พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 991 น้องสาวไม่รู้ความ
อวิ๋นจือชิวไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องเลือกคน นางไม่ได้รู้จักลูกน้องของประมุขถิ่นสี่ทิศดีด้วย ต่อให้อยากจะก้าวก่ายก็ก้าวก่ายไม่ได้ อย่างไรเสียถ้าเข้าไปแทรกแซงทุกเรื่องก็ไม่ดีเหมือนกัน ถ้าแทรกแซงเยอะ ตอนหลังก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรแล้ว
เรื่องราวก็ตกลงกันตามนี้แล้ว แต่ก่อนจะแยกย้ายกัน อวิ๋นจือชิวก็โยนประเด็นหนึ่งออกมาอีก “พี่ใหญ่ทั้งสี่ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่น้องสาวยากจะเอ่ยปาก ไม่รู้เหมือนกันว่าควระพูดหรือเปล่า น้องสาวเป็นคนปากตรงกับใจ ถ้าไม่พูดก็เก็บกดแย่ แต่ถ้าพูดออกมา ก็กลัวว่าจะทำให้พี่ใหญ่ทั้งสี่ไม่พอใจ”
ประมุขถิ่นสี่ทิศเพิ่งจะยืนขึ้น พอได้ยินแล้วก็มองอวิ๋นจือชิวที่ยังนั่งอย่างมั่นคง พวกเขาสบตากับแวบหนึ่ง แล้วก็นั่งลงช้าๆ อีกรอบ สงเวยบอกว่า “เป็นคนกันเองทั้งนั้น มีอะไรที่พูดไม่ได้ล่ะ? น้องสะใภ้พูดมาได้เลย”
“พี่ใหญ่สงพูดถูก เป็นคนกันเองทั้งนั้น ก็เพราะเป็นคนกันเองนี่แหละ ข้าถึงไม่สะดวกที่จะพูดคำบางคำออกมา ถ้าไม่ใช่คนกันเอง ข้าก็คงไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้น ข้าเป็นคนปากไม่มีหูรูด แล้วก็ไม่ชอบอ้อมค้อมด้วย เกรงว่าจะต้องพูดออกมาตรงๆ ตั้งแต่แรก” อวิ๋นจือชิวยื่นมือไปรอบวง “พี่ชายทั้งสี่ควรจะรู้ เรื่องที่พิภพใหญ่ นอกจากหนิวเอ้อร์จะเคยพาข้าไปแล้ว เขาก็เคยพาพี่ใหญ่ทั้งสี่ไปด้วย คนอื่นๆ ต่อให้เป็นลูกน้องคนสนิทหรืออนุภรรยา แต่ก็ไม่เคยเปิดเผยให้รู้เลย ขอบังอาจถามพี่ใหญ่ทั้งสี่ ว่าหนิวเอ้อร์มองพวกท่านเป็นคนนอกหรือเปล่า?”
ทั้งสี่ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงพูดแบบนี้ คำพูดพวกนี้หมายความว่าอะไร สงเวยจึงถามว่า “น้องสะใภ้กลัวว่าพวกเราไปแล้วจะไม่ตั้งใจช่วยเหลือเจ้าห้าเต็มที่เหรอ? ถ้าเป็นเรื่องนี้ น้องสะใภ้ไม่ต้องคิดมากเลย พี่น้องของตัวเอง ย่อมช่วยโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอยู่แล้ว”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น…ข้าจะพูดให้ชัดเจนแล้วกัน ที่ช่วยพวกพี่ๆ ช่วงชิงที่ยืนในพิภพใหญ่ครั้งนี้ เพราะตอนนั้นคนที่เป็นพวกเดียวกันฉวยโอกาสใช้ทวนแทงข้างหลังตอนหนิวเอ้อร์ไม่ทันระวังตัว ถ้าไม่ใช่เพราะหนิวเอ้อร์ไหวตัวได้เร็ว เกรงว่าคงเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว ผู้หญิงอย่างข้าไม่มีความคาดหวังอย่างอื่นหรอก หวังเพียงให้ผู้ชายของตัวเองกลับมาอย่างปลอดภัยเท่านั้น ถึงแม้หนิวเอ้อร์จะทำเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ข้ากลับใจห่อเหี่ยว หลังจากข้าได้ฟังเขาเล่า ข้าก็ตกใจจนแข้งขาอ่อน พวกพี่ๆ ลองพูดมาหน่อย ว่าถ้าหนิวเอ้อร์ตายแล้ว ข้าจะทำอย่างไร?”
ทั้งสี่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ไม่รู้ว่านางคิดอยากจะพูดอะไรกันแน่ ฝูชิงจึงบอกว่า “น้องสะใภ้พูดมาตรงๆ ได้เลย ข้าจะล้างหูรอฟัง”
อวิ๋นจือชิวตอบว่า “ไม่ซับซ้อนเลย เรื่องที่หนิวเอ้อร์มองว่าไม่สำคัญ แต่ฮูหยินอย่างข้ากลับมองว่าไม่สำคัญไม่ได้ เขาไม่สนใจใยดีจนชินแล้ว พวกท่านก็รู้ว่าเขานิสัยเป็นอย่างไร เรื่องเสี่ยงอันตรายอะไรก็ทำมาหมดแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่แย่งตัวข้ามาจากทะเลทรายม่านเมฆา นั่นก็แปลไม่รักชีวิตแล้ว! เขาไม่รักชีวิต แต่ข้ากลับไม่สามารถเห็นเขาไม่รักชีวิตได้ หวังว่าพี่ใหญ่ทุกท่านจะเข้าใจความรู้สึกที่ข้าอยากให้เขากลับมาอย่างปลอดภัย ครั้งนี้ถ้าเปลี่ยนเป็นหนิวเอ้อร์มา เขาก็จะต้องทำเหมือนครั้งก่อนแน่นอน พาพี่ใหญ่ทุกท่านเหาะข้ามท้องฟ้าไปโดยตรง ระหว่างพวกท่านห้าพี่น้องอาจจะรู้สึกว่าไม่เป็นอะไร ถึงแม้หนิวเอ้อร์จะไม่ว่าอะไร แต่จากที่ข้าดูแล้ว ทำแบบนั้นไม่เหมาะสมเลยจริงๆ ครั้งนี้ในเมื่อข้ามาจัดการเรื่องนี้ ข้าก็ขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้เสียก่อน ข้าไม่อยากทำให้เรื่องวุ่นวายจนทุกคนรู้เส้นทางไปกลับพิภพใหญ่กันหมด เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทางหนีทีไล่สุดท้ายของหนิวเอ้อร์ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา ข้าไม่อาจนิ่งดูดายไม่สนใจ ถ้าพี่ๆ อยากจะพาคนไปกับข้าด้วย ข้าก็รู้สึกว่าพี่ๆ อยู่ในกระเป๋าสัตว์จะเหมาะสมกว่า แบบนั้นข้าจะสงบใจหน่อย”
“…” ทั้งสี่คนสบตากันอย่างพูดไม่ออก ที่ยินดีเหลือคนไว้ส่วนหนึ่งแล้วพาคนไปส่วนหนึ่ง ก็เพราะอยากจะรู้เส้นทางให้ชัดเจนก่อนไม่ใช่เหรอ แล้วอีกอย่าง การนำกำลังพลที่ส่วนที่เข้มแข็งที่สุดของทะเลดาวนักษัตรใส่เข้าไปในกระเป๋าสัตว์ของเจ้า หากเจ้าคิดไม่ซื่อฟันกระเป๋าสัตว์ขาดขึ้นมา คนในกระเป๋าสัตว์ก็ไม่มีความสามารถที่จะป้องกันได้ แบบนั้นจะไม่จบเห่กันหมดเหรอ?
“น้องสะใภ้ เจ้าคิดมากไปหรือเปล่า? นี่คือความประสงค์ของเจ้าห้าเหรอ?” หงเทียนขมวดคิ้ว
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ถ้าเป็นความประสงค์ของเจ้าห้า ข้าก็คงไม่ต้องมารับหน้าที่เป็นคนร้ายๆ แบบนี้หรอก แล้วไม่ต้องมาใส่ใจเรื่องนี้ด้วย ใช่ว่าพวกท่านจะไม่รู้จักเจ้าห้าของพวกท่าน ถึงแม้จะไม่นับว่าเป็นคนดี พวกเราพูดไม่ได้ว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษ แต่กลับเป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตร เขาเป็นคนที่สามารถยอมทำทุกวิถีทางเพื่อพี่น้อง ในปีนั้นตอนที่เขายังเป็นคนตำแหน่งเล็กๆ ตอนยังเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์ เขาก็สู้ตายเพื่อสหายที่ถ้ำล่องนิภา สู้ตายไม่ยอมแพ้ ตอนเข้าร่วมการปราบจลาจลที่ทะเลดาวนักษัตร เพื่อที่จะให้สหายได้หนีไปไกลๆ เขาเสี่ยงชีวิตล่อศัตรูบุกเข้าไปที่เขาเพลิงนภาของเลี่ยหวนเพียงลำพัง ตัดขาตัวเองข้างหนึ่งแล้วกระโดดลงตำหนักบรมอัคคี ของที่ได้จากการปราบจลาจลก็แบ่งกับสหายอย่างยุติธรรม แล้วก็เพราะการตายของผู้หญิงคนหนึ่ง หลังจากกลับมาเขาก็เต็มใจสละอาณาเขตที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ดันทุรังไปอยู่ที่ปราสาทดำเนินธารา ต่อให้โดนลงโทษจนอนาคตตัวเองพัง แต่ก็ต้องล้างแค้นเพื่อผู้หญิงคนนั้นให้ได้ ตอนหลังก็ทำเพื่อเพื่อน สามารปลีกตัวไปได้แต่ก็ไม่ปลีกตัวไป ดันทุรังเข้าร่วมสงครามใหญ่ของสามปราสาท เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว แล้วก็ยังมีเยียนเป่ยหงนั่นอีก พวกเจ้าอาจจะยังไม่รู้ เขาถ่อไปก่อเรื่องใหญ่โตที่นภาจอมมารเพื่อเยียนเป่ยหง ทั้งยังโดนทำร้ายจนสาหัส ถ้าไม่ใช่เพราะข้าไปขอร้องให้ เขาคงจบชีวิตไปแล้ว เรื่องแบบนี้ยังมีอีกนับไม่ถ้วน เขามักจะเอาชีวิตไปล้อเล่นเพื่อเพื่อนแบบนี้เสมอ เขาไม่มองว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ข้ากลัว! ถ้าเจ้าห้าของพวกท่านอยู่ที่นี่ ก็ไม่ต้องพูดถึงเลย ในเมื่อเขาสามารถใจกว้างพาพวกท่านไปไปได้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่ครั้งที่สองจะพาไปแบบปิดบัง เขาเป็นผู้ชายใจใหญ่ แต่ข้าเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ความรู้สึกของข้าใครจะเข้าใจได้ล่ะ? พี่ชายทั้งสี่ท่านคะ ข้าไม่อยากเป็นหม้ายหรอกนะ! เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ใหญ่ทั้งสี่ข้าก็จะไม่พูดโกหก หากยินดีจะตอบรับเงื่อนไขของน้องสาว พวกเราก็ไปด้วยกัน หากพวกท่านไม่ยินดีตอบรับ ต่อให้ข้าต้องแปรพักตร์กับเจ้าห้าข้าก็ไม่ยอมตอบตกลงเด็ดขาด!”!”
คำพูดนี้ทำให้ทั้งสี่เงียบกริบเถียงอะไรไม่ออก ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ พอได้ยินแบบนี้ทั้งสี่ก็ค่อนข้างทอดถอนใจ เมื่อฟังๆ ดูแล้ว ก็พบว่าเจ้าห้าเป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตรจริงๆ เรื่องบางเรื่องพวกเขาก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน และแน่นอนว่ามีบางเรื่องที่ไม่เคยได้ยิน อย่างเช่นโดนซ้อมปางตายที่นภาจอมมาร
ทว่าในใจของทั้งสี่ก็ยังมีสิ่งที่ค้างคาอยู่บ้าง เหมียวอี้เคยพาพวกเขาไปพิภพใหญ่ครั้งหนึ่งคือเรื่องจริง แต่ภายใต้การตบตาของเหมียวอี้ ทำให้พวกเขาไม่รู้เส้นทางชัดเจนเลย เจ้าห้ามันเจ้าเล่ห์มาก
แต่จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นก็ชัดเจนมากว่าทุกคนใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ไม่นับเป็นสหายด้วยซ้ำ ตอนนั้นยังไม่ได้สาบานเป็นพี่น้องกันด้วย เจ้าเองก็จะขอให้เจ้าห้าไม่เห็นแก่ตัวไม่ได้
ตอนนี้โดนอวิ๋นจือชิวใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ใช้ฐานะของน้องสะใภ้มาร่ำร้องว่าไม่อยากเป็นแม่หม้าย แม้แต่คำพูดโต้ตอบพวกเขาก็พูดไม่ออก ไม่อย่างนั้นจะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่ารังแกเมียของพี่น้องร่วมสาบาน
ทั้งสี่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา อวิ๋นจือชิวอธิบายเหตุผลที่เชื่อถือได้ แล้วก็เสนอเงื่อนไขที่โหดหิน ถ้าไม่ตอบรับก็จะไม่พาพวกเขาไปด้วย อาศัยที่นางมาโวยวายขอร้องอยู่ที่นี่ สรุปก็คือนางพูดจามีเหตุผล หรือจะให้ทั้งสี่จับเมียของพี่น้องร่วมสาบานมาซ้อมยกหนึ่ง แล้วบีบบังคับให้นางนำทางไปเหรอ?
หลังจากแอบปรึกษากันเงียบๆ พักหนึ่ง คาดว่าอวิ๋นจือชิวก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำร้ายพวกเขาเหมือนกัน สงเวยกล่าวอย่างหัวเราะมได้ร้องให้ไม่ออก “ก็ได้! จัดการตามความประสงค์ของน้องสะใภ้ก็แล้วกัน”
อวิ๋นจือชิวยืนขึ้นทันที หลังจากถอยหลังช้าๆ ก็คำนับประมุขถิ่นทั้งสี่ด้วยท่าทางจริงจัง “น้องสาวของขอบคุณที่พี่ใหญ่ทั้งสี่เห็นอกเห็นใจ เพียงแต่น้องสาวยังมีคำขอที่ไร้สาระอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ พี่ๆ ทั้งสี่อย่าบอกหนิวเอ้อร์นะ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยอย่างหนิวเอ้อร์ เขาจะต้องเห็นข้าเป็นศัตรูแน่ๆ เขาอาจจะทิ้งข้าด้วยซ้ำ น้องสาวไม่อยากเป็นแม่หม้ายสามีตาย แล้วก็ไม่อยากเป็นแม่หม้ายสามีทิ้งด้วย”
คำพูดนี้…ถ้าให้เหมียวอี้ได้ยินเข้า คงจะต้องอยากเอาหัวโขกกำแพงตายแน่ มีความเป็นไปได้ต่ำมากที่ท่านขุนนางเหมียวจะทิ้งนาง
ทั้งสี่ยังจะพูดอะไรได้อีก สงเวยถอนหายใจแล้วบอกว่า “น้องสะใภ้กล่าวเกินไปแล้ว พวกเราไม่ใช่คนปากมากพูดซี้ซั้ว ย่อมหวังให้เจ้ากับเจ้าห้ารักใคร่ปรองดองกันอยู่แล้ว”
“น้องสาวไม่รู้ความ ไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร ถ้ามีตรงไหนที่ล่วงเกินทำให้ไม่พอใจ ก็หวังว่าพี่ชายทั้งสี่จะไม่เก็บมาใส่ใจ น้องสาวจะเอาศีรษะโขกพื้นเพื่อขอโทษต่อพี่ชายทั้งสี่ก่อน!” อวิ๋นจือชิวยกกระโปรง ทำท่าจะคุกเข่าลงตรงนั้น
ปาดเหงื่อ! คำขอโทษนี้แสดงออกใหญ่โตเกินไปหน่อยหรือเปล่า ทั้งสี่ไม่สะดวกจะเข้าไปแตะต้องนางด้วย ถึงอย่างไรหญิงชายก็มีความแตกต่างกัน ทั้งยังเป็นผู้หญิงของน้องชายร่วมสาบานด้วย ทำเอาทั้งสี่ทำอะไรไม่ถูก รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ขัดขวางนางเอาไว้ จะยอมให้นางคุกเข่าเอาศีรษะโบกพื้นได้อย่างไร
ในเมื่อคุกเข่าไม่ได้แล้วจริงๆ อวิ๋นจือชิวก็ไม่คุกเข่าแล้ว อย่างไรเสีย ไม่ว่าจะเป็นด้านเหตุผลหรือความรู้สึกนางก็ทำเต็มที่แล้ว
เรื่องราวกำหนดไว้ตามนี้ หลังจากทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกันแล้ว ประมุขถิ่นสี่ทิศก็เดินไปบนลานกว้างของตำหนักดาวบูรพา แต่ละคนเงียบงันพูดไม่ออก
จู่ๆ อิงอู๋ตี๋ก็บอกว่า “พวกเจ้าคิดว่า นี่เป็นความประสงค์ของเจ้าห้าหรือเปล่า?”
“ไหนๆ ก็ตอบตกลงไปแล้ว มาพูดตอนนี้มีความหมายเหรอ?” สงเวยตอบ
ฝูชิงถอนหายใจ “มิน่าล่ะผู้หญิงคนนี้ถึงประคับประคองโรงเตี๊ยมเมฆาวายุที่ทะเลทรายม่านเมฆได้ด้วยตัวคนเดียว เจ้าห้าได้เมียดีจริงๆ!”
หลังจากทั้งสี่ปรึกษากันที่ตำหนักดาวบูรพาเป้นเวลาหนึ่งคืน รายชื่อของคนที่จะไปพิภพใหญ่ก็ถูกำหนดออกมาแล้ว
ในบรรดาประมุขถิ่นทั้งสี่ ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ถูกเลือกให้ไป ในบรรดาทูตซ้ายทูตขวาทั้งแปด จินกวงกับหยินกวงลูกน้องของสงเวย เปินเหลยกับฮั่นเทียนลูกน้องของหงเทียน ชิงเฟิงลูกน้องของฝูชิง โพ่คงลูกน้องของอิงอู๋ตี๋ สรุปว่าทั้งสี่ตำหนักล้วนเหลือคนไว้เฝ้าคุ้ม ส่วนอีกยี่สิบสี่คนก็เลือกราชาปีศาจมาฝั่งละหกคน
เมื่อรายชื่อทั้งสามสิบสองรายชื่อถูกกำหนดแล้ว ก็ส่งคนไปเรียกตัวมาทันที
ตอนพลบค่ำของวันถัดมา สมาชิกก็มากันครบแล้ว มารวมกันในตำหนักดาวบูรพา อวิ๋นจือชิวก็ถูกเชิญมาเช่นกัน ตอนนี้ยืนอยู่ข้างกายประมุขถิ่นทั้งสี่แล้ว
กลุ่มปีศาจไม่รู้ว่ามารวมตัวกันที่นี่ทำไม สงเวยเผชิญหน้ากับทุกคนแล้วถามว่า “ให้พวกเจ้าตัดขาดงานที่อยู่ในมือแล้ว จัดการเรียบร้อยหรือยัง? ไม่ได้มีข่าวเล็ดลอดออกไปใช่มั้ย?”
“ตัดขาดเรียบร้อยแล้วค่ะ! กำลังรักษาความลับ!” หูเฟย ฮูหยินของเลี่ยหวน และเป็นราชินีจิ้งจอกหนึ่งในเก้าราชาปีศาจใต้บังคับบัญชาของฝูชิงเช่นกัน นางถามว่า “นายท่าน เรียกพวกเรามาด้วยธุระอะไรหรือคะ!”
“ไปถึงที่แล้วเดี๋ยวก็รู้เอง รับรองว่าพวกเจ้าต้องดีใจมากแน่” สงเวยตอบ แล้วหันมาพยักหน้าให้อวิ๋นจือชิว “น้องสะใภ้ งั้นก็ออกเดินทางกันเถอะ!”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า แล้วนำกระเป๋าสัตว์ออกมาสองใบ ชูขึ้นพร้อมบอกว่า “ผู้ชายเข้ามาทางซ้าย ผู้หญิงเข้ามาทางขวา”
“ทำอะไรน่ะ?” กลุ่มราชาปีศาจตกใจ แบบนี้ไม่ใช่การเอาชีวิตไปไว้ในมือคนอื่นหรอกเหรอ แค่เอาดาบฟันทีเดียวก็หาที่หลบไม่ได้แล้ว
“จะเปลืองคำพูดมากมายขนาดนั้นทำไม?” อิงอู๋ตี๋หัวเราะเยาะด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ ทำให้เสียงของลูกน้องเงียบลงทันที
ส่วนเขาก็หันตัวมา ถลันตัวเข้าไปในปากกระเป๋าทางซ้ายเป็นคนแรก แล้วฝูชิงก็ตามเข้าไปเป็นคนที่สอง
ประมุขถิ่นทั้งสองกับทูตซ้ายและทูตขวาหกคนเข้าไปหมดแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้วเหมือนกัน ทำได้เพียงทยอยกันตามเข้าไป
“ท่านสามี! ข้าไปกับท่านดีกว่า” หูเฟยเป็นฝ่ายเข้ามาอยู่ข้างกายราชาปีศาจเลี่ยหวน เลี่ยหวนพยักหน้าตอบรับ ภายใต้สถานการณ์ที่แปลกประหลาดแบบนี้ อยู่กันสองสามีภรรยาจะเหมาะสมกว่า อย่างน้อยก็มีคนดูแลกัน
ทว่าเมื่อทั้งสองเข้าไปได้ครู่เดียว หูเฟยก็ร้องโวยวายอยู่ในกระเป๋าสัตว์ “ใครลูบไล้ข้า…ใครลูบข้า…” นางอายที่จะบอกว่ามีคนลูบไล้ก้นนาง
“ไอ้เวรตัวไหนมันทำ?” เลี่ยหวนตะโกนถามอย่างโมโห
ข้างในมีเสียงหัวเราะทันที แต่กลับไม่มีใครยอมรับ
ผ่านไปไม่นาน หูเฟยก็โผล่ออกจากกระเป๋าสัตว์ด้านซ้าย ออกไปอยู่ที่กระเป๋าสัตว์อีกใบอย่างสะบักสะบอม
…………………………