พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1031 ความรู้สึกระหว่างพี่น้อง
เมื่อนางกล่าวมาแบบนี้ ใบหน้าของเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เหมือนโดนตะคริวกิน
นี่ไม่ใช่การแค่การขู่เลยจริงๆ คนอื่นอาจจะเข้าตระกูลเซี่ยโห้วของเขาไม่ได้ แต่หนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์กลับไม่มีปัญหา เมื่ออยู่ที่ตำหนักสวรรค์ นั่นคือคนในระดับที่สามารถเข้าพบราชันสวรรค์ได้โดยตรง การเข้าประตูบ้านของตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ต่อให้ธรณีประสูงแค่ไหนก็ต้องเจอกันได้
ถ้าต้องรบกวนให้ท่านโหวมาคิดบัญชีถึงประตูบ้านจริงๆ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็หาเงินมาไม่ได้จริงๆ เมื่อก่อนจ่ายไม่ไหว ตอนนี้โดนเตะมายืนชายขอบแล้วก็ยิ่งจ่ายไม่ไหว ดีไม่ดีตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะโยนเขาออกมาชดใช้หนี้ก็ได้ ปัญหาไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เจ้ากล้าไปลูกคลำเมียของท่านโหว ตระกูลเซี่ยโห้วจำเป็นต้องให้คำอธิบายกับอีกฝ่าย ถึงตอนนั้นต่อให้เขาไม่ตายแต่ก็ต้องโดนถลกหนัง
เพียงแต่การโดนอีกฝ่ายขู่คำสองคำแล้วตกใจแบบนี้…เซี่ยโห้วหลงเฉิงกวาดสายตาล่อกแล่กมองดูทหารสวรรค์ที่อยู่สองข้าง กำลังคิดว่าแบบนั้นก็เสียหน้าเกินไปเหมือนกัน
โค่วเหวินหลานย่อมไม่รอให้ผู้ชายชั้นต่ำอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาสร้างความอัปยศให้ตัวเอง เป็นคู่ต่อสู้กันมานานขนาดนี้ เขารู้จักเซี่ยโห้วหลงเฉิงดีเกินไปแล้ว รู้จักดีกว่าปี้เยว่ฮูหยินเสียอีก ถ้าเจ้าเวรนี่มันโดนปี้เยว่กดดันจนหาบันไดลงไม่ได้ ถ้าจนตรอกขึ้นมา ไม่ว่าเรื่องโง่เง่าอะไรก็ทำได้หมด ปี้เยว่ยังคิดว่าเจ้าหมีควายนี่ไม่กล้าลูบไล้นางต่อหน้าฝูงชนงั้นเหรอ? ประเมินอีกฝ่ายต่ำไปแล้วมั้ง ถ้าโดนลูบคลำขึ้นมาจริงๆ ก็จะสายเกินไปแล้ว!
ปี้เยว่ไม่กลัวเสียหน้า แต่โค่วเหวินหลานไม่อยากเสียหน้าแบบนี้ แววตายามเซี่ยโห้วหลงเฉิงมองป้ากางเกงของเขาไม่หยุดทำให้เขาค่อนข้างขนหัวลุก จึงหยิบระฆังดาราออกมาเขย่าทันที
ไม่นาน โค่วเหวินชิงก็ปรากฏตัวเร็วมา ตะคอกถามว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิง เจ้าทำอะไรน่ะ?”
ทหารสวรรค์ที่กำลังล้อมเห็นสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล พากันหลีกทางไปด้านข้างอย่างเงียบๆ แล้ว
คนที่มาพร้อมกับโค่วเหวินชิงยังมีชายรูปร่างผมอสูงอีกคนหนึ่ง เอามือไขว้หลังเหาะเข้ามา จ้องเซี่ยโห้วหลงเฉิงด้วยสายตาเย็นเยียบพร้อมถามว่า “ทำไมเจ้าไม่ได้เที่ยวเล่นหาความสำราญ ถ่อมาปะปนอยู่ที่นี่ทำไม?”
“ใครมันพูดจาวางโตขนาดนี้ แม้แต่ที่ปรึกษาของที่นี่ก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา หรือว่าอยากจะท้าทายนายท่านผู้คุม!”
มีคนเหาะเข้ามาอีกคน หุ่นกำยำเหมือนหมี หน้าตาค่อนข้างคล้ายเซี่ยโห้วหลงเฉิง แต่หน้าตาดีกว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงหน่อยหนึ่ง มายืนเอามือไขว้หลังอยู่ข้างกายเซี่ยโห้วหลงเฉิง ยืนตรงข้ามกับชายรูปร่างผอมสูงคนก่อนหน้านี้
เมื่อเห็นเขาปรากฏตัว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เกาศีรษะอย่างอึดอัดนิดหน่อย เพราะคนที่มาคือเซี่ยโห้วหู่เฉิง น้องชายของเขาเอง
ชายรูปร่างผอมสูงแสยะยิ้ม “งั้นก็ต้องถามว่าพี่ชายเจ้าคิดจะทำอะไร ไม่น่าเชื่อว่าเขาคิดจะค้นตัวเมียของท่านโหวเทียนหยวน ถ้าเจ้าคิดว่าพวกเราผิดที่ห้ามไว้ งั้นก็เชิญให้พี่ชายที่ปรึกษาท่านนี้ของเจ้าลงมือได้เลย พวกเราจะยืนดูอยู่ข้างๆ ไม่ว่าใครก็อย่าห้าม เดี๋ยวค่อยดูว่าท่านโหวจะไปกราบทูลข้อเท็จจริงต่อหน้าราชันสวรรค์หรือเปล่า!”
“…” เซี่ยโห้วหู่เฉิงพูดไม่ออก กวาดสายตามองตรงนั้นรอบหนึ่ง แล้วค่อยๆ หันกลับมามองพี่ใหญ่ของตัวเอง ไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำอย่างไรดี
เป็นพี่น้องแท้ๆ ใครบ้างจะไม่รู้จักนิสัยกันดี เขารู้ดีที่สุดว่าพี่ใหญ่คนนี้ของตัวเองมีนิสัยเป็นอย่างไร เป็นคนหยาบที่เจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ จะต้องฉวยโอกาสนี้ล้างแค้นเรื่องที่ดาวเทียนหยวนแน่นอน แต่นี่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของข้านะ เจ้าอยากจะก่อเรื่องแต่ก็ต้องแยะแยะคนด้วยสิ ท่านโหวที่สามารถเข้าร่วมประชุมขุนนางที่ตำหนักสวรรค์ได้ ใช่คนที่เจ้าจะไปแตะต้องซี้ซั้วได้เหรอ? ถ้าเจ้าไปลูบคลำเมียของเขาจริงๆ ถึงตอนนั้นต่อให้มีเหตุผลก็จะกลายเป็นไม่มีเหตุผล ตระกูลเซี่ยโห้วเสียหน้าให้คนคนนี้ไม่ไหว
ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ใหญ่ท่านนี้ ที่จริงเขาก็รู้สึกผิดอยู่บ้างเหมือนกัน สองพี่น้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่พี่ใหญ่คนนี้พึ่งพาไม่ได้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดคือสมองใช้งานได้ไม่ค่อยดี ด้วยเหตุนี้ทรัพยากรฝึกตนที่ควรจะเป็นของพี่ใหญ่จึงเอนเอียงมาที่เขา เดิมทีถ้าอิงตามลำดับการสนับสนุนจากตระกูล ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอิงตามลำดับอาวุโส แต่พอแม่เห็นว่าประคองพี่ใหญ่ไม่ไหวแล้ว บอกพี่ใหญ่มาตั้งแต่เด็กๆ ว่าให้พี่ชายยอมถอยให้น้องชาย รอให้ในอนาคตน้องชายประสบความสำเร็จ น้องชายถึงจะมาดูแลเจ้าได้
ดังนั้นพี่ใหญ่ท่านนี้จึงมีวรยุทธ์ต่ำกว่าตนสามขั้น นอกจากให้ทรัพยากรที่จำเป็นบางอย่าง ตระกูลก็แทบจะไม่ให้ทรัพยากรฝึกตนอย่างอื่นกับพี่ใหญ่เลย ใช้ชีวิตจนๆ มาตลอด เขาตั้งใจจะแอบสนับสนุนบ้างนิดหน่อย แต่พี่ใหญ่ฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กจนชิน จึงไม่รับไว้ บอกว่ามีพี่ใหญ่ที่ไหนที่มาขอของจากน้องชาย บอกให้เขาเก็บไว้ใช้เอง บอกว่าถ้าน้องชายคนนี้ประสบความสำเร็จแล้ว พี่ชายคนนี้จะได้อาศัยบารมี
ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่ง่ายเลยกว่าพี่ใหญ่จะได้หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรงมา นั่นเป็นรายได้ก้อนใหญ่มาก เพียงพอสำหรับให้พี่ใหญ่ไว้ใช้ในอนาคต จะได้ไม่ต้องคอยพึ่งพาตระกูลให้โดนดูถูก แต่ก็เพราะว่าเป็นรายได้ก้อนใหญ่ ปรากฏว่าโดนตระกูลเก็บไปเป็นของส่วนกลางหมด โดยให้เหตุผลว่าตระกูลมีคนต้องเลี้ยงดูมากมาย ถ้าไม่ทำแบบนี้ แล้วตระกูลจะหาแหล่งทรัพยากรจากไหนมาเลี้ยงลูกหลานในตระกูลเหมือนที่เลี้ยงเซี่ยโห้วหลงเฉิง พี่ใหญ่มีมีทางเลือก ทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม มอบให้ส่วนกลางแต่โดยดี
ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องแบบนี้ เซี่ยโห้วหู่เฉิงก็รู้สึกโมโหในใจ แต่เขาก็ไม่สามารถท้าทายกฎของตระกูลได้ ดังนั้นเวลาที่พี่ใหญ่คนนี้มีเรื่องจำเป็นอะไร เขาก็จะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ก่อนหน้านี้เซี่ยโห้วหลงเฉิงจะถูกจับย้ายไปรับตำแหน่งที่นั่นที่นี่จนทั่วได้อย่างไร
“พี่ใหญ่ เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่?” เซี่ยโห้วหู่เฉิงถ่ายทอดเสียงถาม
เมื่ออยู่ต่อหน้าน้องชายคนนี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ถ่ายทอดเสียงตอบอย่างซื่อสัตย์แล้ว เขาต้องการระบายความโกรธกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่ดาวเทียนหยวน
รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เซี่ยโห้วหู่เฉิงแอบถอนหายใจ แต่ก็ยังหันกลับมากล่าวเสียงราบเรียบกับทุกคนว่า “ไม่ว่าจะยังไง ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษา การตรวจสอบให้ละเอียดไม่ใช่เรื่องผิด แค่ตรวจสอบสักหน่อยว่ามีป้ายคำสั่งที่ได้รับอนุญาตให้เขามาหรือเปล่า คงไม่ผิดหรอกมั้ง? ถ้าไม่ให้ตรวจสอบแม้แต่สิ่งนี้ ก็จะฟ้งไม่ขึ้นแล้ว” เขากำลังทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก
เมื่อเขาพูดมาแบบนี้ โค่วเหวินหลานกับปี้เยว่ฮูหยินก็ต่างคนต่างแสดงป้ายคำสั่งที่อนุญาตให้เขามา
เซี่ยโห้วหู่เฉิงบอกใบ้ให้พี่ใหย่ตรวจสอบสักหน่อย หลังจากแน่ใจว่าไม่มีปัญหา ก็หาข้ออ้างว่ามีธุระต้องจัดการต่อ แล้วดึงเซี่ยโห้วหลงเฉิงออกมาเสียเลย ถือว่าหาบันไดลงให้พี่ชายตัวเอง
ในขณะนี้แล้ว โค่วเหวินหลานถึงได้กุมหมัดคารวะ “พี่สาม พี่หญิงห้า” แล้วก็หันไปแนะนำให้ปี้เยว่ฮูหยินรู้จัก “ฮูหยิน นี่คือโค่วเหวินหวงพี่สามของข้า นี่คือโค่วเหวินชิงพี่หญิงห้าของข้า”
จากนั้นก็แนะนำปี้เยว่ฮูหยินให้ลูกพี่ลูกน้องของเขารู้จัก พี่ชายกับน้องสาวคู่นี้ย่อมพูดกับปี้เยว่ฮูหยินอย่างสุภาพว่าฝากเนื้อฝากตัวน้องชายด้วย แล้วก็พูดคุยปราศรัยกันตามมารยาทอีกไม่กี่คำ
หลังจากโค่วเหวินหวงกับโค่วเหวินชิงออกไปแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็หันกลับมาบอกว่า “เจ้าควรจะติดต่อทางหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อยดีมั้ย ดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” ตอนนี้นางเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้
โค่วเหวินหลานจึงนำระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้ทันที บอกว่า : ข้ากับปี้เยว่ฮูหยินมารอเจ้าอยู่ตรงจุดสุดท้ายของการทดสอบแล้ว สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?
อีกด้านหนึ่ง เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เพิ่งออกไปกลับถ่ายทอดเสียงบอกเซี่ยโห้วหู่เฉิงว่า “แม่งเอ๊ย เจ้ารอง เรื่องของข้าเจ้าเองก็ได้ยินแล้ว ไอ้ตุ้งติ้งนั่นมันมาที่นี่ได้ แสดงว่าลูกน้องของมันยังไม่ตาย เจ้ารอง เจ้าดูหน่อยสิ ถ้าหากสะดวก ให้ลูกน้องของเจ้าลงมือสักหน่อย จัดการสวีถังหรานลูกน้องตุ้งติ้งให้ตาย ไอ้ชาติหมานั่นมันกล้าซ้อมข้า ถ้าไม่ได้ระบายความโกรธนี้ข้าคงเก็บกดจนเป็นทุกข์!”
เซี่ยโห้วหู่เฉิงลังเลนิดหน่อย
เมื่อเซี่ยโห้วหลงเฉิงเห็นปฏิกิริยาของเขา ก็ลองถามหยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียกทันที “ไม่สะดวกเหรอ? ถ้ามันทำให้เจ้าเสียงาน งั้นก็ช่างเถอะ เรื่องของข้าไม่สำคัญหรอก เรื่องของเจ้าสำคัญกว่า เดี๋ยวตอนหลังข้าค่อยไปคิดบัญชีกับเขาก็ได้” แม้แต่ตอนพูดแบบนี้ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ เขาเข้าใจหลักการนี้มาตั้งแต่เด็ก เรื่องของน้องชายต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องของตนต่อให้ใหญ่แค่ไหนก็ต้องหลีกทางให้น้องชาย ในอนาคตตนต้องพึ่งพาอาศัยน้องชายคนนี้ นี่คือคำพูดที่พ่อแม่ปลูกฝังเข้ากระดูกเขามาตั้งแต่เด็กๆ
“ไม่เป็นไร เป็นเรื่องที่ต้องถือโอกาสทำอยู่แล้ว ต่อให้ข้าไม่บอกลูกน้องข้าก็จะลงมือ อย่าว่าแต่สวีถังหรานอะไรนั่นเลย พวกเขาต้องจัดการลูกน้องของโค่วเหวินหลานทิ้งให้หมดอยู่แล้ว” เซี่ยโห้วหู่เฉิงหยิบระฆังดาราออกมาทันที
เซี่ยโห้วหลงเฉิงลองถามหยั่งเชิงว่า “ต้องกำจัดทิ้งทั้งหมดเลยเหรอ? ปล่อยคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อไปสักครั้งได้มั้ย?”
เซี่ยโห้วหู่เฉิงได้ยินแล้วแปลกใจ “หนิวโหย่วเต๋อ? พี่ใหญ่ เจ้าคนนี้ข้าก็เคยได้ยินชื่อมาก่อน ท่านมีเรื่องกับเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงถอนหายใจแล้วตอบว่า “จะพูดยังไงดีล่ะ? ที่จริงก็จะโทษเขาไม่ได้หรอก เขากับสมาคมวีรชนมีความขัดแย้งกัน เจ้าเองก็รู้ว่าข้าชอบหวงฝู่จวินโหรว ดังนั้นข้าต้องยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับหวงฝู่จวินโหรว เขาเองก็หมดหนทางเลยต้องไปขอพึ่งพิงโค่วเหวินหลาน ที่จริงตอนหลังเขายังเคยแอบยื่นมือให้ความช่วยเหลือข้าลับหลังโค่วเหวินหลานด้วย”
“พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ว่าท่านนะ ข้าเคยบอกท่านหลายไปครั้งแล้ว ว่าทางที่ดีอย่าไปแหยมกับคนของสมาคมวีรชน ท่านกับหวงฝู่จวินโหรวไม่เหมาะกันจริงๆ ในใต้หล้ามีผู้หญิงตั้งมากมาย ท่านต้องการแบบไหนก็มีหมด เพื่อหวงฝู่จวินโหรวคนเดียว ท่านเสียหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำไปเปล่าๆ แถมท่านยังโดนตระกูลทำโทษด้วย มันคุ้มกันเหรอ? เดิมทีถ้าได้หุ้นมาสี่ส่วน ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ยังพอช่วยเก็บไว้ให้ท่านได้สักส่วนหนึ่ง ถึงอย่างไรท่านก็เป็นคนหามาได้ เมื่อได้ของมาเยอะๆ ให้ท่านเก็บไว้ส่วนหนึ่งก็ยังพอฟังขึ้น แต่ดูผลที่ได้สิ ท่านสร้างผลงานใหญ่ให้ตระกูลแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นเรื่องที่ต้นดีปลายร้าย สุดท้ายกลับกลายเป็นท่านที่ทำผิด น่าเสียดายมั้ยล่ะ? มีบางครั้งที่ข้าอยากจะฆ่าหวงฝู่จวินโหรวนั่นทิ้งจริงๆ!” เซี่ยโห้วหู่เฉิงทำท่าเหมือนเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้
เซี่ยโห้วหลงเฉิงอับอาย แล้วกล่าวดว้ยท่าทางว่านอนสอนง่าย “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น เจ้าคิดว่าทำยังไงแล้วเหมาะสมเจ้าก็ทำไป ขอแค่ไม่ทำให้เจ้าเสียการเสียงานก็พอ”
“ข้า…” พอเห็นเขาทำท่าทางแบบนี้ เซี่ยโห้วหู่เฉิงก็กล่าวคำสั่งสอนไม่ออกแล้ว ‘ความรู้สึก’ บางครั้งสิ่งนี้ก็มักจะทำให้คนลำบากใจ รวมทั้งความรู้สึกระหว่างพี่น้องแบบเลือดข้นกว่าน้ำ…
ณ ดาวสองขั้ว หลังจากติดต่อกับโค่วเหวินหลานแล้ว เหมียวอี้ที่เก็บระฆังดาราก็ถอนหายใจยาว เขาวางสองเท้าลงจากเตียง เดินออกไปนอกถ้ำ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์กล่าวเสียงดังก้องว่า “เวลาเหลือไม่มากแล้ว ควรจะออกเดินทางแล้ว!”
ผ่านไปไม่นาน มู่หรงซิงหัว สวีถังหราน ปานเยว่กงและฮูหยินรวมทั้งหวงเสี้ยวเทียนก็ออกมาหมด
เหมียวอี้มองทั้งสองคน พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บัญชาการใหญ่มารออยู่ที่ทางเข้าประตูดวงดาวของน่านฟ้าขาลติงแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินมาด้วยตัวเอง ลองคำนวณเวลาดูคร่าวๆ เดินทางตอนนี้ก็จะถึงพอดี รอให้พวกเราไปถึง เวลาของการทดสอบก็น่าจะจบแล้ว ถ้าออกเดินทางเร็วไป เดี๋ยวค่อยไปถ่วงเวลาเอาระหว่างทางก็ได้ สรุปก็คือต้องมุ่งตรงไปจบเรื่องที่จุดหมายปลายทาง”
มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานเริ่มตึงเครียดในใจ ที่จริงยิ่งเข้าใกล้จุดจบมากเท่าไร ทั้งสองก็ยิ่งกังวลมากเท่านั้น เวลาหนึ่งปีสุดท้ายนี้ค่อนข้างทรมาน
เหมียวอี้มองไปที่สามคนข้างหลังอีก “ทั้งสามคน พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว ได้มาอยู่ด้วยกันร้อยปี มิตรภาพประเมินราคามิได้ ขอกล่าวอำลากันตรงนี้! รอให้สถานที่ไร้ชีวิตเลือกปิดทางเข้าออก ขอเพียงพวกเราสามคนยังไม่ตาย พวกเจ้าทั้งสามก็ไปเยี่ยมที่ดาวเทียนหยวนได้ ข้าจะเลี้ยงต้อนรับอย่างดีแน่นอน”
ปานเยว่กงถอนหายใจ แล้วบอกว่า “จะว่าไปก็ขอโทษด้วย พวกเราสองสามีภรรยาช่วยเหลือเจ้าได้ไม่เท่าไรเลย”
เหมียวอี้ยกมือห้าม “จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้าสองคนลงมือช่วย ปีศาจจิ้งจอกหงเชียนเชียนคงหนีผ่านเส้นทางลับไปแล้ว แล้วอีกอย่าง โลกมนุษย์ไม่มีเรื่องอะไรแน่นอน เรื่องราวในตอนหลังจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ เจ้าเข้ามาช่วยพวกเราตั้งแต่แรก ก็ถือว่าช่วยพวกเราได้มากที่สุดแล้ว ทั้งยังติดตามปกป้องอีกร้อยปี จะบอกว่าไม่ได้ช่วยเหลือได้อย่างไร?”
…………………………………………