พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1027 เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ฆ่า!
ทวนแดงกระพือม้วนเมฆโลหิต สีแดงขมุกขมัวเป็นแถบ แทบจะมองเห็นเงาคนในนั้นไม่ชัด
จนกระทั่งคนในนั้นเก็บทวนแล้วยืนขึ้น ปราณปีศาจโลหิตถึงได้สลายไปเสมือนพายุหอบพัดเอาเศษปุยเมฆ
ขณะมองดูทวนที่ลูบอยู่ในมือ เหมียวอี้ก็พยักหน้าเบาๆ เมื่อมีปราณปีศาจโลหิตพวกนี้คอยช่วย ก็ยังช่วยเหลือตนได้หลายส่วนยามเข่นฆ่า แต่ถ้าคิดจะใช้ปราณปีศาจโลหิตปราบนักพรตบงกชทอง ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เขาเคยอยู่ในค่ายกลมารโลหิตของปีศาจโลหิตมาก่อน ถ้าปราณปีศาจโลหิตพวกนี้ได้เห็นเลือด ถ้าใครถูกทวนด้ามนี้ของตนทำร้ายให้บาดเจ็บ ผลลัพธ์ก็ต่างออกไปแล้ว เหมือนกับจงหลีค่วย ขนาดโดนฝ่ามือโลหิตครั้งเดียวก็ยังทนรับไม่ไหวเหมือนกัน แบบนี้ตัวเองจะได้ไม่ต้องใช้เปลวเพลิงไร้รูปร่างในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์
พอนึกถึงเปลวเพลิงไร้รูปร่าง เหมียวอี้ก็พลิกฝ่ามือแบออกมา ในฝ่ามือมีเปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งที่แทบจะมีรูปร่างลอยออกมา ราวกับเป็นน้ำสะอาดกองหนึ่ง แต่กลับกำลังลุกไหม้เหมือนไฟ
หลังจากต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์มีดาวสีฟ้าและแดงเพิ่มมาอีกสองล้านคู่ เหมียวอี้ก็นึกว่าเปลวเพลิงไร้รูปร่างจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทว่าความจริงกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เปลวเพลิงไร้รูปร่างไม่ได้มีเค้าว่าจะเพิ่มขึ้นเลย แต่กลับแข็งแรงและเกาะตัวกันมากขึ้น เปลี่ยนจากล่องหนกลายเป็นมีรูปร่างเหมือนของจริงแล้ว
เขาเก็บฝ่ามือ เปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นชี้นิ้ว ชี้ควบคุมไปยังเปลวเพลิงที่กะพริบเงาแสงมันวาวราวกับระลอกน้ำ ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก เปลวเพลิงหดและก่อตัวกลายเป็นกระบี่เล็กโปร่งแสงเล่มหนึ่งที่ยาวเท่านิ้วมือหนึ่งนิ้วทันที พอเหมียวอี้สะบัดนิ้ว ซวบ! กระบี่เล็กโปรงแสงยิงออกมาราวกับลูกธนูทันที
บึ้ม! เกิดเสียงดังสะเทือน ผนังหินที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรพังทลายทันที ปรากฏเป็นโพรงโพรงหนึ่ง
วิ๊ง! ในโพรงกะพริบแสง เปลวเพลิงร้อนที่มีสีเหมือนน้ำกลุ่มหนึ่งทะลักกลับออกมาจากโพรงผนังหิน กลายเป็นกระบี่เล็กโปร่งแสงเล่มหนึ่งยิงกลับมาอีก ยิงใส่เข้ามาในร่างกายของเหมียวอี้ แต่ก็ไม่เห็นเหมียวอี้ได้รับบาดเจ็บอะไร กระบี่เล็กโปร่งแสงอันตรธานหายไปแล้ว
ฉึก! เหมียวอี้เสียบทวนในมือลงบนพื้น พลิกฝ่ามือสองข้างยกขึ้นฟ้า พรึ่บ! รอบกายเกิดเปลวเพลิงร้อนแรงลุกโชนทันที ถูกเปลวเพลิงรูปน้ำห่อหุ้มกายไว้แล้ว
เพี้ยะ! เห็นเหมียวอี้ตบฝ่ามืออีกหนึ่งครั้ง เปลวเพลิงเดือดรอบกายก่อตัวเป็นกระบี่เล็กโปร่งแสงนับร้อยเล่มทันที ตามการโบกแขนทั้งสองข้างของเหมียวอี้ ซวบๆๆ!มันถูกยิงออกไปทางซ้ายและขวาพร้อมกันอย่างรวดเร็ว ตอนที่ใกล้จะยิงโดนผนังหินทางซ้ายและขวาที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยเมตร กระบี่ก็หยุดชะงักแล้วยิงกลับมา มาหมุนวนอยู่รอบกายเหมียวอี้ด้วยความเร็วสูง แล้วจู่ๆ ทั้งหมดก็ระเบิดกลายเป็นเปลวเพลิงเดือดอีกครั้ง พอกองเพลิงหดหาย ก็กลายเป็นแสงสว่างกลุ่มหนึ่งที่ห่อหุ้มร่างเหมียวอี้เอาไว้ สะท้อนแสงเหมือนระลอกน้ำ
การเปลี่ยนแปลงรูปร่างจริงของเปลวเพลิงไร้รูปร่างแบบนี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน เหมือนกลายเป็นของวิเศษชิ้นหนึ่งจริงๆ ทั้งยังไม่ใช่ของวิเศษธรรมดาทั่วไปด้วย ของวิเศษชิ้นนี้เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก เหมือนแขนที่บงการนิ้ว สามารถควบคุมได้ตามใจตัวเอง สะดวกเป็นที่สุด
เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา เห็นได้ชัดว่าเปลวเพลิงไร้รูปร่างนี้อยู่ในอีกระดับหนึ่งแล้ว ถ้าเรียกว่าเปลวเพลิงไร้รูปร่างอีกคงไม่เหมาะแล้ว หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็พึมพำว่า “เพลิงจิต…”
จากนั้นก็พยักหน้าทันที เอาตามนี้แล้วกัน มันเรียกว่าเพลิงจิต
เกราะแสงน้ำพลันทลายกลายเป็นเปลวเพลิงเดือด มันหดตัวอย่างรวดเร็ว ราวกับภาพของเปลวเพลิงเดือดที่โดนดับให้มอด จมลงไปในร่างกายเหมียวอี้ในชั่วพริบตาเดียว
เหมียวอี้ยื่นมือไปดึงทวนเกล็ดย้อนที่อยู่ตรงหน้า หลังจากลังเลครู่หนึ่ง ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์เก็บดีบัวต้นหนึ่งออกมาจากทวนเกล็ดย้อน เสร็จแล้วถึงได้เก็บทวนเกล็ดย้อนไป พร้อมถือโอกาสเรียกเกราะรบผลึกแดงระดับสูงที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้ออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์นำดีบัวต้นนั้นใส่เข้าไปในแกนค่ายกลของเกราะรบ
เกราะรบหมุนเลื้อยจากข้อมือขึ้นมาข้างบน ห่อหุ้มทั้งตัวเขาอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็สวมใส่เสร็จแล้ว
เหมียวอี้กำหมัดสองข้าง พอกระตุ้นผลึกบรมอัคคีในเกราะรบ เปลวเพลิงเดือดกลุ่มหนึ่งก็ระเบิดออกมารอบกาย เป็นเปลวเพลิงสีแดง เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ในนั้นราวกับเป็นเทพอัคคี
เปลวเพลิงเดือดพลันหดหาย ผ่านไปแวบเดียว ก็มีปราณปีศาจโลหิตเข้มข้นหมุนม้วนออกมาลอยวนเวียนรอบกายราวกับเมฆโลหิตที่โดนพายุพัด เมื่อประกอบกับเกราะรบสีแดงบนตัว ภายใต้ความดุร้ายที่ถูกขับให้เด่นชัด ทำให้เขาเหมือนปีศาจร้ายกระหายเลือด
เหมียวอี้ก้มหน้ามองเกราะบที่อยู่บนตัว เกราะเกล็ดบนตัวพลันกางออกอย่างช้าๆ เกราะเกล็ดและหนวดบนเกล็ดตั้งขึ้น ราวกับมีหนามแหลมขึ้นเต็มตัว เหมียวอี้เห็นแล้วแอบพยักหน้า ถ้าใครใช้หมัดเท้าทำร้ายบนร่างกายเขา เขาจะต้องทำให้อีกฝ่ายได้ลิ้มลองรสชาติยามปราณปีศาจเข้าร่างกายแน่ ปราณปีศาจโลหิตนี้ช่วยเพิ่มการป้องกันที่สามารถทำร้ายฝ่ายตรงข้ามได้
เมื่อเกล็ดบนเกราะหุบลง ปราณปีศาจโลหิตก็สลายไป เกราะรบพลันหมุนออกจากตัวและพับตกลงในฝ่ามือของเหมียวอี้ ถูกเหมียวอี้พลิกฝ่ามือเก็บเข้าไปแล้ว
เขาหันกลับมามองรอบๆ จากนั้นเดินไปข้างกายปีศาจคางคกแล้วยื่นมือลูบร่างกายมหึมาของมัน อยู่มาหลายปีขนาดนี้ เขาสังเกตเห็นแล้ว ว่าจุดประสงค์ที่ปีศาจคางคกกดทับปากหลุมไฟใต้ดินอยู่ ก็เพื่อจะรวบรวมธาตุไฟที่อยู่ในไฟหยาง ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องรอให้ผ่านไปอีกกี่ปี มันถึงจะฟื้นสภาพกลับมาเป็นเหมือนตอนก่อนที่เขาจะดูดซับได้
แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อตัวเองหาที่นี่พบแล้ว อีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ ตัวเองก็สามารถมาดูดซับอีกได้
เมื่อเงยหน้ามองดวงจิตน้ำแข็งผืนใหญ่บนโพรงน้ำแข็ง เหมียวอี้เองก็ไม่ได้คิดจะย้ายมันไปด้วย หลายปีมานี้เขาก็ได้ค้นพบแล้ว ที่นี่วางค่ายกลเล็กๆ เอาไว้ มีบทบาทเหมือนกับปีศาจคางคก มีไว้ใช้รวบรวมอัคคีน้ำแข็งเท่านั้น พอเป็นแบบนี้ ตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องทำลายที่นี่เลยจริงๆ แค่รอมาเก็บเกี่ยวตอนหลังก็พอแล้ว
เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว เขาก็เตรียมจะออกไปจากที่นี่ ตอนนี้ที่นี่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขามากแล้ว ถ้าจะฝึกตนอีกก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอยู่ที่นี่ แล้วอีกไม่ถึงสิบปีการทดสอบก็กำลังจะจบลง เขาต้องกลับไปอยู่ข้างกายพวกสวีถังหรานแล้ว
จากนั้นเขาก็ถลันตัวกลับมาในห้องศิลาห้องนั้นอีก จ้องภาพผู้หญิงทะยานฟ้าบนผนังหินนานมาก ผู้หญิงคนนี้ทิ้งความสงสัยเคลือบแคลงไว้ในใจเขามากมาย
หลังจากขึ้นมาจากก้นน้ำแข็งสูงหมื่นจั้ง เหมียวอี้ก็กลับมาทันที หลังจากเจอกับพวกสวีถังหราน ก็เข้ามาฝึกตนที่ถ้ำหินต่อไป ในมือยังมียาเม็ดโลหิตที่เพียงพอสำหรับใช้งาน อีกไม่ถึงยี่สิบปีก็จะสามารถบรรลุระดับบงกชทองขั้นสี่แล้ว เวลาที่ไม่ถึงสิบปีนี้ จะต้องรอให้ถึงตอนสุดท้ายถึงจะออกไปได้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้โอกาสฝึกตนที่สงบเงียบ ย่อมไม่ยอมพลาดอยู่แล้ว…
หลังจากนั้นหนึ่งปี ในถ้ำหินเช่นเดียวกัน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวแล้ว มู่หรงซิงหัวก็นั่งประทินโฉมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว นางก็ออกมาจากถ้ำหิน เมื่อมาถึงหน้าถ้ำหินของเยี่ยนจื่อเกอ นางก็ถามว่า “ผู้บัญชาการเยี่ยน”
“เข้ามาเถอะ” เยี่ยนจื่อเกอที่อยู่ข้างในส่งเสียงตอบกลับมา
พอมู่หรงซิงหัวเข้ามาข้างใน เยี่ยนจื่อเกอที่กำลังนั่งขัดสมาธิก็ตาเป็นประกาย รู้สึกว่าวันนี้มู่หรงซิงหัวมีท่าทางต่างออกไป ให้ความรู้สึกสวยสง่าเย้ายวนใจ เขาหยุดใช้วิชาฝึกตนทันที แล้วกวักมือเรียกมู่หรงซิงหัว “มานั่งตรงนี้สิ!”
เห็นได้ชัดว่ามู่หรงซิงหัวไม่อยากเข้าใกล้เขา นางไม่ได้เดินเข้าไป ได้แต่ยืนเว้นระยะห่างแล้วถามว่า “ข้ามาเพราะอยากจะถามเจ้าสักหน่อย ใกล้จะหมดเวลาการทดสอบแล้ว ถึงตอนนั้นการเข่นฆ่าจะดุเดือดกว่าเดิม พวกเราจะผ่านด่านยากนี้ไปได้ยังไง?”
“เรื่องนี้ข้าย่อมมีการเตรียมตัวอยู่แล้ว” ขณะที่พูด เยี่ยนจื่อเกอก็ถลันตัวเข้ามาแล้ว
มู่หรงซิงหัวหันหน้าเดินออกมาทันที แต่กลับโดนเขาดึงแขนไว้แล้วกระชากมากอด พร้อมพูดหยอกล้อว่า “เป็นผัวเมียกันแล้ว จะหลบทำไม”
ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นอย่างไร เขากระทำชำเรานางอย่างบ้าระห่ำ
ทว่าตอนที่เยี่ยนจื่อเกอกำลังสนุกสนานจนลืมตัว มู่หรงซิงหัวที่ถูกกดทับอยู่ใต้ร่างกายของเขาก็พลันโบกมือกวาด แสงเย็นสายหนึ่งแวบผ่าน เยี่ยนจื่อเกอไม่ทันได้กรีดร้องออกมาด้วยซ้ำ ในดวงตาที่เบิกโพลงเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ศีรษะกระเด็นแล้ว เลือดร้อนๆ พุ่งออกจากคอที่ขาด
ต่อให้นอนหลับฝันเขาก็นึกไม่ถึง ว่ามู่หรงซินหัวที่ต้องการจะพึ่งพาเขาเพื่อให้รอดชีวิตผ่านด่านยาก จะลงมือลอบทำร้ายเขาแบบนี้
มู่หรงซิงหัวร่ายอิทธิฤทธิ์กันเลือดสดที่พุ่งเข้ามาใส่หน้า ผลักร่างไร้ศีรษะที่กดทับอยู่บนตัวออกไป แล้วพึมพำด้วยสีหน้าสะอิดสะเอียน “ไม่รู้เหรอว่าบนหัวตัวอักษร ‘บ้ากาม’ มีตัวอักษร ‘มีดด้ามหนึ่ง’ อยู่ด้วย?”[1] ในมือยังถือดาบที่เปื้อนเลือด แทงบนร่างของเยี่ยนจื่อเกอดาบแล้วดาบเล่า แทงจนกระทั่งร่างพรุนยับเยิน
จากนั้นนางก็รีบจัดการตัวเอง เก็บกวาดสถานที่ใหม่อีกรอบ หลังจากแต่งเนื้อแต่งตัวใหม่อีกครั้ง นางก็ออกไปจากที่นี่ ไปหาเฉิงจวินซิ่นกับหันเฉาเฟิ่งเพื่อคุยเรื่องสิ้นสุดการทดสอบ…
หลังจากผลักร่างเปลือยไร้ศีรษะของหันเฉาเฟิ่งที่กดทับอยู่บนร่างกายตนออกไปแล้ว มู่หรงซิงหัวก็ลุกขึ้นในสภาพเปลือยเปล่า นำศีรษะสามใบที่ถูกตัดอย่างง่ายดายแต่ตายตาไม่หลับมาวางเรียงไว้ด้วยกัน จากนั้นก็ถือดาบที่เปื้อนเลือดขึ้นมาทั้งๆ ที่ตัวเองยังแก้ผ้า แล้วกางแขนหมุนตัว ราวกับกำลังเต้นระบำ แต่ใบหน้ากลับยิ้มอย่างขื่นขม ราวกับอยากให้ทั้งสามมองดูเสียให้พอ…
“หยางไท่ ผู้บัญชาการเยี่ยนเรียกพวกเราไปคุยเรื่องการทดสอบ”
หยางไท่กำลังนั่งสมาธิฝึกตน เมื่อเสียงของมู่หรงซิงหัวดังมาจากนอกห้องถ้ำ เขาก็ลืมตาแล้วตอบทันที “กำลังจะไปเดี๋ยวนี้”
จากนั้นก็ทำสีหน้าเหยียดหยาม คิดในใจว่าเยี่ยนจื่อเกอให้เจ้ามาเรียก เจ้าคงจะเพิ่งใส่เสื้อผ้าเสร็จหลังจากอยู่กับเยี่ยนจื่อเกอมาสินะ
เมื่อออกจากปากถ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าจะเห็นมู่หรงซิงหัวกำลังยืนรอเขาอยู่ข้างนอก ทำให้รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็สังเกตเห็นว่ามู่หรงซิงหัวกำลังขมวดคิ้วเหมือนคิดอะไรอยู่ อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เป้นอะไรไป?”
“เจ้าคิดว่าพวกเราอยู่กับพวกเขาแล้วจะกลับไปได้อย่างราบรื่นหรือเปล่า?” มู่หรงซิงหัวถ่ายทอดเสียงถาม
“เฮ้อ!” หยางไท่ถอนหายใจยาว ว่ากันตามจริง หลังจากได้เห็นความห้าวหาญดุดันของอำนาจแต่ละฝ่ายแล้ว เขาเองก็ไม่ได้มั่นใจเท่าไรนัก แต่ก็หาที่ไปไม่ได้แล้วจริงๆ ส่ายหน้าตอบว่า “ไปดูก่อนแล้วกันว่าพวกเขาจะเอายังไง”
พูดจบก็หันตัวจะเดินออกไป แต่ใครจะไปคาดคิด เพิ่งจะหันตัวไปก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ผิดปกติ รอจนกระทั่งพบความไม่ชอบมาพากลและกำลังจะโต้ตอบ เขาก็รู้สึกเจ็บที่หลัง ทั่งร่างนิ่งชะงัก ก้มหน้ามองที่หน้าอกของตัวเอง เห็นเพียงคมดาบด้ามหนึ่งแทงโผล่ออกมาจากหัวใจ เลือดสดหยดย้อย
“นางแพศยา!” หยางไท่คำรามจากอย่างเจ็บปวด
ตุ้บ! ข้างหลังโดนเท้าถีบ มู่หรงซิงหัวใช้เท้าถีบจนเขากระเด็นออกไป
หยางไท่กระแทกบนไหล่เขาแล้วกลิ้งลงมา พอร่างหยุดกลิ้งแล้ว ก็ใช้มือกุมหน้าอกที่มีเลือดออก มองดูมู่หรงซิงหัวเหาะมาเหยียบลงข้างกายตน นางกำลังถือดาบและจ้องมองตนอย่างเย็นเยียบ
หยางไท่ที่หัวใจพังถามอย่างสิ้นหวังและอ่อนแรงว่า “ข้าไม่เคยล่วงเกินเจ้า ทำไมต้องทำร้ายข้าด้วย!”
สิ่งที่ตอบเขามีเพียงดาบด้ามเดียว นางตัดหัวเขาทิ้งเสียเลย
มู่หรงซิงหัวเช็ดรอยเลือดบนดาบ พลางพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าไม่เคยล่วงเกินข้า แต่ข้าอยากจะทำตัวเป็นคนใหม่ พอเจ้าตายก็ไม่มีใครรู้แล้ว ข้าอยากเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่!”
หลังจากได้สติกลับมาจากอาการจิตใจเหม่อลอย นางก็หยิบระฆังดาราออกมา
ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ที่กำลังฝึกตนก็ได้รับข้อความจากนาง : พวกเยี่ยนจื่อเกอตายแล้ว นางโทษสองคนในมือพวกเขาอยู่กับข้าแล้ว
หลังจากคุยกันแล้ว เหมียวอี้ก็ออกมาจากห้องถ้ำ แล้วเรียกพวกสวีถังหรานออกมาเจอหน้ากัน เล่าเรื่องของมู่หรงซิงหัวให้ฟังรอบหนึ่ง
สวีถังหรานได้ยินแล้วรีบโบกมือบอกว่า “น้องหนิว อย่าไปเชื่อง่ายๆ เชียวนะ อาศัยนางน่ะเหรอจะฆ่าพวกเยี่ยนจื่อเกอได้ ในนั้นต้องมีแผนลับอะไรแน่นอน ไม่แน่นางอาจจะอยากฉวยโอกาสรู้ตำแหน่งของพวกเราก็ได้ จะได้มาแย่งของในมือเราได้สะดวก”
“ข้าบอกที่อยู่ของพวกเราไปแล้ว!” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม
“หา!” สวีถังหรานกระทืบเท้าทันที่ “เจ้าเลอะเลือน! น้องหนิว เจ้าเลอะเลือนไปนะ! แต่ก็ยังดีที่บอกทัน พวกเราย้ายที่กันตอนนี้เลยเถอะ”
…………………………
[1] 色字头上一把刀 ตัวอักษร ‘บ้ากาม’ มีตัวอักษร ‘มีดด้ามหนึ่ง’ อยู่บนหัว ส่วนบนของตัวอักษร色 ที่แปลว่าบ้ากาม ประกอบด้วยตัวอักษร 刀 ที่แปลว่ามีด