พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1023 กลางแนวสร้อยไข่มุกเก้าขุนเขา
จากตัวของพวกเขา เหมียวอี้ก็มองออกเช่นกันว่าโค่วเหวินหลานไร้อำนาจที่ตระกูลโค่วจริงๆ ไม่อย่างนั้นตามหลักการแล้ว หลานชายของอ๋องสวรรค์โค่วควรจะสามารถใช้ทรัพยากรได้เยอะมากสิถึงจะถูก ตอนนี้พอลองเปรียบเทียบกัน โค่วเหวินหลานสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างจำกัดจริงๆ คาดว่าของวิเศษสี่ชุดที่ให้พวกเขาไว้ก่อนหน้านี้ก็คงจะได้มาอย่างยากลำบากเหมือนกัน
พอลองดูคนอื่นๆ นอกจากกำลังคนช่วยเหลือเป็นร้อยแล้ว สัตว์เทพที่ผู้บัญชาการพวกนั้นขี่ก็ห้าวหาญมีพละกำลังไม่ธรรมดาเหมือนกัน นอกจากเกราะรบผลึกแดง ชายหนุ่มเครายาวที่เป็นหัวหน้าก็ยิ่งเหมือนกับเหมียวอี้ สวมเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงทั้งตัว
อีกฝ่ายสังเกตเห็นพวกเขาแล้วเหมือนกัน โชคดีที่ชายไว้หนวดคนนั้นแค่เหลือบมองมาทางนี้ด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตรแวบเดียว แล้วก็ไม่ได้ทำอะไร เหมือนกำลังรีบทำเวลา พออีกฝ่ายโบกมือ ก็นำกำลังพลเหาะพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
ปานเยว่กงเองก็พอจะมองอะไรออกแล้วเหมือนกัน เขาแอบรู้สึกแปลกใจ ว่าทำไมหลานชายของอ๋องสวรรค์โค่วถึงจัดเตรียมผู้ช่วยมาแค่นี้ แต่ก็เก็บไว้ในใจไม่ได้พูดออกมา
เมื่อเห็นคนพวกนั้นไปแล้ว สวีถังหรานถึงได้แอบถอนหายใจ กลัวว่าคนพวกนั้นจะเล่นไม่ซื่อ
หลังจากเหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก็บอกทุกคนว่า “พวกเราก็ต้องรีบทำเวลาเหมือนกัน แย่งเป้าหมายที่ถัดไปมาไว้ในมือให้ได้ก่อน”
เมื่อพวกเขาไปแล้ว พวกเยี่ยนจื่อเกอที่ตามหลังมาตลอดก็มาถึงแล้วเหมือนกัน พอมาดูสถานที่เกิดเหตุ ก็เห็นภูเขาถล่มพื้นดินทลาย ร่องรอยการต่อสู้ชัดเจนเกินไป ทำให้เข้าใจผิดทันที
“นี่ไม่ใช่ความบังเอิญแน่นอน คนกลุ่มนั้นต้องมีวิธีการอะไรสักอย่างที่ทำให้พบเป้าหมายได้เร็วแน่นอน!” เยี่ยนจื่อเกออุทานอย่างตกตะลึง
มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่สบตากันแวบหนึ่ง พูดได้อีกอย่างว่า เจ้าสองคนนั้นจับตัวนักโทษหลบหนีได้สามคนแล้ว คนหนึ่งพันคนตามจับคนหนึ่งร้อยคน ถ้าสามารถจับได้สามคน เมื่อดูจากอัตราส่วนเปรียบเทียบก็นับว่าไม่แย่แล้ว ความรู้สึกของทั้งสองซับซ้อนวุ่นวาย นึกไม่ถึงว่าพอพวกหนิวโหย่วเต๋อแยกกับพวกเขาแล้ว ก็ยังจัดการได้ไม่พลาดเหมือนเดิม
บอกไม่ถูกเลยว่าในใจของมู่หรงซิงหัวมีรสชาติเป็นย่างไร นางมองเห็นข้อเปรียบเทียบแล้ว พวกหนิวโหย่วเต๋อพึ่งพาตัวเองเก่ง พวกเขาจะไม่รู้จักอันตรายเลยเชียวเหรอ? ทว่าพวกเขาไม่พร่ำบ่นว่าสภาพสังคมทำให้ลำบาก ไม่ยอมจำนนง่ายๆ แต่กล้าไปเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ
“ไป! ไล่ตามพวกเขาไป ตอนนี้ในมือพวกเขามีนักโทษหลบหนีสามคนแล้ว!” เยี่ยนจื่อเกอตะโกนบอกเสียงดัง แล้วพาสมาชิกในกลุ่มไล่ตามโจมตีอย่างสุดกำลัง
สำหรับพวกเหมียวอี้ที่หาเป้าหมายใหม่พบ พวกเขารู้สึกสะเทือนใจนิดหน่อย เพราะยอดเขาหลายลูกที่อยู่ตรงหน้าพังทลาย ยุ่งเหยิงเรี่ยราดเป็นแถบ มีบางแห่งที่โดนไฟไหม้ยังไม่ทันมอด จะเห็นได้ว่ามีการต่อสู้ดุเดือดขนาดไหนก่อนที่พวกเขาจะมาถึง พวกเขายืนเงียบกริบอยู่ท่ามกลางภูเขาที่พลิกถล่มระเกะระกะ โดนคนอื่นแย่งไปก่อนอีกแล้ว
ไม่ว่าเป้าหมายจะถูกจับไปแล้วหรือไม่ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่แน่ใจได้ นั่นก็คือเป้าหมายไม่อยู่แล้ว ตกใจหนีไปเรียบร้อยแล้ว
ปานเยว่กงและฮูหยินแอบตกใจไม่หาย ตำหนักสวรรค์แค่ไม่ลงมือเท่านั้นเอง ยามจะลงมือทีก็เรียกได้ว่าแย่งกันมา ขนาดฝ่ายนี้รีบตามมายังหาโอกาสลงมือไม่ได้เลย ทั้งสองค่อนข้างรู้สึกโชคดีที่ตัวเองหนีออกจากป่าลืมทุกข์มากแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้ว่าจะมีจุดจบอย่างไร
เหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ทุกคนวิ่งไปนั่นมานี่ไม่หยุด ยังไม่ได้ตั้งใจพักผ่อนปรับปรุงกำลังให้ดีเลย ข้าว่าสภาพแวดล้อมที่นี่ก็นับพอใช้ได้ หาที่ลับแถวๆ นี้ฟื้นฟูกำลังวังชาสักหน่อยเถอะ”
ปานเยว่กงและฮูหยินไม่มีความเห็นแย้งอะไร สวีถังหรานก็บอกว่าดี พวกเขาจึงรีบไปพักตรงจุดลับตาคนบนภูเขาสูงที่ห่างออกไปสิบกว่าลี้
ใครจะคิดว่าเพิ่งจะพักได้ไม่นานเท่าไร ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเหาะผ่านศีรษะไปอย่างรวดเร็วแล้ว
“เป็นพวกมู่หรงซิงหัว” สวีถังหรานที่ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองสำรวจขมวดคิ้ว “มารดาเจ้าเถอะ สุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นั้นนำรายชื่อนักโทษเก้าคนในมือให้คนกลุ่มนั้นไปแล้ว”
เหมียวอี้และคนอื่นๆ ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดูพวกเยี่ยนจื่อเกอที่กำลังสำรวจบริเวณที่ภูเขาถล่ม
ผ่านไปครู่เดียว ก็เห็นพวกเยี่ยนจื่อเกอรีบเหาะขึ้นฟ้าออกไปอีก พวกเขาออกไปแล้ว
ฝั่งนี้ก็ไม่ได้มองว่าสำคัญอะไร ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าผู้ที่มาพุ่งเป้ามาที่พวกเขา กลับเป็นสวีถังหรานที่เชิญเหมียวอี้มาคุยเป็นการส่วนตัว “น้องหนิว สถานการณ์ค่อนข้างไม่ชอบมาพากลนะ!”
“เจ้าหมายถึงในด้านไหน?” เหมียวอี้ถาม
สวีถังหราน “พวกเราโดนคนอื่นตัดหน้าพร้อมติดต่อกันสองที่แล้วนะ ชัดเจนมาก ทุกคนต่างก็มีช่องทางของตัวเอง แต่นักโทษหลบหนีมีจำนวนอยู่เท่านั้น ข้อมูลที่ทุกคนได้รับจะต้องซ้ำกันไม่น้อยแน่ โดนคนอื่นชิงตัดหน้าไปสองครั้งติดต่อกันก็คือเครื่องพิสูจน์”
“เจ้าอยากจะพูดอะไร?” เหมียวอี้มองเขาศีรษะจดเท้า
สวีถังหรานตอบว่า “ตอนนี้เป็นเวลาที่การทดสอบเพิ่งเริ่มต้น และเป็นเวลาที่ดุเดือดที่สุดในการจับตัวนักโทษหลบหนี กำลังคนของกลุ่มก่อนหน้าเป็นยังไงเจ้าก็เห็นแล้ว อีกฝ่ายมีกันร้อยกว่าคน นี่ยังไม่รู้เลยว่ากลุ่มอื่นมีกำลังคนเป็นยังไง สถานการณ์ที่ดุเดือดขนาดนี้ ถ้าปะทะหน้าตรงๆ จะเกิดเรื่องได้ง่ายมาก จุดสำคัญคือพวกเรามีคนน้อย กำลังไม่เข้มแข็งพอ ในสายตาของฝ่ายอื่น เราคือเป้าหมายในการแย่งชิง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะอันตรายมาก ถ้าเดินทางตอนกลางคืนเยอะ ก็มักจะเจอผีบ่อย จะต้องเจอคนที่มีเจตนาไม่ดีเข้าสักวัน ก่อนจะมาผู้บัญชาการใหญ่ก็บอกเป็นนัยไว้อย่างชัดเจนมากแล้ว ขอเพียงสามารถทำคะแนนให้ดี เวลาที่จำเป็นก็สามารถแย่งคนมาจากมือคนอื่นได้ ขนาดผู้บัญชาการใหญ่ยังวางแผนแบบนี้ แล้วทำไมคนอื่นจะวางแผนแบบนี้บ้างไม่ได้?”
“แต่ยังไงต่อ?” เหมียวอี้ถาม
สวีถังหรานบอกว่า “สถานการณ์ก็เห็นๆ กันอยู่ ตอนแรกที่ทุคนยังสามารถจับนักโทษหลบหนีพวกนั้นได้ก็ยังดีหน่อย ถ้าเวลานานไป ควรที่ควรจะโดนจับก็โดนจับไปพอสมควรแล้ว เป็นช่วงที่มีปลาหลุดลอดแหไปไม่เยอะ ไปทางทิศไหนก็หาไม่เจอ การปะทะหน้ากันก็คือจุดเริ่มต้นในการแย่งชิงกัน สถานการณ์แบบนี้ไม่ดีสำหรับพวกเรา ดังนั้นข้าแนะนำให้หลบคมดาวชั่วคราว พวกเราควรหาที่ซ่อนเพื่อรักษาพลังก่อน รอให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเองไปพอสมควรแล้ว ตอนพวกเราโผล่ไปอีกรอบก็จะเสี่ยงอันตรายน้อยลงเยอะเลย เจ้าคิดว่ายังไง?”
เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าเจ้าหมอนี่กลัวตาย อ้างเหตุผลมากมายก็เพราะอยากจะซ่อนตัวเท่านั้น แต่บนโลกนี้มีใครไม่กลัวตายบ้างล่ะ? แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่สวีถังหรานพูดมีเหตุผล สถานการณ์เป็นแบบนี้จริงๆ ตอนเจอกลุ่มที่มีกำลังคนร้อยกว่าคน แถมตัวเองยังมาทีหลังจนคว้าน้ำเหลว เขาก็เริ่มไตร่ตรองถึงปัญหานี้แล้ว ถ้ายังหาต่อไปก็เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเหมือนสองครั้งก่อนหน้านี้ เป็นไปได้ว่ายังจะคว้าน้ำเหลวเหมือนเดิม
ดังนั้นเขาก็ไตร่ตรองแล้วว่าหาที่ซ่อนตัวเพื่อฝึกตนก่อนดีกว่า เวลาในการทดสอบมีเป็นร้อยปี หลังจากเขาวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นหนึ่ง ความเร็วในการย่อยยาแก่นเซียนก็เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า ในแต่ละวันสามารถย่อยได้หนึ่งร้อยยาแก่นเซียนเม็ด และการจะบรรลุถึงระดับบงกชทองขั้นสอง ก็จะต้องใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำอีกประมาณหนึ่งแสนสี่หมื่นล้านลูก หรือพูดได้อีอย่างว่าต้องใช้เวลาอีกเกือบห้าสิบปีกว่าจะบรรลุวรยุทธ์ได้ ที่จริงหลังจากบรรลุระดับบงกชทองแล้ว เขาก็ฝึกตนมาหลายปีเหมือนกัน ถ้าฝึกอีกประมาณสี่สิบปีก็จะบรรลุวรยุทธ์ได้แล้ว
พอลองคำนวณดูแล้ว ถ้าออกมาอีกครั้งหลังจากบรรลุระดับบงกชทองขั้นสอง ก็ยังพอมีเวลาทำงานเหลือเฟือ แถมเมื่อวรยุทธ์สูงขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องตัวเองหรือการทำงานนี้ก็ล้วนสะดวกทั้งนั้น
ตอนนี้เมื่อได้ฟังคำพูดของสวีถังหราน เขาก็เหมือนหาบันไดลงได้พอดี “ที่พี่สวีพูดก็มีเหตุผล ทำตามที่พี่สวีบอกก็แล้วกัน”
สวีถังหรานดีใจมาก กุมหมัดกล่าวว่า “น้องหนิวช่างมองเห็นอะไรทะลุปรุโปร่ง! งั้นเดี๋ยวพวกเราค่อยปรึกษากันว่าจะไปซ่อนตัวที่ไหน”
“ไปดาวสองขั้วแล้วกัน” เหมียวอี้ให้คำตอบไปเสียเลย
“ทำไมต้องไปดาวสองขั้ว?” สวีถังหรานงุนงง
“นั่นคือดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดของสถานที่ไร้ชีวิต น่ามีที่ให้ซ่อนตัวเยอะหน่อย” เหมียวอี้หาข้ออ้างพูดไปส่งเดช ที่จริงเขาอยากจะถือโอกาสหามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินมาไว้ในมือ
สวีถังหรานอึดอัดใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่สนใจ ขอแค่ได้ซ่อนตัวไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายก็พอแล้ว…
ดาวสองขั้ว ดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดของสถานที่ไร้ชีวิต ที่เรียกว่าสองขั้วก็หมายถึงขั้วน้ำแข็งกับขั้วร้อน
ตอนที่อยู่บนท้องฟ้าและยังไม่ได้เข้าไปในดาวสองขั้ว ก็จะเห็นบนดาวเคราะห์ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะมีจุดเล็กๆ หนานแน่นนับไม่ถ้วนเต็มไปหมด ที่จริงจุดเหล่านั้นคือภูเขาไฟที่มีพลังจำนวนนับไม่ถ้วน และมีเพียงบริเวณจุดเชื่อมต่อของภูเขาไฟและหิมะเท่านั้น ที่สามารถมองเห็นสีเขียวได้ มันจึงกลายเป็นเรื่องปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง สามารถมองเห็นป่าไม้เขียวชอุ่มอยู่รอบๆ ภูเขาไฟมากมาย ตอนที่มองลงมาจากท้องฟ้า ป่าไม้ล้วนมีลักษณะเป็นรูปวงกลม
“น้องหนิว เจ้ากำลังหาอะไร?”
สวีถังหรานแปลกใจนิดหน่อน หลังจากมาที่ดาวสองขั้วแล้ว เหมียวอี้ก็พาทุกคนเหาะไปทั่วทุกที่ไม่หยุด
“หาที่เหมาะๆ เพื่อหลบซ่อนตัว” เหมียวอี้ตอบ
“ข้าว่าหุบเขาน้ำแข็งที่เพิ่งผ่านมาก็เหมาะอยู่นะ” สวีถังหรานเสนอความเห็น
“สะดุดตาเกินไปแล้วมั้ง” เหมียวอี้เถียงกลับทันที
สะดุดตา? สะดุดตาตรงไหน? สวีถังหรานพูดไม่ออก พึมพำในใจว่า ก็ได้ งั้นเจ้าก็หาที่ที่ไม่สะดุดตาไปสิ ตราบใดที่ไม่ต้องไปต่อสู้เข่นฆ่าก็พอแล้ว ขอเพียงรักษาชีวิตกลับไปเสพสุขความร่ำรวยได้ก็พอแล้ว เจ้าอยากจะทำยังไงก็ทำไปเถอะ
หลังจากนั้นหลายวัน เหมียวอี้ก็ยังพาพวกเขาวนรอบเหมือนเดิม แม้แต่ปานเยว่กงและฮูหยินก็ยังสงสัยในใจ เจ้าหมอนี่กำลังหาสถานที่ซ่อนตัวแบบไหนกันแน่?
จนกระทั่งสิบกว่าวันหลงัจากนั้น เหมียวอี้ถึงได้หยุดอยู่บนท้องฟ้ากะทันหัน สายตาหยุดจ้องที่ภูเขาไฟเบื้องหลัง
สวีถังหรานที่อยู่ข้างๆ กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ภูเขาไฟด้านล่างน่าสนใจดีนะ ไม่น่าเชื่อว่าภูเขาไฟเก้าลูกจะเรียงตัวเป็นเส้นตรงอย่างเป็นระเบียบ”
น่าสนใจจริงๆ และเป็นจุดที่เหมียวอี้ต้องหารตามหาด้วย ‘กลางแนวสร้อยไข่มุกเก้าขุนเขา’ ที่ทำสัญลักษณ์ไว้บนแผนที่ ภูเขาไฟลูกหนึ่งที่อยู่ในเก้าขุนเขานั้นก็คือจุดหมายที่เขาตามหา!
“ในเมื่อพี่สวีคิดว่านาสนใจ งั้นก็ว่อนตัวที่นี่แล้วกัน” เหมียวอี้พยักหนา
“…” สวีถังหรานสับสนแล้ว อย่าบอกนะว่าที่นี่ไม่สะดุดตา?
ปานเยว่กงและฮูหยินก็มองหน้ากันเลิกลั่ก นี่มันเรียกว่าเหตุผลอะไรกัน
พอพวกเขาเหยียบลงพื้น ก็ต่างคนต่างขุดถ้ำในป่าที่อยู่ตรงตีนภูเขาไฟ ขณะที่กำลังขุดถ้ำ ชิงเหมยก็ถ่ายทอดเสียงถามปานเยว่กง “ท่านสามี ทำไมข้ารู้สึกว่าผู้บัญชาการหนิวท่านนั้นกำลังหาของอะไรบางอย่าง ?”
ปานเยว่กงถอนหายใจแล้วบอกว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องสนใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องมากังวล เจ้าจัดระเบียบตรงนี้ไปแล้วกัน ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเขาหน่อย”
เขาออกจากถ้ำแล้วเข้าไปในถ้ำอีกแห่ง เมื่อเห็นเหมียวอี้กำลังจัดแต่งบนก้อนหินให้เป็นเตียงนั่ง ปานเยว่กงก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ผู้บัญชาการหนิว เจ้าซ่อนตัวแบบนี้ จะสามารถทำงานที่ผู้บัญชาการใหญ่โค่วสั่งสำเร็จเหรอ?”
เหมียวอี้โบกมือปัดกวาดแท่นหินที่โดนตัดจนเสมอกัน แล้วหันตัวมาตอบเขาพร้อมรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร เจ้าไม่ต้องห่วง ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้ว ไม่ว่าผลคะแนนทดสอบจะเป็นยังไง ไม่ว่าผู้บัญชาการใหญ่จะรักษาตำแหน่งไว้ได้หรือไม่ ข้าก็จะขอร้องให้ผู้บัญชาการใหญ่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเจ้า”
ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้ว ไม่ว่าในใจปานเยว่กงจะมีความเคลืองแคลงอะไรอยู่ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้อีก ไม่ใช่เพราะอะไร เพียงเพราะเขารู้สึกว่าเหมียวอี้เป็นคนน่าเชื่อถือ
หลังจากขุดถ้ำเสร็จแล้ว สวีถังหรานก็อารมณ์ดีมาก ในที่สุดก็ได้ที่พักอาศัยแล้ว ยังน้อยก็ยังไม่ต้องกังวลเรื่องอันตราย ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทำอาหารป่าตอนอยู่ในป่า ลงมือปรุงอาหารด้วยตัวเอง จัดโต๊ะสุราอาหาร แล้วเชิญทุกคนมาดื่มสุราอย่างสบายใจด้วยกัน
สุดท้ายทุกคนก็ต่างคนต่างฝึกตน ตอนแรกเหมียวอี้ก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวผิดปกติ เพียงแค่ออกไปเดินเล่นทุกวัน…
จนกระทั่งหนึ่งเดือนหลังจากนั้น จนกระทั่งทุกคนมองเห็นพฤติกรรมนี้จนชินแล้ว ในเช้าตรูวันหนึ่ง ในที่สุดเหมียวอี้ก็มาถึง ‘กลางแนวสร้อยไข่มุกเก้าขุนเขา’ เขาขึ้นไปบนภูเขาไฟลูกหนึ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างเก้าขุนเขา ยืนบนยอดภูเขาไฟภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับ ยืนทอดสายตามองไปไกลๆ กำลังเฝ้าคอย!
…………………………