พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1024 แหล่งรวมไฟหยินหยาง
ถึงแม้จะหาจุดที่อยู่บนแผนที่ซ่อนสมบัติพบโดยอิงตามขั้นตอน แต่เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดบนยอดเขาก็ยังค่อนข้างกังวล ครั้งก่อนตอนหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินพบ เขาเจอการเหตุการณ์พลิกแพลงที่ไม่คาดฝันมากมายขนาดนั้น ไม่รู้ว่าคนที่ซ่อนสมบัติไว้ครั้งนี้จะเล่นลูกไม้อะไรอีกหรือเปล่า
ตอนนี้ในใจเขามีคำถามอยู่ข้อหนึ่ง คนที่ซ่อนสมบัติเป็นใครกันแน่ ทำไมไม่นำสมบัติซ่อนไว้ด้วยกัน ทำไมต้องทำให้ตัวเองยุ่งยากลำบากแบบนี้…
รอจนกระทั่งฟ้าสาง ขณะที่แสงแรกยามเช้าปรากฏ เหมียวอี้ที่ไม่รู้ว่าหลับตาไปตั้งแต่ตอนไหนก็พลันลืมตาขึ้น เขาแววตาเป็นประกาย มองไปตรงเส้นขอบฟ้าที่แสงอาทิตย์อันงดงามเบ่งบาน แล้วสะบัดแขนเสื้อสองข้าง ลอยขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ คำนวณระดับความสูงตอนเหาะขึ้น พอเหาะขึ้นไปถึงระดับความสูงหกพันจั้ง เขาก็ก้มมองบนแผ่นดินที่กว้างใหญ่
ผ่านไปไม่นาน ในดวงตาเหมียวอี้ก็ฉายแววอมยิ้ม เรื่องที่กังวลไม่ได้เกิดขึ้น ภาพผู้หญิงทะยานฟ้าที่เหมือนเหมือนระลอกคลื่นซัดสาดปรากฏอยู่บนพื้นดินอีกแล้ว
เพียงแต่สีของภาพผู้หญิงทะยานฟ้าในครั้งนี้มีบางอย่างแตกต่างออกไป ขณะที่อาศัยการสาดส่องจากแสงเงาของภูเขาหิมะและภูเขาไฟ ผู้หญิงทะยานฟ้าได้เปลี่ยนชุดที่ใส่เป็นสีขาวแล้ว ยังคงฝังประดับอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ อย่างอลังการงานสร้าง ใครจะไปคาดคิดถึงล่ะ
สายตาของเหมียวอี้ทอดมองไปไกลตามฝ่ามือที่กำลังยกขึ้นของผู้หญิงทะยานฟ้า เขายิ้มอย่างรู้อยู่แก่ใจอีกครั้ง ตรงจุดบนฝ่ามือของผู้หญิงทะยานฟ้าก็คือภูเขาไฟที่กระจัดกระจายกลุ่มหนึ่ง เมื่อมองไปไกลๆ ก็เห็นว่าตรงกลางก็เป็นพื้นที่ว่าง ราวกับบนฝ่ามือถือก้อนหิมะกลมเอาไว้
เขาแค่ทดลองลอยขึ้นฟ้าสูงหนึ่งพันจั้งหลังจากที่มีประสบการณ์หาสมบัติมาครั้งหนึ่งแล้ว นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าทำแบบนี้แล้วจะหาจุดซ่อนสมบัติพบ
เมื่อเห็นฉากนี้อีกครั้ง เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานอย่างตื่นตะลึง ถ้าไม่ใช่เพราะได้เคล็ดลับในการหาสมบัติมาจากเผ่าปีศาจ คาดว่าต่อให้ได้แผนที่ซ่อนสมบัติมาไว้ในมือ ก็ไม่มีทางหาสมบัติที่ซ่อนเจออยู่ดี เหตุผลก็เรียบง่ายมาก เพราะจุดซ่อนสมบัติสองจุดที่เชื่อมต่อกันล้วนอยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้จากจุดที่สำสัญลักษณ์ไว้บนแผนที่ซ่อนสมบัติ คนที่หลงทางใช้วิธีผิด ต่อหาต่อไปจนหัวระเบิด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหาพบ ปราสาทดำเนินนภาเองก็ตกหลุมพรางนี้
และเงื่อนไขแบบนี้ ต่อให้เป็นเผ่าปีศาจที่กุมเคล็ดลับการหาสมบัติไว้ในมือ ก็ไม่มีทางหาพบเช่นกัน เพราะมีเพียงคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเท่านั้น ถึงจะมองเห็นเคล็ดลับการหาสมบัติ ช่างเป็นการวางแผนที่เกี่ยวเนื่องกันอย่างแน่นแฟ้นจริงๆ ราวกับมีเพียงคนที่ผู้ซ่อนสมบัติกำหนดไว้เท่านั้น ถึงจะหาสมบัติที่ซ่อนไว้พบ เหมียวอี้รู้สึกได้อย่างลึกซึ้งว่าตัวเองวิ่งชนโชคใหญ่เข้าแล้วจริงๆ!
หลังจากจดจำลักษณะพื้นที่และทิศทางของจุดหมายแล้ว เหมียวอี้ก็เหาะลงไปอีกครั้ง กลับเข้าถ้ำไปฝึกตนแล้ว
ไม่รีบหรอก! จะได้ไม่ทำให้คนอื่นสงสัย หลังจากผ่านไปอีกหลายวัน เหมียวอี้ถึงได้ออกเดินทางไปยังจุดซ่อนสมบัติ
เดินทางออกไปหลายร้อยลี้ ตอนที่เจอกลุ่มภูเขาไฟที่กระจัดกระจาย ก็ยังนึกว่าตัวเองมาหาผิดที่เสียแล้ว ตอนที่อยู่บนฟ้ามองเห็นเป็นกลุ่มก้อนกลุ่มหนึ่ง แต่พอตัวมาอยู่ในสถานที่จริง ถึงได้พบว่าภูเขาไฟที่ล้อมรอบห่างไกลกลับวงกลมนี้มาก ตอนนี้ตัวเองอยู่บนทุ่งหิมะที่กว้างโล่งแห่งหนึ่งแล้ว
อาศัยภูเขาไฟที่อยู่ล้อมรอบไกลๆ มาวัดระยะห่างตำแหน่ง เมื่อหาบริเวณจุดศูนย์กลางของทุ่งหิมะพบแล้ว เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจรอบหนึ่ง พบว่าเป็นกองหิมะที่ทับถมกันหนาหลายจั้ง เมื่อร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจข้างล่างก็ไป ก็ไม่เจอชั้นน้ำแข็งที่อยู่ล่างสุด ไม่รู้เหมือนกันว่าชั้นน้ำแข็งที่อยู่ข้างล่างหนาขนาดไหนกันแน่
เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าที่นี่กว้างโล่งเกินไป ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไรบนพื้นหิมะก็จะทิ้งร่องรอยไว้ได้ง่ายๆ
พอคิดไปคิดมา เขาก็ใช้ทั้งร่างกายแทงเฉียงลงไปในชั้นหิมะหนาราวกับเป็นสว่าน หลังจากดำลงไปในหิมะ เขาก็ปรับทิศทางอีกครั้งแล้วแทงลงไปในแนวตรง พอเป็นแบบนี้ ก็จะมีแค่รูเล็กๆ รูเดียวเท่านั้น ต่อให้มีคนมองเห็นรูเล็กนี้จากท้องฟ้า แต่ก็ยากที่จะสังเกตเห็น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นสีขาวเหมือนกันหมด
เมื่อเหยียบแผ่นน้ำแข็งที่อยู่ใต้หิมะ เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ขยายกองหิมะที่อยู่รอบกายออกไป เมื่อมีช่องว่างให้เคลื่อนไหว เขาก็หยิบไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งออกมาส่องแสง ชั้นน้ำแข็งที่อยู่ใต้เท้าปรากฏสีน้ำเงิน แค่มองก็รู้แล้วว่าชั้นน้ำแข็งค่อนข้างหนา
เมื่อใช้ฝ่ามือกดบนแผ่นน้ำแข็งพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอีกครั้ง ก็ยังสำรวจไม่เจอก้นบึ้ง หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง ก็ปล่อยเปลวเพลิงไร้รูปร่างออกมา ทำให้ชั้นน้ำแข็งกลายเป็นน้ำทันที ทั้งตัวเหมียวอี้จมลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว น้ำแข็งที่ปิดทางอยู่ข้างล่าง เมื่อสัมผัสโดนก็จะละลายทันที ทำให้เขาไหลของไปตลอดชั้นแล้วชั้นเล่า
ทว่ายิ่งลงไปข้างล่างก็ยิ่งตกใจ ลงลึกมาหลายพันจั้งก็ยังไม่เห็นก้นบึ้ง ชั้นน้ำแข็งนี้หนาจนทำให้คนต้องยกนิ้ว
จนกระทั่งลงลึกมาหมื่นจั้ง เหมียวอี้ถึงได้รู้สึกว่าชั้นน้ำแข็งที่โดนมือสัมผัสมีความผิดปกตินิดหน่อย ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ น้ำแข็งที่ละลายเพราะโดนร่ายอิทธิฤทธิ์ให้หลีกทาง ในตอนนี้มันหลีกทางเองโดยไม่จำเป็นต้องร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยแล้ว
ดวงจิตน้ำแข็ง! แต่ตรวจดูเหมียวอี้ก็รู้แล้วว่าเป็นดวงจิตน้ำแข็ง หรือที่เรียกว่าผลึกบรมธารานั่นเอง เป็นสิ่งที่พวกมนุษย์เรียกกันว่าไข่มุกกันน้ำอะไรทำนองนั้น เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ไข่มุกราตรีอีก เพราะดวงจิตน้ำแข็งส่องกะพริบรัศมีสีน้ำเงิน
อย่าบอกนะว่าของซ่อนอยู่ใต้ดวงจิตน้ำแข็ง? เพียงแต่การกำจัดดวงจิตน้ำแข็งนี้ทิ้งอาจจะน่าเสียดาย จึงร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจข้างล่างอีกครั้ง
พอสำรวจแล้วถึงได้รู้ ว่าจุดที่ลึกลงไปอีกสิบกว่าจั้งคือพื้นที่ว่าง!
ของที่กำลังตามหาอาจจะอยู่ข้างล่างจริงๆ เหมียวอี้เองก็ไม่สนใจอะไรมากแล้ว ปล่อยเปลวเพลิงล่องหนออกมาอีกครั้ง ละลายดวงจิตน้ำแข็งแล้วดำลึกลงไป
พอฝ่าดวงจิตน้ำแข็งออกไป ก็เจอเปลวเพลิงสีน้ำเงินที่เหน็บหนาวเข้ากระดูกทันที เหมียวอี้ตกตะลึงอีกครั้ง!
อัคคีน้ำแข็ง! ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นอัคคีน้ำแข็ง! เขาเคยเห็นสิ่งนี้ที่ตำหนักน้ำแข็งขั้วเหนือและขั้วใต้ของพิภพเล็ก ทั้งยังเคยแอบขโมยด้วย ย่อมไม่ได้จำผิดอยู่แล้ว
ไม่ใช่อัคคีน้ำแข็งเพียงเล็กน้อย แต่เป็นอัคคีน้ำแข็งผืนใหญ่ ทำให้เหมียวอี้ตะลึงค้างแล้ว!
ถ้าคนทั่วไปบุกเข้ามาในอัคคีน้ำแข็ง ก็ไม่มีทางทนได้เลย แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว สิ่งนี้ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเขา
ขณะที่กำลังตกตะลึง ก็พบว่าเบื้องล่างของอัคคีน้ำแข็งมีแสงสีแดงกะพริบรางๆ เหมียวอี้รวบรวมสมาธิแล้วลงต่อไปทันที
เขาทะลุผ่านทะเลเพลิงอัคคีน้ำแข็ง แล้วลอยอยู่ในช่องว่างใต้ดินที่กว้างโล่งผืนหนึ่ง สายตาไปหยุดอยู่ตรงจุดที่มีแสงสีแดงกะพริบ ทำให้เขาตกตะลึงอีกครั้ง!
เป็นคางคกตัวหนึ่ง เป็นคางคกที่มีร่างกายขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง คาดว่าขนาดความยาวของร่างกายคงจะสิบกว่าจั้ง มันโดนจองจำไว้เหมือนกับสัตว์ประหลาดที่เห็นตอนไปหาสมบัติครั้งก่อน บนตัวมีตะปูยาวสีแดงเสียบ โดนโซ่สีแดงหลายเส้นมัดขาทั้งสี่เอาไว้
สิ่งที่แตกต่างจากคางคกทั่วไปก็คือ คางคกตัวนี้ดูเผินๆ เหมือนตัวสีแดง แต่ที่จริงแล้วเป็นสีขาว บนตัวเต็มไปด้วยเกล็ดหนา เกล็ดทุกแผ่นใหญ่เหมือนเป็นโล่กำบังที่ทำมาจากก้อนน้ำแข็ง ที่แปลกที่สุดก็คือ ในเกล็ดทุกแผ่นล้วนมีบางสิ่งที่เหมือนเปลวเพลิงสีแดงกำลังเต้น เหมือนเคยเห็นสิ่งนี้บนผนังน้ำแข็งที่ตำหนักบรมอัคคีของเลี่ยหวนมาก่อน ความแตกต่างก็คือ เปลวเพลิงที่เต้นอยู่ในเกล็ดเหมือนจะกลายเป็นรูปคนแล้ว ทำให้คนรู้สึกเหมือนมันจะทะลุออกมาจากเกราได้ตลอดเวลา
บนตัวคางคกมีเกล็ดซ้อนทับกันเยอะประมาณหมื่นกว่าชิ้น แต่ละชิ้นล้วนกะพริบแสงสีแดง และเป็นแหล่งที่มาของแสงสีแดงในพื้นที่ว่างใต้ดินด้วย
แต่ก็ไม่ใช่แหล่งที่มาเพียงอย่างเดียวของแสงสีแดง หลังจากเหมียวอี้เดินเข้ามาใกล้ ถึงได้พบว่าใต้ท้องคางคกสามารถมองเห็นของเหลวสีแดง ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าคางคกกำลังนอนหมอบอยู่บนปากหลุมไฟใต้ดิน กำลังกดทับไฟใต้ดินที่อยู่ข้างล่าง
เหมือนจะเป็นเพราะคางคกตัวนี้กำลังกดอัดไฟใต้ดินอยู่ ทำให้อุณหภูมิสูงใต้ดินแทรกซึมขึ้นมาข้างบนไม่ได้
หลังจากเหมียวอี้ที่กำลังทำสีหน้าประหลาดใจเดินวนรอบคางคกยักษ์ไปรอบเดียว เพื่อที่จะพิสูจน์การคาดเดาของตัวเอง เขายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งไปที่คางคก แล้วร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดาราพร้อมขยุ้มฝ่ามือ เป็นอย่างที่คาดไว้ เหตุการณ์การเหมือนกับในตำหนักบรมอัคคีของเลี่ยหวน ธาตุไฟสีแดงเข้มข้นแทรกซึมลอยออกมาจากเกล็ดบนตัวคางคก มันถูกเขาดูดมาไว้ในฝ่ามือ ในใจรู้สึกยินดีอย่างบ้าคลั่งทันที ปกติเขาอาศัยดูดซับธาตุไฟจากเปลวเพลิงเพื่อฝึกตน แบบนั้นชักช้าเกินไป ดูดซับธาตุไฟไม่ได้สักเท่าไรเลย ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าที่นี่จะสะสมธาตุไฟเอาไว้อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ในขระเดียวกันนี้เอง ด้านบนมีธาตุไฟสีน้ำเงินลอยออกมาขณะที่เขากำลังใช้เคล็ดวิชาอัคนีดารา มันถูกเขาดูดซับเข้ามาในร่างกายพร้อมกัน
พอเหมียวอี้เงยหน้ามองในช่องว่างขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้ดิน ก็เห็นอัคคีน้ำแข็งสีน้ำเงินที่อยู่เต็มด้านบนพรั่งพรูออกมา งดงามจนบรรยายได้เพียงคำว่าน่าตื่นตาตื่นใจ
ไม่น่าเชื่อว่าไฟหยางกับไฟหยินจะเกิดขึ้นพร้อมกันที่นี่! ฉากแบบนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกชื่นชมจากใจจริงๆ ความรู้สึกดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ ไม่มีทางบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ นี่เป็นทำเลทองที่ตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อให้เขาฝึกตนโดยเฉพาะจริงๆ!
“สมกับเป็นดินแดนสองขั้ว ไม่น่าเชื่อว่าไฟหยินหยางจะมารวมกันอยู่ตรงนี้ สวรรค์ช่างเข้าข้างข้าจริงๆ!” เหมียวอี้กางแขนหัวเราะเหมือนคนบ้า หัวเราะจนทุบหน้าอกตัวเอง เขาไม่ได้ดีแบบนี้มาหลายปีแล้ว
เวลาทดสอบหนึ่งร้อยปีเชียวนะ! เพียงพอจะให้เขาเก็บเกี่ยวไฟหยินหยางที่รวมกันอยู่ที่นี่จนสะอาดหมดจด ถึงตอนนั้นความเร็วในการฝึกตนของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งแน่นอน!
หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าชื่นชมยินดี เขาพบว่าอวิ๋นจือชิวพูดไว้ไม่ผิด ถ้าไม่ติดว่าเป็นไปไม่ได้ เขาก็คงสงสัยแล้วว่าตำหนักสวรรค์จัดการทดสอบหนึ่งร้อยปีครั้งนี้ขึ้นมาเพื่อเขา ไม่อย่างนั้นจะเกิดความบังเอิญแบบนี้ได้ยังไง บังเอิญมีได้เวลาฝึกตนที่นี่นานขนาดนี้ เป็นโชคใหญ่อย่างแท้จริง!
เขาพบว่าครั้งนี้ได้เจอขุมทรัพย์ใหญ่แล้วจริงๆ อย่างน้อยมันก็เป็นขุมทรัพย์ใหญ่สำหรับเขา นึกไม่ถึงว่าที่นี่จะมีไฟหยินหยางรวมตัวกันอยู่ ช่างเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าจริงๆ!
พอนึกถึงขุมสมบัติ เขาถึงนึกได้ถึงธุระหลักที่มาที่นี่ ตัวเองมาเพื่อหามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดิน!
ในชั่วพริบตาเดียวเขาก็ตื่นจากความดีใจอย่างบ้าคลั่ง เขากวาดสายตาไปรอบๆ แล้วไปหยุดอยู่บนผนังหินที่อยู่ข้างขวา ตรงนั้นมีห้องถ้ำที่เปล่งแสงสีขาวอ่อนๆ
เหมียวอี้ถลันตัวเข้าไปในทางที่เป็นผนังถ้ำ จากนั้นเลี้ยวไปทางขวา ห้องหินห้องหนึ่งปรากฏตรงหน้าเขา พอก้าวเข้าไปดู ก็เห็นไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งที่เปล่งอ่อนละมุนฝังเลี่ยมอยู่เหนือศีรษะ และบนผนังด้านขวาก็มีรูปสลักของผู้หญิงทะยานฟ้าอย่างที่คาดไว้ บนฝ่ามือถือกล่องกล่องโลหะที่เหมือนสีทับทิม
เหมียวอี้ยื่นมือเข้าไปจับ กล่องที่ฝังเลี่ยมอยู่ในผนังด้านขวาถูกดูดเข้ามาในมือเขาทันที เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูข้างใน หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตราย ถึงได้เปิดออกอย่างวางใจ พอเปิดออก ก็เห็นก้อนโลหะกลมสีดำลูกหนึ่งนอนอยู่เงียบๆ มีแผ่นหยกแผ่นหนึ่งด้วย
เมื่อนำแผ่นหยกมาดูในมือ บนเคล็ดวิชาฝึกตนที่หนาแน่นยั้วเยี้ยก็มีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้ : มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ดิน!
เหมียวอี้ถอนหายใจ ในที่สุดก็ได้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินมาไว้ในมือแล้ว เขายังกังวลว่าจะโดนหลอกตบตาให้วิ่งตามหาอีกรอบเหมือนกับครั้งแรก
ส่วนของอีกชิ้นหนึ่งก็คือ…เหมียวอี้ค่อนข้างใจเต้นแรง คว้าก้อนโลหะกลมสีดำมาไว้ในมือ พอร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้น ลูกกลมก็แผ่ออกบนฝ่ามือทันที
พิสูจน์เรื่องที่ทำใหเขาสงสัยจนใจเต้นแรงอีกครั้ง เป็นแผนที่ซ่อนสมบัติอีกฉบับอย่างที่คาดไว้ เหมือนกับฉบับก่อนหน้านี้เลย
ภาพสตรีทะยานฟ้าที่กางแขนอย่างแช่มช้อยปรากฏสู่สายตา ข้างๆ มีตัวอักษรสองแถว : ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด!
บนแผนที่ดาวและแผนที่ที่แนบมามีตัวอักษรสองตัวคือ : เก้า เดิน!
เมื่อมีประสบการณ์มาแล้วสองครั้ง เหมียวอี้ก็เดาออกได้ไม่ยากว่ามันคืออะไร เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนที่ซ่อนสมบัติของเคล็ดวิชา ‘สวรรค์เก้าชั้นฟ้า’ ภาคดิน หนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษ
ขณะที่เหมียวอี้กำลังดีใจ ในใจก็บ่นอย่างคับแค้นอีก คนที่ซ่อนสมบัตินี้กำลังทำอะไรกันแน่ ไม่ได้บ้าใช่มั้ย ที่วางไว้แยกกันแบบนี้เพราะอยากจะทำอะไรกันแน่ ทรมานบ้างมั้ย? เจ้าไม่ไม่เกลียดที่มันยุ่งยาก แต่ข้าเกลียดที่มันยุ่งยากนะ วางไว้ด้วยกันมันจะตายรึไง?
แผนที่ซ่อนสมบัติกลับกลายเป็นก้อนโลหะอีกครั้ง พอเงยหน้ามองบนตัวผู้หญิงทะยานฟ้าที่อยู่บนผนังหิน เหมียวอี้กำลังสงสัยว่าคนที่ซ่อนสมบัติใช่ผู้หญิงบนภาพหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเบาะแสการซ่อนสมบัติหรือสถานที่ซ่อนสมบัติ ทำไมต้องเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนี้เสมอ? ถ้าเป็นผู้หญิงคนนี้จริงๆ แล้วนางเป็นใครกันแน่?
…………………………