พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 997 รอขายตอนราคาดี
ถ้าสามารถพาหูเฟยไปด้วยกันได้ เลี่ยหวนย่อมดีใจมากอยู่แล้ว
ส่วนเหมียวอี้ก็เขียนคำสั่งให้ฝูชิงฉบับบหนึ่ง มอบอำนาจของผู้บัญชาการให้เขาชั่วคราว ที่จริงต่อให้ตอนที่ตัวเขาอยู่ที่นี่ งานเบื้องล่างก็ส่งต่อให้ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋จัดการอยู่ดี แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เคยชินกับการโยนงานให้คนอื่นทำอยู่แล้ว ถ้าให้สนใจเรื่องทุกอย่างไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ นั่นไม่ใช่นิสัยการทำงานของเขา เมื่อมอบอำนาจตัดสินใจให้ทั้งสองแล้ว เขตเมืองตะวันออกก็ย่อมตกอยู่ในความดูแลของพวกเขาสองคน
การทำแบบนี้ก็มีข้อดีเหมือนกัน อย่างน้อยในสายตาฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ น้องชายคนนี้ก็ไม่ได้มองพวกเขาสองคนเป็นลูกน้อง แต่เชื่อใจพวกเขาอย่างเต็มเปี่ยม สงสัยน้องสะใภ้จะพูดไว้ไม่ผิด ว่าเจ้าห้าคนนี้เป็นคนมีคุณธรรมน้ำมิตรจริงๆ ก็เพราะอย่างนี้ เมื่อมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันที่นี่ ทั้งสองฝ่ายจึงมีความสบายใจต่อกันมาก
เมื่อพวกเขาออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์ พวกฝูชิงก็ออกไปข้างนอก ส่วนเหมียวอี้ก็ไปหาเป่าเหลียนแล้วบอกว่า “ข้าจะต้องออกไปข้างนอกสักระยะ เจ้าจะฝึกตนอยู่ที่นี่หรือจะกลับไปที่สำนักลมปราณก็ได้”
เป่าเหลียนอึ้งนิดหน่อย ก่อนจะกุมหมัดตอบว่า “ข้าน้อยยินดีติดตามรับใช้นายท่าน จะไปกับนายท่านด้วย”
“ข้าจะไปหาที่เก็บตัวฝึกฝน เจ้าไปด้วยไม่เหมาะหรอก พวกเราก็เป็นคนกันเอง เจ้าไม่ต้องเกรงใจเลย เจียดเวลากลับสำนักลมปราณไปเยี่ยมปู่ของเจ้าเถอะ!” เหมียวอี้โบกมือ ตัดสินใจแบบนี้แล้ว เข้าไม่สะดวกจะพาเป่าเหลียนไปด้วยจริงๆ ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพวกฝูชิงอาจจะเปิดเผยได้
ผ่านไปไม่นาน ด้านนอกก็มีคนมารายงานอีกแล้ว ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกส่งคนมาเชิญเหมียวอี้ไปร่วมงานเลี้ยง
ถ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็แทบจะลืมไปแล้ว เขายังเตรียมจะไปสัมผัสความอ่อนโยนละมุนละไมของสองพี่น้องโอวหยางสักคืนอยู่เลย
เหมียวอี้เองก็อยากจะดูว่าสวีถังหรานต้องการจะทำอะไรกันแน่ ถึงได้ไปร่วมงานเลี้ยง
โคมไฟประดับสวยงาม หลังจากมาถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก พอเข้ามาในสวนดอกไม้ของสวีถังหราน เหมียวอี้ก็เกิดความคิดอยากจะเลี้ยวหนีกลับทันที เหตุผลไม่ใช่เพราะอะไรหรอก ถึงแม้มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่จะมาถึงแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนเห็นผีก็คือ หวงฝู่จวินโหรวก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน กำลังเหล่ตามองเขาด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“น้องหนิว!” เมื่อเห็นเขากำลังจะเลี้ยวหนี สวีถังหรานก็รีบดึงแขนเขาเอาไว้
เหมียวอี้จึงถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เจ้าไม่เคยได้ยินเหรอว่าข้ากับหวงฝู่จวินโหรวมีความแค้นต่อกัน? รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าข้ากับนางไม่ถูกกัน เจ้ายังจะเชิญนางมาทำไมอีก?”
สวีถังหรานยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “ข้าก็ไม่ได้เชิญนางเหมือนกัน แต่นางมาเองโดยไม่ได้รับเชิญ นางมากับเสวี่ยหลิงหลงของหอกลิ่นสวรรค์ คาดว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าบอกหอกลิ่นสวรรค์ไว้ ว่าจะเชิญนางมาทำการแสดงในงานรวมตัวของผู้บัญชาการทั้งสี่ ทางหอกลิ่นสวรรค์คงปล่อยข่าวให้หวงฝู่จวินโหรวรู้ ในเมื่ออีกฝ่ายมาแล้วข้าก็ไม่สะดวกจะไล่ไป ถึงอย่างไรข้าก็เคยไหว้วานให้นางไกล่เกลี่ยกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงให้ ถ้าไปทำให้ผู้หญิงคนนี้ไม่พอใจ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็จะยิ่งอาละวาด น้องชาย ไว้หน้าข้าเถอะ อดทนไว้เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว”
เจ้ามีหน้าให้ข้าไว้ด้วยเหรอ! เหมียวอี้พูดดูถูกในใจ แต่จะหนีไปก็คงไม่ดี เพราะมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่เห็นเขาแล้ว จึงเดินเข้าไปกุมหมัดคารวะทักทายด้วยรอยยิ้ม “มู่หรง หยางไท่ ผู้จัดการร้านหวงฝู่ก็มาด้วยเหรอ?”
หยางไท่ยิ้มพลางกุมหมัด ส่วนมู่หรงซิงหัวก็ตอบ “อืม” ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เหมียวอี้เห็นเลย
เหมียวอี้เองก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าผู้หญิงคนนี้ดูถูกเหยียดหยามคนเลวที่ไปชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว เขาพอจะเข้าใจได้
หลังจากทักทายกันตามมารยาท สุราอาหารถูกนำมาวางขึ้นโต๊ะ สวีถังหรานก็เชิญทุกคนให้นั่งประจำที่ หวงฝู่จวินโหรวเหมือนจงใจผ่อนฝีเท้าเดินช้าๆ หลังจากเดินเคียงคู่กับเหมียวอี้ นางก็ถ่ายทอดเสียงถามเงียบๆ “หนิวโหย่วเต๋อ พอเห็นข้าเจ้าก็วิ่งหนี เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก แล้วตอบว่า “ครั้งก่อนเจ้าโยนเสื้อชั้นในไว้บนเตียงข้า ข้ายังอยากจะถามเจ้าอยู่เลยว่าหมายความว่าอย่างไร!”
หวงฝู่จวินโหรวอึ้งทันที รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เจ้าบ้ารึเปล่า ตอนนั้นฉุกละหุก ก็แค่ลืมหยิบไปเท่านั้นเอง ร่างกายข้าเจ้าก็เห็นหมดแล้ว ผลประโยชน์อะไรเจ้าก็ฉวยไปหมดแล้ว แค่เสื้อชั้นในตัวเดียวมีค่าพอที่จะทำให้เจ้าหลบหน้าข้าเลยเหรอ?”
“…” เหมียวอี้ลำบากที่จะพูดออกไป ไม่สามารถบอกนางถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับอวิ๋นจือชิวได้ ทำได้เพียงตอบอย่างขอไปที “ไม่ใช่เรื่องเสื้อชั้นใน ข้าบอกแล้วไง ว่านั่นคือครั้งสุดท้าย เจ้าเองก็รับปากแล้ว! พวกเรารักษาระยะห่างกันหน่อยเถอะ แบบนี้จะดีทั้งกับเจ้าและกับข้า”
“รักษาระยะห่างเหรอ? ข้าว่าเจ้ากลัวข้าจะเป็นอุปสรรคในการจีบเถ้าแก่เนี้ยมากกว่ามั้ง?” หวงฝู่จวินโหรวพูดเหน็บแนม “เจ้าก็อย่ายกยอตัวเองมากเกินไปหน่อยเลย ข้าก็ไม่ได้คิดจะอยู่กับเจ้าแบบนี้ไปตลอดหรอก ด้วยฐานะอย่างข้า จะหาผู้ชายที่มีปัจจัยพร้อมกว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้เชียวเหรอ?”
“งั้นก็ดี! ขอให้เจ้าเจอกับสามีในอุดมคติในเร็ววัน!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วรีบเดินไปข้างหน้า ปลีกตัวออกจากนาง ทำตามที่สวีถังหรานบอก รีบเข้าไปนั่งประจำที่
“เลือดเย็นไร้หัวใจ!” หวงฝู่จวินโหรวพ่นคำพูดออกมาจากซอกฟัน
คนตรงนี้เพิ่งนั่งลง การร้องระบำของหอกลิ่นสวรรค์ก็เริ่มต้นแล้ว แสดให้คนดูเพียงโต๊ะเดียว แต่สมาธิของคนโต๊ะนี้ดันไม่ได้อยู่กับการร้องระบำ พวกเขากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกัน สำหรับคนที่กำลังทุ่มเทร้องระบำอยู่บนเวที สิ่งนี้ทำให้พวกเขาปวดใจมาก สิ่งที่ตัวเองพยายามฝึกซ้อมอย่างยากลำบาก ในสายตาของคนข้างล่างเป็นเพียงสิ่งที่ช่วยเสริมให้เด่น แต่ก็ช่วยไม่ได้ คนเราแบ่งระดับชั้นอาชีพไว้หลากหลาย พวกเขาเป็นแค่คนเต้นกินรำกิน
ที่โต๊ะนี้กำลังคุยกันเรื่องการทดสอบ และไม่ได้หลบเลี่ยงหวงฝู่จวินโหรวด้วย
ตอนนี้หวงฝู่จวินโหรวถึงได้รู้จุดประสงค์ที่พวกเขามารวมตัวกัน และเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของเซี่ยโห้วหลงเฉิง นางกับมู่หรงซิงหัวนั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งสองคุยกันเยอะหน่อย ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่
พอสวีถังหรานพูดเปิดเผยชัดเจน พวกเหมียวอี้ก็เข้าใจจุดประสงค์ที่สวีถังหรานเชิญมาเป็นแขกแล้ว สงสัยจะกลัวตาย เขากำลังโน้มน้าวทุกคนว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะต้องสามัคคีกันไว้ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ กำลังอยากจะหาผู้ช่วยตอนทำการทดสอบ เขาคนเดียวกำลังอ่อนด้อย แบบนั้นน่าหวาดกลัว!
จู่ๆ หยางไท่ก็บอกว่า “สวีถังหราน ยังไม่รู้เลยว่าต้องทดสอบเดี่ยวทีละคน หรือว่าต้องทดสอบเป็นกลุ่ม มาพูดแบบนี้ตอนนี้ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ?”
เหมือนโดนน้ำเย็นสาดหน้า สวีถังหรานเอ๋อนิดหน่อย ใช่แล้ว! ถ้าให้ทดสอบเดี่ยวทีละคนขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ? ตอนนี้จิตใจของเขาเหี่ยวเฉาไปแล้วครึ่งหนึ่ง
บนเวที รอจนกระทั่งเสียงของเสวี่ยหลิงหลงดังบนเวที หวงฝู่จวินโหรวก็นำทุกคนปรบมือ ทุกคนสรรเสริญเยินยอตามนาง ในที่สุดความสนใจก็ไปรวมอยู่บนเวทีแล้ว
จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ การได้ดูเสวี่ยหลิงหลงร้องระบำถือเป็นการเสพสุขอย่างหนึ่งจริงๆ แม้แต่สวีถังหรานก็ยังโยนความห่อเหี่ยวใจเอาไว้ชั่วคราวแล้ว
ระหว่างที่พักและเปลี่ยนคนขึ้นแสดงบนเวที ท่านแม่สวีก็นำเสวี่ยหลิงหลงเดินเข้ามาดื่มฉลองกับพวกเขา ในสถานการณ์ทั่วไปเสวี่ยหลิงหลงจะไม่ออกมาดื่มเป็นเพื่อน ทว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนไม่ใช่คนทั่วไป หอกลิ่นสวรรค์อยู่บนอาณาเขตผืนนี้ เลี่ยงไม่ได้ที่จะฝากเนื้อฝากตัวกับท่านผู้บัญชาการ
หยางไท่ชูจอกสุราพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราดูแลอะไรไม่ได้หรอก คนที่ดูแลได้จริงๆ คือผู้จัดการร้านหวงฝู่ต่างหาก”
เรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ คนที่ดูแลได้จริงๆ ก็คือหวงฝู่จวินโหรว ถ้าไม่ใช่เพราะหวงฝู่จวินโหรว คนสวยระดับเสวี่ยหลิงหลงคงโดนคนจับขึ้นเตียงไปนานแล้ว จะได้เสนอหน้ามาขายศิลปะเหรออยู่ที่นี่เหรอ
หลังจากพูดคุยตามมารยาทไปครู่เดียว ท่านแม่สวีก็พาเสวี่ยหลิงหลงถอยออกไป เตรียมทำการแสดงเพลงต่อไป
หยางไท่ถามหวงฝู่จวินโหรวว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ เสวี่ยหลิงหลงคนนี้ เจ้าคงจะปกป้องนางไปทั้งชีวิตไม่ได้หรอกมั้ง เวลาในแดนฝึกตนยาวนานเชื่องช้า เป็นไปไม่ได้ที่นางจะขายศิลปะไปทั้งชีวิต คนที่หน้าตางามล่มเมืองอย่างนาง คงจะมีสักวันที่ได้เจอกับคนที่ผู้จัดการร้านหวงฝู่ไม่มีทางขัดขวางไหว”
สวีถังหรานส่ายหน้าบอกว่า “ผู้หญิงที่หน้าตาสวยเกินไป บางครั้งก็เป็นการสร้างความยุ่งยากให้ตัวเอง”
“ก็เพราะผู้ชายอย่างพวกเจ้าไม่น่าไว้วางใจไม่ใช่หรอกเหรอ!” มู่หรงซิงหัวพูดเหยียดหยาม
หวงฝู่จวินโหรวยิ้มพร้อมตอบว่า “เป็นเพื่อนกัน ถ้าขัดขวางได้อีกสักวันก็ขัดขวางไป ถ้าเจอคนที่ข้าขัดขวางไม่ไหวจริงๆ ก็แสดงว่าฐานะต้องไม่แย่แน่นอน อย่างน้อยชีวิตนี้นางก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรฝึกตนแล้ว”
“รอให้ราคาดีแล้วค่อยขายนี่นา! แต่คนที่ผู้จัดการร้านหวงฝู่ขัดขวางไม่ไหวจะต้องมียศฐาบรรดาศักดิ์แน่ เสวี่ยหลิงหลงทำอาชีพเปื้อนฝุ่น เกรงว่าคงยากที่จะมีโอกาสได้เป็นภรรยาเอกของตระกูลใหญ่ๆ” หยางไท่กล่าวกลั้วหัวเราะ
เหมียวอี้พูดหยอกว่า “พี่หยางยังไม่แต่งงาน ถ้ายินดีรับเสวี่ยหลิงหลงเป็นภรรยาเอก ไม่แน่ว่าผู้จัดการร้านหวงฝู่อาจจะช่วยให้สมหวังก็ได้นะ!”
หยางไท่ยิ้มแห้ง “ข้าไม่ฝันกลางวันแบบนั้นแล้ว เมื่ออยู่ในตำแหน่งแบบเจ้ากับข้า เรื่องผู้หญิงก็มีมาไม่ขาดหรอก สาวงามที่ยินดีกระโดดเข้าอ้อมกอดมีตั้งมากมาย ไม่ต้องแต่งงานกันเสมอไป แบบนี้จะได้ประหยัดทรัพยากรฝึกตน” เมื่อกล่าวแบบนี้ออกมา เหมียวอี้กับสวีถังหรานก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่กลับทำให้ผู้หญิงที่นั่งร่วมโต๊ะไม่พอใจแล้ว จึงพูดเสริมทันทีว่า “นี่ไม่ใช่ความคิดของข้าคนเดียวนะ คนในแดนฝึกตนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น ขนาดน้องหนิวยังไม่ถือสาผู้หญิงที่มีสามีแล้วเลย คาดว่าคงไม่ถือสาคนทำอาชีพเปื้อนฝุ่นอย่างเสวี่ยหลิงหลงเหมือนกัน ไปขอให้ผู้จัดการร้านหวงฝู่ช่วยให้สมปรารถนาได้นะ”
หวงฝู่จวินโหรวพูดเหน็บทันที “เขาหลงใหลเถ้าแก่เนี้ยท่านนั้นจนโงหัวไม่ขึ้นไปแล้ว ถ้าเขากลับตัวได้ ข้าก็จะเป็นคนกลางช่วยให้เขาสมหวังกับเสวี่ยหลิงหลง!”
หยางไท่ลูบไม้ลูกมือหัวเราะทันที แล้วถามต่อว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ พูดจริงหรือเปล่า?”
หวงฝู่จวินโหรวเหล่ตามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง หยิบจอกสุราขึ้นมา แล้วหันตัวสาดสุราลงพื้น “คำพูดที่พูดออกไปแล้ว ก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป!”
หยางไท่ตบบ่าเหมียวอี้อย่างแรงทันที “น้องหนิว พลาดโอกาสไม่ได้นะ หญิงงามล่มเมืองขนาดนี้จะพลาดได้อย่างไร!”
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก ในบ้านเขามีคนสวยน้อยไปหรือไงล่ะ? บนโต๊ะนี้ก็มีหญิงงามล่มเมืองอยู่คนหนึ่งเหมือนกัน มีอะไรกันแล้วเหมือนกัน แต่แล้วยังไงล่ะ?
จะสวยหรือจะไม่สวย สำหรับเขานั้นไม่มีความหมายอะไรแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาว่าอยากหรือไม่อยาก! แต่แน่นอนว่าจะพูดออกมาแบบนั้นไม่ได้ เพียงยิ้มตอบให้เรื่องผ่านไป “จะกวางตุ้งหรือผักกาดเขียว ต่างก็มีคนชอบทั้งนั้น ลางเนื้อชอบลางยา!”
หยางไท่กับสวีถังหรานถอนหายใจอย่างเสียดายทันที
แต่การปฏิเสธอย่างเด็ดขาดแบบนี้ทำให้มู่หรงซิงหัวประหลาดใจอยู่บ้าง จะเห็นได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่คนไร้ยางอายบ้าผู้หญิงเสียทีเดียว ขนาดคนสวยระดับเสวี่ยหลิงหลงยังไม่อยากได้ จะเห็นได้ว่าเขาชอบเถ้าแก่เนี้ยท่านนั้นจากใจจริง
แต่สำหรับหวงฝู่จวินโหรว ในใจเรียกได้ว่ารู้สึกซับซ้อนสับสน ด้วยปัจจัยนางที่นางมี ไม่น่าเชื่อว่าจะเทียบกับผู้หญิงที่มีสามีแล้วไม่ติด!
เหมียวอี้ยังมีธุระ ก่อนหน้านี้บอกสองพี่น้องโอวหยางไว้แล้วว่าจะไปค้างคืนด้วย คงไม่ดีถ้าจะให้รอนาน และเขาก็ไม่ใช่คนมีอารมณ์สุทรีย์อะไร ไม่ค่อยสนใจการร้องรำทำเพลงสักเท่าไร มานั่งเสียเวลากับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ เมื่อเห็นว่าตรงนี้ไม่เลิกพูดเรื่องไร้สาระเสียที ถึงได้ขอตัวกลับก่อน
เมื่อกลับถึงจวนผู้บัญชาการ เขาก็เดินทางไปจนถึงร้านขายผลึกสกัดโดยใช้เส้นทางใต้ดิน
เหมียวอี้เองก็ไม่อยากทำเรื่องแบบนั้นกับสองพี่น้องทุกครั้งที่มาที่นี่ จึงเสนอให้ไปเดินเล่นด้วยกัน
สองพี่น้องย่อมดีใจมากอยู่แล้ว จะว่าไปก็น่าสงสาร เพราะพวกนางไม่เคยออกไปเที่ยวเล่นกับเหมียวอี้มาก่อน ทั้งสามจึงปลอมตัวแล้วออกไปเที่ยวด้วยกัน ไม่ได้พาคนอื่นไปด้วย
เอ้อระเหยลอยชายอยู่ที่ตลาดสวรรค์ภายใต้ทิวทัศน์ยามราตรี เหมียวอี้ตามใจทั้งสองสุดๆ บางครั้งก็กล่าวคำหวานไพเราะ ทำให้ทั้งสองร่าเริงเบิกบานใจ หลังจากกลับมาแล้วก็ปรนนิบัติเขาอย่างสุดจิตสุดใจ เป็นฝ่ายรุกก่อน…
วันต่อมาตอนพระอาทิตย์ส่องสว่าง เหมียวอี้ก็ลุกออกจากแขนของสองพี่น้องที่กอดพัวพันตัวเองอยู่
หลังจากกลับมาที่จวนผู้บัญชาการ ก็เรียกพวกอิงอู๋ตี๋ที่มารออยู่ก่อนแล้วให้ออกเดินทางไปด้วยกัน พอออกจากเมืองก็เหาะไปทางทิศใต้ตลอดทางด้วยความเร็วสูง
…………………………