พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1028 ตอนจบของการทดสอบ
ท่าทางหวาดกลัวอยากจะหลบหนีของเขา ทำให้ปานเยว่กงกับชิงเหมยอดไม่ได้ที่จะสบตากัน นับว่าคลุกคลีกับสวีถังหรานมาหลายปีแล้ว พวกเขาพบว่าถึงแม้จะเป็นผู้บัญชาการของตำหนักสวรรค์เหมือนกันหมด แต่ทำไมมีความแตกต่างกันมากขนาดนี้? น้ำจิตน้ำใจของคนคนนี้เทียบกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ติดเลย
เหมียวอี้ยื่นมือไปเขี่ยบ่าสวีถังหราน “จะหนีทำไม! ถ้าอีกฝ่ายจับจ้องพวกเราจริงๆ ถ้าต้องการจะกินเนื้อพวกเราให้ได้ จะหนีไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้หนีไป แต่ตอนหลังก็ต้องสู้กันอยู่ดี บนเส้นทางก่อนการทดสอบจะจบลง การสู้กันสักตั้งก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้! ในเมื่อเป็นฝ่ายมาหาพวกเราถึงที่ ไม่สู้กำจัดปัญหาทิ้งไปก่อนเลยดีกว่า ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าใครจะกินใครกันแน่!”
ในน้ำเสียงเผยให้เห็นความมั่นใจหลายส่วน หลังจากวรยุทธ์สูงขึ้นสองขั้น เขาก็อยากจะหาคนมาทดลองฝีมือสักหน่อย
“น้องหนิว ไตร่ตรองให้ดีเถอะ!” สวีถังหรานอุทาน
“เอาตามนี้แล้วกัน!” เหมียวอี้ยิ้มบางๆ ไม่ยอมให้เขาปฏิเสธ พูดจบก็หันตัวเดินออกไปเลย
“เจ้า…” สวีถังหรานโมโหจนกระหัดกระหอบ รีบหันกลับไปหาปานเยว่กงและฮูหยิน “พี่โหย่วไฉ นี่ไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดแน่นอน ได้โปรดช่วยเกลี้ยกล่อมสักหน่อยเถอะ”
“ข้าว่าน้องสวีต้องมั่นใจในตัวเขาสักหน่อยนะ ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว คาดว่าเขาคงมีแผนในใจแล้วล่ะ ไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมอีก” ปานเยว่กงตอบพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็จูงมือฮูหยินเดินกลับห้องถ้ำด้วยกันทันที
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สวีถังหรานก็เริ่มหวาดระแวงแล้ว
หลังจากนั้นสิบวัน เหมียวอี้ก็ยืนอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟสูงเพียงลำพัง เงยหน้ามองมู่หรงซิงหัวเหาะลงมาจากฟ้า แล้วทั้งสองก็ยืนอยู่ตรงข้ามกัน
เหมียวอี้แปลกใจนิดหน่อย มองสำรวจอีกฝ่ายศีรษะจดเท้า บอกไม่ถูกว่ามู่หรงซิงหัวที่อยู่ตรงหน้าให้ความรู้สึกอย่างไร ควรจะบอกว่านางสวยขึ้น แต่ในความสวยนั้นก็ยังมีรสชาติของการตายจากกันเพิ่มขึ้นมา บนใบหน้าที่เก็บสำรวมความรู้สึกมาตลอด ไม่น่าเชื่อว่าจะมีรอยยิ้มจางๆ รอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกแบบนี้ เหมือนจะไม่เคยเห็นจากตัวมู่หรงซิงหัวมาก่อน
มู่หรงซิงหัวที่ใบหน้าเจือรอยยิ้มก็มองสำรวจเขาเช่นกัน เมื่อเห็นเหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังอย่างทะนงตัว เผยความมั่นใจออกมารางๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะพร้อมถามว่า “จ้องข้าแบบนี้ทำไม? เพราะว่าข้าเป็นเมียน้อยของเฉาว่านเสียงเหรอ”
นางสามารถเป็นฝ่ายพูดก่อนว่าตัวเองเป็นเมียน้อยของเฉาว่านเสียง สิ่งนี้ยิ่งทำให้เหมียวอี้แปลกใจ “ไม่มีความหมายหรอก เกิดเป็นคนทำไมต้องกลัวว่าจะเลือกไม่ได้ ดังนั้นทุกคนต่างมีทางเลือกของตัวเอง ตราบใดที่ทางเลือกของเขาไม่ทำร้ายคนอื่น หรือไม่ได้ทำร้ายข้า ข้าก็ไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาแยกแยะถูกผิดอยู่แล้ว เพราะมันไม่มีความหมายอะไรสำหรับข้า ตราบใดที่เจ้ารู้สึกว่าเส้นทางที่เจ้าเดินถูกต้อง นั่นก็เพียงพอแล้ว อย่างอื่นไม่มีอะไรเกี่ยวกับข้า ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าต่างกับเมื่อก่อนนิดหน่อย”
คำพูดนี้ทำให้มู่หรงซิงหัวได้ยินแล้วอบอุ่นหัวใจ แต่ยังถามว่า “เจ้ากำลังพูดเหน็บแนมข้าเหรอ?”
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “ถ้าเจ้าจะคิดแบบนี้ ข้าก็ช่วยไม่ได้แล้ว ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าเปลี่ยนไป จะพูดยังไงดีล่ะ รู้สึกเหมือนเจ้าได้ทิ้งอะไรบางอย่างไปแล้ว เหมือนพาตัวเองออกมาได้ บางทีข้าควรจะพูดว่า เจ้าเปลี่ยนเป็นสวยกว่าเมื่อก่อนแล้ว”
“เป็นแค่ดอกไม้โรยตกอับเท่านั้น ไม่ควรค่ากับคำชมหรอก ข้าจะถือว่าเจ้ากำลังเหน็บแนมข้าก็แล้วกัน ว่าแต่เจ้าเถอะ…” มู่หรงซิงหัวจ้องมองท่าทางที่เขายืนเอามือไขว้หลัง พร้อมถามกลับว่า “เจ้ามาเจอข้าคนเดียวเนี่ยนะ เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะมีเจตนาร้าย พาคนมาสู้กับเจ้าเหรอ?”
“ข้าไม่เห็นกลุ่มของพวกเจ้าอยู่ในสายตาเลยจริงๆ!” เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ
“มีความมั่นใจขนาดนี้ สงสัยข้าจะเลือกไม่ผิด” มู่หรงซิงหัวพยักหน้า พอสะบัดมือหนึ่งที บนพื้นก็มีศีรษะคนสามใบ นอกจากพวกเยี่ยนจื่อเกอแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
หลังจากแยกแยะใบหน้าให้ละเอียด เหมียวอี้ก็รู้สึกฉงนใจ ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะเด็ดหัวเยี่ยนจื่อเกอมาได้ พอเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าอีกฝ่ายจะมาพวกเยี่ยนจื่อเกอมาสู้กับพวกเขา จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “อาศัยความสามารถของเจ้า จะฆ่าพวกเขาได้ยังไง?”
“ข้ามีวิธีของข้าก็แล้วกัน ถึงอย่างไรก็เอาหัวคนมาให้เจ้าแล้ว ทำไมต้องถามมาก” พอพูดจบ มู่หรงซิงหัวก็โยนชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่โดนจี้สกัดจุดออกมา สภาพสะบักสะบอมมาก “นี่คือนักโทษหลบหนีที่พวกเขาจับได้ และเป็นความจริงใจที่ข้าแสดงให้เห็นด้วย”
หลังจากเหมียวอี้ตรวจดูแล้ว ก็พบว่าเป็นนักโทษหลบหนีสองคนจริงๆ งั้นเขาก็ไม่เกรงใจแล้ว เก็บมาไว้ทันที แล้วถามอีกว่า “ที่นี่มีหัวแค่สามหัว พวกเยี่ยนจื่อเกอเหมือนจะไม่ได้มีแค่สามคนหรอกใช่มั้ย?”
มู่หรงซิงหัวตอบอย่างสงบนิ่งว่า “คนอื่นตายไปก่อนแล้ว ตายไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ตายด้วยน้ำมือคนอื่นของตำหนักสวรรค์ ตอนนั้นอำนาจฝ่ายต่างๆ ล้วนเข่นฆ่ากันเองเพื่อแย่งผลงาน ในมีการนองเลือดอยู่ครั้งหนึ่ง พวกเราแทบจะตายกันหมด โชคดีที่มีอีกกลุ่มเข้ามาแย่งด้วย คนที่เหลือของเราถึงโชคดีหนีออกมาได้ หลังจากครั้งนั้นพวกเราก็ซ่อนตัวมาตลอด…พอมาดูตอนนี้แล้ว เหมือนพวกเจ้าก็ซ่อนตัวมาตลอดเหมือนกันนะ”
การเข่นฆ่ากันเองเป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดหมายของเหมียวอี้มาตั้งแต่แรก เหมียวอี้ถามว่า “หยางไท่ล่ะ? ตายในครั้งนั้นเหมือนกันเหรอ?”
มู่หรงซิงหัวส่ายหน้า “หยางไท่เพิ่งตายได้ไม่นาน หลังจากพวกเราตัดสินใจจะกลับมา ก็เกิดทะเลาะกับพวกเยี่ยนจื่อเกอ หยางไท่โชคไม่ดีประสบเคราะห์” นางย่อมไม่บอกว่าตัวเองเป็นคนฆ่า ถามกลับว่า “สวีถังหรานล่ะ? ทำไมไม่เห็นเขา?” จุดนี้สำคัญมาก นางอยากรู้ว่าพวกเหมียวอี้ยังมีชีวิตอยู่ดีกันหมดเลยหรือเปล่า
เหมียวอี้ก็ไม่ใช่คนที่หยั่งรู้เหตุการณ์ จินตนาการไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นบนตัวมู่หรงซิงหัว เพียงแต่ยังสงสัยเรื่องการตายของพวกเยี่ยนจื่อเกอนิดหน่อย ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมบอก งั้นเขาก็ขี้คร้านจะถาม โบกมือชี้ไปไกลๆ พร้อมตอบว่า “เขากลัวว่าเจ้าจะมีเจตนาไม่ดี เลยไปเตรียมดักซุ่มอยู่ข้างๆ”
“ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าก็คงสงสัยแบบนี้เหมือนกัน” มู่หรงซิงหัวมองตามที่เขาชี้ แล้วหันกลับมาถามอีกว่า “ข้าแสดงความจริงใจของตัวเองไปแล้ว เจ้าคงไม่ปฏิเสธที่จะรับคนเพิ่มสักคนเพื่อช่วยเหลืออีกแรงในการผ่านด่านสุดท้ายหรอกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าเองก็ไม่อยากมีอะไรพัวพันกับทางเฉาว่านเสียง”
มู่หรงพยักหน้า “เจ้าไม่ต้องห่วง ตราบใดที่ข้ายอมถอดเสื้อผ้านอนเป่าหูอยู่ข้างหมอน เฉาว่านเสียงก็คุยง่าย ข้าเป็นแค่ของเล่นของเขา ที่จริงเขาก็ไม่อยากแตกคอกับโค่วเหวินหลานเพื่อข้าหรอก ถึงอย่างไรภูมิหลังของโค่วเหวินหลานก็เห็นๆ กันอยู่ เขาไม่กล้าทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเกินไป เรื่องน้อยดีกว่าเรื่องเยอะ ข้าไม่มีค่าในสายตาเขา หวังว่าพี่หนิวจะช่วยระงับความโกรธของผู้บัญชาการใหญ่โค่วให้ข้าด้วย!”
เหมียวอี้ตะลึงค้าง เหมือนจะนึกไม่ถึงว่านางจะพูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเฉาว่านเสียงได้อย่างใจกว้างตรงไปตรงมาขนาดนี้ สิ่งนี้กลับทำให้เขานับถืออยู่หลายส่วน ได้แต่พึมพำในใจว่า หลังจากได้ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตาย สงสัยจะทำให้ผู้หญิงคนนี้จะเปลี่ยนไปไม่น้อย…เขาพยักหน้าเบาๆ “เจ้าสามารถมอบนักโทษหลบหนีสองคนให้เพื่อช่วยผู้บัญชาการใหญ่ได้ หลังจากจบเรื่องเขาคงไม่ซักถามเอาเรื่องอีก”
เรื่องราวก็เจรจาจบลงอย่างเรียบง่ายแบบนี้ เหนือความคาดหมายของเหมียวอี้นิดหน่อย เจตนาในการต่อสู้ที่เคยก่อตัวในใจเงียบๆ ได้หายไปแล้ว
สวีถังหรานที่ได้เจอมู่หรงซิงหัวอีกครั้งก็รู้สึกผิดคาดเหมือนกัน ทั้งสามเจอหน้ากันอีกครั้ง แต่ขาดหยางไท่ไปคนหนึ่ง
สวีถังหรานเรียกได้ว่าสวมเกราะรบเรียบร้อยแล้ว เดรัจฉานสับปลับก็เตรียมไว้ข้างกายแล้วเช่นกัน
“หลายปีมานี้ ยามว่างพี่สวีก็ฝึกทำอาหารจนมีฝีมือดีแล้ว” เหมียวอี้บอกมู่หรงซิงหัวก่อน แล้วค่อยพยักหน้าให้สวีถังหราน “พี่สวี เพื่อนร่วมงานพบกันอีกครั้ง แสดงฝีมือสักหน่อยสิ”
เมื่อเห็นสวีถังหรานยังอยู่ดีมีสุข มู่หรงซิงหัวก็ยิ้มจากใจ ยิ้มสวยน่าประทับใจ!
ตอนนี้สวีถังหรานก็ชินกับการฟังคำสั่งของเหมียวอี้แล้ว ก็เลยถอดเกราะรบแล้วเข้าครัวทำอาหาร แต่กลับแอบไปคุยกับเหมียวอี้ส่วนตัว “น้องหนิว ทำไมข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลล่ะ ไม่ว่าข้าจะดูยังไงก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้แปลกๆ ไป การพูดจาและท่าที ไม่ค่อยเหมือนนางเท่าไรเลย แล้วอีกอย่าง ทำไมพวกเยี่ยนจื่อเกอถึงโดนนางฆ่าทิ้งได้ง่ายๆ ขนาดนี้?”
“จะสนใจอะไรมากขนาดนั้น ขอแค่พิสูจน์ได้ว่านางไม่เข้าร่วมกลุ่มกับเราเพื่อนทำร้ายเหมือนที่ทำกับพวกเยี่ยนจื่อเกอก็พอแล้ว เดี๋ยวตอนกลับไปรายงานผลงาน พี่โหย่วไฉและฮูหยินไม่สะดวกจะประมือกับผู้บัญชาการคนอื่นๆ เพื่อช่วยพวกเรา ถึงตอนนั้นอาจจะเหลือแค่พวกเราสองคนแล้ว ถ้ามีผู้ช่วยเพิ่มมาอีกสักคนก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ประเด็นสำคัญคือจะผ่านด่านเฉาว่านเสียงได้หรือเปล่า ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัวเอง!”
“ไม่ใช่ ข้าแค่กังวลว่าผู้หญิงคนนี้จะมีเจตนาแฝงอีกอย่าง”
“ในเมื่อสงสัยว่านางมีเจตนาอะไรแอบแฝง งั้นก็ระวังนางไว้หน่อยก็พอแล้ว อย่าให้โอกาสนางลงมือก็พอ”
“ได้!” สวีถังหรานหันกลับมากวักมือเรียก “หวงเสี้ยวเทียน!”
ปีศาจสิงโตหวงเสี้ยวเทียนกำลังนั่งยองๆ ถลกหนังสัตว์ป่าล้างอยู่ริมลำธารที่เกิดจากหิมะละลาย พอได้ยินเสียงก็หิ้วกวางตัวหนึ่งกลับมา แล้วถามกลั้วหัวเราะว่า “ท่านสวี มีอะไรเหรอ”
ตอนนี้ชายชราไม่ได้มีภาระอะไรต้องรับผิดชอบ เหมียวอี้ปล่อยเขาไปนานแล้ว หน้าที่ของเขาก็คือเฝ้าภูเขา ป้องกันไม่ให้มีคนลอบจู่โจม เขาเคยหนีไปครั้งหนึ่งเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าโดนปานเยว่กงไล่ตามไปทำร้ายจนสาหัสปางตาย จากนั้นจึงไม่กล้าหนีอีกแล้ว
เหมียวอี้เองก็ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งอะไรกับเขา เพราะบอกไว้ชัดเจนแล้ว ว่าจะไม่กลั่นแกล้งเขา การทดสอบจบก็จะปล่อยเขาไป เขาเองก็อยู่ที่นี่อย่างสงบใจ เมื่อเวาลาผ่านไปนานเข้า เวลาที่เขาคลุกคลีอยู่กับสวีถังหรานก็เยอะกว่าตอนที่อยู่กับเหมียวอี้ เหมียวอี้ไม่ได้อยู่ที่นี่นาน เขาจึงสนิทกับสวีถังหรานแล้ว
ตอนนี้เขาอยากจะให้สวีถังหรานผ่านการทดสอบกลับไปอย่างปลอดภัย ถึงตอนนั้นตัวเองก็จะมีสหายจากตำหนักสวรรค์เพิ่มมาคนหนึ่งแล้ว ในภายหลังจะทำอะไรก็สะดวก และแน่นอน สวีถังหรานเองก็คุยโม้ไว้เช่นกัน บอกว่าถ้ามีโอกาสเหมาะสม จะช่วยหาร้านค้าสักร้านให้เขาที่เขตเมืองตะวันตกของตัวเอง
ร้านค้าในตลาดสวรรค์เชียวนะ! หวงเสี้ยวเทียนตาลุกวาวและตัดสินใจแน่วแน่ทันที
“เห็นผู้หญิงที่เพิ่งมาคนนั้นหรือเปล่า?” สวีถังหรานชี้ไปตรงไหล่เขา
หวงเสี้ยวเทียนพยักหน้า “เห็นแล้ว นางอยู่กลุ่มเดียวกับพวกกเจ้าไม่ใช่เหรอ? ตอนแรกที่จับตัวข้า นางเป็นคนแรกที่คุยกับข้านะ”
“อย่าเปลืองคำพูดเลย ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าเฝ้าจับตาดูนางไว้ให้ดี ถ้ามีความผิดปกติอะไรให้บอกข้าทันที”
“ไม่มีปัญหา” หวงเสี้ยวเทียนพยักหน้าซ้ำๆ
“อื้ม!” สวีถังหรานชี้ไปที่กวางในมือเขา “เอาไปตุ๋นให้เปื่อยก่อน”
“ได้!” หวงเสี้ยวเทียนพยักหน้าแล้วเดินไป
เหมียวอี้เห็นแล้วรู้สึกขำ เอามือเดินไขว้หลังออกไปเหมือนกัน มีแค่สวีถังหรานที่ถอนหายใจ แล้วก็นั่งลงทำอาหารริมลำธาร ก่อนจะเข้าร่วมการทดสอบ ผู้บัญชาการสวีก็ไม่เคยได้ทำงานนี้มาหลายปีแล้ว ตอนนี้กลับได้ทำอีกจนคล่องมือ ก็ช่วยไม่ได้ ทุกครั้งที่เหมียวอี้กลับมาก็จะเรียกให้เขาลงครัวทำอาหาร…
เวลาผ่านไปเร็วมาก ชั่วพริบตาเดียวเวลาทดสอบหนึ่งร้อยปีก็ใกล้จะถึงตอนจบแล้ว
ณ ดาวเทียนหยวน ตลาดสวรรค์ ตำหนักคุ้มเมือง โค่วเหวินหลานยืนรออยู่หน้าประตูตำหนัก ในที่สุดใบหน้าก็เริ่มกลับมาขาวผ่องเหมือนเดิมแล้ว เฮยหวังก็คือเฮยหวัง ทำให้เขาดำจนไม่อยากออกไปพบใครเป็นเวลาเกือบหนึ่งร้อยปี แต่ตอนนี้รู้สึกค่อนข้างตื่นเต้นดีใจ เพราะช่วงนี้เขากังวลมาตลอด
การทดสอบใกล้จะจบแล้ว ทางหนิวโหย่วเต๋อส่งข่าวมาว่าจับนักโทษได้สี่คนแล้ว นี่คือจุดที่ทำให้เขาตื่นเต้นดีใจ ผู้บัญชาการเกือบพันคน อย่างน้อยก็ต้องมีกำลังพลเป็นร้อย หรือพูดได้อีกอย่างว่า นักโทษหลบหนีหนึ่งร้อยคน กำลังคนหนึ่งกลุ่มแบ่งกันคนละคนยังไม่พอ แต่ในมือเขาจับได้สี่คนแล้ว คะแนนในครั้งนี้จะต้องไม่แย่แน่นอน และเขาก็ส่งกำลังพลไปแค่สี่คนเอง สองในสี่ยังไม่ใช่ลูกน้องที่เขาไว้ใจ และรู้ด้วยว่าการช่วยเหลือสนับสนุนของเขาที่สถานที่ไร้ชีวิตมีจำกัด ถึงอย่างไรตำแหน่งของเขาก็อยู่ชายขอบของตระกูลโค่ว ใช้ทรัพยากรได้ไม่มาก แต่ก็ยังจับนักโทษหลบหนีได้ตั้งสี่คน เท่ากับพิสูจน์แล้วว่าเขาจัดการเรื่องลูกน้องได้เก่ง ในเมื่อสามารถเอาชนะคู่แข่งอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงได้แล้ว เขาก็สามารถตบอกพิสูจน์ตัวเองที่ตระกูลโค่วได้ สามารถเข้าสู้การแข่งขันในอีกระดับของตระกูลโค่วได้แล้ว และสามารถได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากรที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน
สิ่งที่กังวลก็คือ เขาเองก็เข้าใจดี ว่าด่านที่อันตรายที่สุดของหนิวโหย่วเต๋อมาถึงแล้ว ศึกนองเลือดที่แข็งกร้าวเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย จะแพ้หรือจะชนะก็ตัดสินกันครั้งนี้!
เขารับปากพวกหนิวโหย่วเต๋อแล้วว่าจะไปรับพวกเขาด้วยตัวเอง และอยากจะไปคุมสถานการณ์เองด้วย จะได้ไม่มีใครวางแผนชั่วแย่งคะแนนของตนไป ถ้าพวกหนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตกลับมา ใครที่มันกล้าแย่งคะแนนเพื่อทำลายอนาคตของเขา เขาก็จะสู้ตายกับคนนั้น เขาจึงมาขอลาหยุดกับปี้เยว่ฮูหยินเพื่อออกเดินทาง
ผ่านไปไม่นาน ก็มีบ่าวรับใช้เล็กๆ มาแจ้ง มาฮูหยินเรียกพบ
พอเข้ามาในสวนดอกไม้ที่ตำหนักหลัง ก็เห็นปี้เยว่ฮูหยินกำลังนั่งเกียจคร้านอยู่บนชิงช้า เมื่อบอกเรื่องขอลาหยุด ปี้เยว่ฮูหยินก็รู้สึกผิดคาดนิดหน่อย ถามว่า “พวกหนิวโหย่วเต๋อยังไม่ตายเหรอ?”
“ขอรับ!” โค่วเหวินหลานกุมหมัดคารวะ “ไม่ใช่แค่ยังไม่ตาย ทั้งยังคิดถึงเรื่องจองฮูหยินอยู่ทุกขณะ หาจิ้งจอกพันหน้าสัตว์เลี้ยงของฮูหยินพบแล้วด้วย!”
“…” ปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังเกียจคร้านกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ตาสองข้างเป็นประกาย ลุกขึ้นถามว่า “พูดจริงหรือเปล่า?”
โค่วเหวินหลานแอบตำหนิไม่หยุด จะตื่นเต้นอะไรนักหนา สัตว์เลี้ยงตัวเดียวสำคัญกว่าข้าอีก ขนาดนั้นเชียวเหรอ? แต่ยังตอบอย่างเคารพว่า “จริงแท้แน่นอนขอรับ”
ปี้เยว่ฮูหยินสะบัดแขนเสื้อทันที “อนุญาตแล้ว! ฮูหยินผู้นี้จะไปด้วยเหมือนกัน ไปด้วยกันเลย”
…………………………