล้ว หวังว่าท่านทูตจะพูดจาปรานีบ้าง ไม่อย่างนั้นหยางชิ่งคงอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!” หยางชิ่งเบี่ยงหน้าหนีพลางกุมหมัดคารวะ ไม่กล้ามองหน้าตรงๆ ตอนนี้อับอายสุดๆ
อวิ๋นจือชิวยิ้มพร้อมกล่าวว่า “กลองดีตีเบาๆ ก็ดัง ผู้การหยางเป็นคนฉลาด ควรจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร น้องเวยเวยยังอายุน้อย ประสบการณ์คุมยอดเขาหยกนครหลวงยังมีไม่พอ ท่านเป็นบิดาบุญธรรมไม่อาจนิ่งดูดายได้ ต้องพยายามช่วยอย่างต็มที่”
“ท่านทูตมีบุญคุณอันใหญ่หลวง หยางชิ่งน้อมรับคำสั่ง!” หยางชิ่งเอ่ยรับ
วางเรื่องนี้เอาไว้ก่อน อวิ๋นจือชิวถามอีกว่า “ข้ากลับมาครั้งนี้ทำไมได้ยินว่าหลันโฮ่วกับจางเทียนเซี่ยวของปราสาทดำเนินจันทร์สู้กันอีกแล้วล่ะ?”
หยางชิ่งรายงานว่า “เรื่องนี้ข้าน้อยไปตรวจสอบมาแล้ว ทั้งสองไม่ได้สู้กันแค่ครั้งสองครั้ง เพราะทั้งสองมีทั้งแค้นเก่าแค้นใหม่ จะว่าไปแล้ว เดิมทีทั้งสองเป็นสามีภรรยากันขอรับ”
“เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ
หยางชิ่งส่ายหน้าถอนหายใจ “เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่คนรุ่นก่อน ตระกูลจางกับตระกูลหลันมีความแค้นกันมาตั้งนานแล้ว ตอนหลังตระกูลจางฆ่าล้างเลือดตระกูลหลัน หลันโฮ่วเป็นคนเดียวของตระกูลที่หนีรอดมาได้ ตอนหลังหลันโฮ่วทำทุกทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการล้างแค้น หลันโฮ่วทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการ เขาใช้วิธีการปิดบังชื่อแซ่แล้วไปจีบลูกสาวของตระกูลจาง ซึ่งก็คือจางเทียนเซี่ยวนั่นเอง และในคืนวันแต่งงาน หลันโฮ่วฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนของตระกูลจางไม่ได้ระวังตัวเพื่อสังหารอย่างโหดเหี้ยม ฆ่าล้างเลือดตระกูลจาง แต่ก็ไม่ได้ทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาด ปล่อยจางเทียนเซี่ยวที่เป็นเจ้าสาวไป ตอนหลังหลันโฮ่วเข้ามาทำงานให้ทางการ จางเทียนเซี่ยวก็ตามเข้ามาทำด้วยเหมือนกัน ที่มาที่ไปของความแค้นระหว่างทั้งสองก็เป็นแบบนี้ ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ สงสัยจะเป็นศัตรูคู่แค้นกัน!” อวิ๋นจือชิวได้ฟังแล้วค่อนข้างทอดถอนใจ แล้วหันกลับมาบอกว่า “เรื่องนี้ให้ท่านจัดการแล้วกัน อย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก”
“ขอรับ!” หยางชิ่งเอ่ยรับคำสั่ง หลังจากถามแล้วว่าไม่มีธุระอย่างอื่น ก็กล่าวขอตัวลา
ในห้องเหลืออยู่แค่สองคน จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็ยื่นนิ้วไปช้อนคางขาวเนียนละเอียดอ่อนฉินเวยเวย แล้วเดาะลิ้นพูดหยอกว่า “ท่านสามีช่างใจร้ายจริงๆ ทำไมปล่อยให้หญิงงามขนาดนี้หนุนหมอนนอนเดียวดายได้”
ฉินเวยเวยเพิ่งผ่านเรื่องระหว่างชายหญิงมาได้ไม่นาน จะทนการหยอกล้อแบบนี้ได้อย่างไรกัน ทำสีหน้าอับอายมาก แก้มแดงราวกับพระอาทิตย์ยามเย็น “ข้าไม่เป็นไรค่ะ งานของนายท่านสำคัญกว่า”
อวิ๋นจือชิวกลับไม่ยอมปล่อยนาง เป่าลมอยู่ข้างหูนาง “ไม่เป็นไรจริงเหรอ? ของบางอย่างถ้ายังไม่เคยลิ้มลองก็ยังดีหน่อย แต่ถ้าเคยลิ้มลองก็รู้รสชาติแล้ว ตอนหนุนหมอนนอนเดียวดายเคยคิดถึงท่านสามีบ้างหรือเปล่า? ตอนนี้ใช้แผนเล่นหมากล้อมก็ไม่ได้ผลแล้วนะ”
“พี่สาว!” ฉินเวยเวยกระทืบเท้า อยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว แก้มแดงเหมือนก้นลิง วิ่งหนีไปโดยไม่ได้บอกลาสักคำ
อวิ๋นจือชิวหัวเราะจนไหล่สั่น พอเดินมาที่หน้าต่างแล้วเห็นฉินเวยเวยหนีออกไปแล้ว ใบหน้ายิ้มของนางก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ นางยืนพิงหน้าต่าง ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ไอ้เวรเอ๊ย ตอนที่เจ้ากำลังย่ำยีดอกไม้อยู่นอกบ้าน ข้ายังต้องช่วยเจ้าจัดการเรื่องในบ้านให้เรียบร้อย เพื่อให้เจ้าได้ทำตัวเจ้าชู้ข้างนอกอย่างสบายใจ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน น่าโมโหนัก…”
พอนางกลอกตา สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ตำหนักคู่แฝด นางจึงเหาะออกทางหน้าต่าง ไปเหยียบลงนอกตำหนักคู่แฝดโดยตรง
เมื่อนางมาถึง ก็ทำให้โอวหยางหลางกับโอวหยางหวนตกใจจนรีบนำคนเดินออกมาคำนับ “คำนับฮูหยิน!”
“เป็นพี่น้องบ้านเดียวกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมองข้าเป็นคนนอกหรอก ไม่ต้องมากพิธี!” อวิ๋นจือชิวยื่นมือบอกใบ้ให้ทั้งสองยืนตรง แล้วกวาดตามองสองพี่น้อง พบว่าพวกนางผอมแห้งลงไม่น้อย นางแอบทอดถอนใจ ผู้หญิงสองคนนี้ช่างน่าสงสาร อยู่ในบ้านทั้งวันไม่ก้าวออกประตูไปไหน
สองพี่น้องฝาแฝดเดินนำ อวิ๋นจือชิวที่เดินตามไปตำหนักหลักถามว่า “ทำไมข้าได้ยินว่าพวกเจ้าสองพี่น้องไม่ก้าวออกจากประตูไปไหนเลยล่ะ มีคนไม่เคารพพวกเจ้าสองคนเหรอ?”
“ไม่มีค่ะ ไม่มี!” ทั้งสองรีบปฏิเสธ
เมื่อเข้ามาในโถงหลัก อวิ๋นจือชิวนั่งลงที่หัวโต๊ะ สองพี่น้องฝาแฝดยืนอยู่ข้างๆ หญิงรับใช้รีบนำน้ำชามาวาง
หลังจากดื่มน้ำชาไปคำหนึ่ง อวิ๋นจือชิวก็ถามว่า “ไม่มีจริงเหรอ? แล้วทำไมไม่ก้าวออกจากประตูบ้านเลยล่ะ? ข้างล่างของภูเขาเป็นสังคมมนุษย์ที่เจริญรุ่งเรือง ทำไมไม่ไปดูหน่อยล่ะ? หรือว่าตอนที่ข้าไม่อยู่ ทางตำหนักอินทนิลไม่ให้เกียรติพวกเจ้าเหรอ? มีอะไรไม่ยุติธรรมก็พูดมาได้เลย ข้าจะตัดสินให้พวกเจ้า!”
“ไม่มีจริงๆ ค่ะ เราสองพี่น้องสงบจิตสงบใจฝึกตนมาโดยตลอด” โอวหยางหลางรีบตอบ
จือฉิน จือฉี จือซู จือฮว่า หญิงรับใช้ทั้งสี่แอบสบตากันเงียบๆ แวบหนึ่ง ในใจมีคำพูดบางอย่าง พวกนางคิดว่าฝ่ายนี้กำลังถูกตำหนักอินทนิลรังแก หงเหมียนกับลู่หลิ่วไม่ค่อยเกรงใจพวกนางสักเท่าไร ถึงแม้จะไม่กล้าทำอะไรหรูฮูหยินทั้งสอง แต่กลับหยิ่งยโสใส่หญิงรับใช้อย่างพวกนางสี่คน ถึงขนาดเรียกใช้งานพวกนางด้วยซ้ำ เหตุผลก็ไม่ใช่เพราะอะไร เนื่องจากฮูหยินตำหนักอินทนิลรับหน้าที่แทนท่านทูต แถมพ่อบุญธรรมของฮูหยินตำหนักอินทนิลก็เป็นผู้การใหญ่ของยอดเขาหยกนครหลวง จัดการธุระต่างๆ ของสายมะโรง ทางนั้นมีอำนาจและตำแหน่งสูงกว่า แต่พ่อแม่ของเจ้านายทั้งสองของพวกนางกลับกำลังต้องโทษ จะเงยหน้าอ้าปากได้อย่างไร ย่อมต้องโอนอ่อนผ่อนตามอยู่แล้ว
ทว่าคำพูดเหล่านี้ พวกนางย่อมไม่กล้าพูดออกมาอยู่แล้ว เจ้านายทั้งสองก็ไม่ยอมให้พูดด้วย ถ้าไม่ทำให้ฮูหยินตำหนักอินทนิลไม่พอใจขึ้นมา จะต้องมีคนมากลั่นแกล้งพวกนางแน่ เกรงว่าจุดจบของฝ่ายนี้จะไม่ดี
ยอดเขาหยกนครหลวงมีสายข่าวของอวิ๋นจือชิวอยู่ทั่วทุกที่ จะมีเรื่องอะไรปิดบังสายตาของนางได้ล่ะ? นางกวาดมองปฏิกิริยาของหญิงรับใช้ทั้งสี่ พฤติกรรมบางอย่างที่หงเหมียน ลู่หลิ่วทำเพื่อเพิ่มบารมีให้เจ้านายตัวเอง อวิ๋นจือชิวก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน ที่นางบอกว่าจะตัดสินความยุติธรรมให้ ปากนางก็พูดไปอย่างนั้นเอง แต่ไหนแต่ไรมา ถ้าบ้านไหนมีผู้หญิงอยู่เยอะ บ้านนั้นก็สงบสุขไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นตราบใดที่ไม่เปิดโปงเรื่องนี้ออกมา นางก็จะไม่หักหน้าฉินเวยเวย ถ้าจะพูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ ถึงอย่างไรตอนนี้ฝ่ายฉินเวยเวยก็ดูน่าไว้ใจมากกว่า
แต่จากที่นี่อวิ๋นจือชิวเห็น หงเหมียน ลู่หลิ่วก็ทำเกินไปจริงๆ หญิงรับใช้ฝ่ายนั้นรังแกหญิงรับใช้ฝ่ายนี้ก็พอแล้ว บางครั้งเวลาเจอสองพี่น้องโอวหยางก็ไม่ก้มหน้าเคารพเลย พูดจาก็ไม่ค่อยเกรงใจเท่าไร การที่สองพี่น้องฝาแฝดไม่กล้าออกจากตำหนัก หงเหมียนกับลู่หลิ่วคือตัวการใหญ่ของเรื่องนี้
นางไม่เชื่อว่าทางด้านหยางชิ่งจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ แต่หยางชิ่งกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย เหมือนจะจงใจให้ท้ายหญิงรับใช้
อวิ๋นจือชิวเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อ ไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองได้รับความไม่เป็นธรรม อยากจะให้ลูกสาวอยู่ในฐานะที่เป็นรองเพียงหนึ่งแต่อยู่เหนือคนอื่น
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นจือชิวอยากจะเห็น หยางชิ่งมีจุดยืนของหยางชิ่ง ภรรยาเอกอย่างนางก็มีจุดยืนของภรรยาเอกเหมือนกัน ถึงแม้สองพี่น้องโอวหยางจะเป็นอนุภรรยา แต่ก็ถือว่าเป็นเจ้านายเหมือนกัน หญิงรับใช้สองคนถึงขนาดอาศัยอำนาจมารังแกเจ้านายแล้ว แบบนี้จะไม่แย่หรอกเหรอ? ตอนนี้นางเป็นท่านทูต ยังพอควบคุมได้อยู่ แต่เมื่อใดที่คลี่คลายสถานการณ์ที่พิภพใหญ่ได้แล้ว ท่านทูตอย่างนางก็จะอันตรธานกลายเป็นเมฆหมอก เมื่อสาวใช้ทั้งสองมีเงื่อนไขที่ได้เปรียบมากขึ้น แล้วจะมารังแกนางด้วยหรือเปล่า? หยางชิ่งจะยุยงให้ฉินเวยเวยเกิดความคิดที่จะมาแทนที่ตำแหน่งของนางหรือเปล่า? ใช่ว่าเรื่องนี้จะเป็นไปไม่ได้!
ดังนั้นอวิ๋นจือชิวจึงอยากจะตำหนิสักหน่อย เพียงแต่เรื่องนี้นางไม่สะดวกจะออกหน้าเองโดยตรง ถ้านางออกหน้าเองก็จะเท่ากับเป็นศัตรูกับฉินเวยเวย จะทำให้ในบ้านไม่สงบ จะทำให้เหมียวอี้ลำบากใจ เรื่องนี้ต้องตกเป็นหน้าที่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ให้พวกนางสองคนออกหน้าจะเหมาะที่สุด ฉินเวยเวยกับหยางชิ่งเห็นพวกนางแล้วยังต้องถอยให้สามก้าว
อวิ๋นจือชิวตัดสินใจได้ในชั่วพริบตาเดียว เดี๋ยวถ้ามีโอกาสจะต้องให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สั่งสอนหงเหมียนกับลู่หลิ่วสักยก ให้สาวใช้สองคนนั้นได้รับบทเรียนยาวๆ รับรองว่าฝ่ายหยางชิ่งไม่กล้าพูดอะไรแน่ ที่ตำหนักหลัง นอกจากนางก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์แล้ว ถ้าคนอื่นกล้าแตะต้องเชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์ก็ลองดู รับรองว่าเหมียวอี้เดือดเป็นฟืนเป็นไฟแน่!
เมื่อหาตัวคนสองคนที่จะมาทำหน้าที่ลงโทษคนในบ้านได้แล้ว อวิ๋นจือชิวจึงวางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว
แต่จะว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องโชคดีของนางเหมือนกัน ไม่เหมือนพวกฉินเวยเวยที่มีหญิงรับใช้เป็นของตัวเอง ข้างกายนางไม่มีหญิงรับใช้ที่แต่งงานเข้ามาพร้อมกัน ดังนั้นจึงให้เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์รับช่วงต่อมาตลอด ไม่อย่างนั้นถ้าข้างกายนางมีหญิงรับใช้ เกรงว่าหญิงรับใช้ของนางจะต้องเป็นศัตรูกับเชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์แน่ ตอนนี้นับว่าลดความยุ่งยากไปได้ไม่น้อย
“ข้าไปส่งส่วยประจำปีที่แดนโพ้นสวรรค์มาครั้งนี้ ข้าได้เจอกับพ่อแม่ของพวกเจ้าแล้ว ข้าทักทายแทนพวกเจ้าแล้วด้วย ตอนนี้พ่อแม่ของพวกเจ้าแค่ขาดอิสระชั่วคราว ส่วนอย่างอื่นก็ยังนับว่าสุขสบายดี ไม่ได้ลำบากอะไร พวกเขาฝากให้ข้านำจดหมายมาให้พวกเจ้าด้วย” อวิ๋นจือชิวนำแผ่นหยกสองแผ่นมาร่ายอิทธิฤทธิ์ส่งให้ตรงหน้าทั้งสอง
…………………………