พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1032 การปล้นฆ่าฉากแรก
เขาต้องการจะพูดแบบนี้ จะจดจำน้ำใจนี้ให้ได้ ปานเยว่กงยังจะพูดอะไรได้อีก
สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วต่างคนต่างหยิบเกราะรบที่เหมียวอี้มอบให้ออกมา ใช้สองมือยื่นคืนให้ ปานเยว่กงบอกว่า “คืนของให้เจ้าของ!”
“หลังจากการทดสอบจบลง เจ้าเก็บเกราะรบนี้ไว้จะไม่เหมาะสมจริงๆ” เหมียวอี้นำเกราะทองกลับมาจากมือชิงเหมย แต่กลับผลักเกราะรบผลึกแดงที่ปานเยว่กงยื่นให้กลับไป “เกราะชุดนี้เจ้าเก็บไว้เถอะ”
“ข้าได้ยินผู้บัญชาการสวีบอกว่า เกราะรบชุดนี้ ผู้บัญชาการใหญ่โค่วมอบให้พวกเจ้าใช้เพื่อเข้าร่วมทดสอบ หลังจากจบเรื่องนี้อาจจะต้องคืนกลับไป” ปานเยว่กงกล่าว
เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าข้ารบตาย เขาก็เก็บกลับไปไม่ได้อยู่ดี ถ้าข้ารอดชีวิตกลับไปได้ เขาคงไม่ถึงขั้นคิดเล็กคิดน้อยกับของชิ้นเดียว เก็บไว้เถอะ” จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงบอกสองสามีภรรยาทันที “พวกเจ้าอย่าเพิ่งกลับไปที่ป่าลืมทุกข์ หลังจากพวกเราออกไปแล้ว พวกเจ้าสองคนก็หาที่ซ่อนตัวสักแห่ง รอฟังข่าวจากข้า ถ้าข้าสามารถรอดชีวิตกลับไปได้ จะต้องช่วยชิงเหมยพลิกคดีอย่างเต็มกำลังแน่นอน แต่ถ้าข้ารอดชีวิตกลับไปไม่ได้ ทั้งสองก็หาลู่ทางกันเองแล้วกัน ถือเสียว่าเกราะรบชุดนี้เป็นของที่ระลึก”
สองสามีภรรยาเงียบงัน ปานเยว่กงเก็บเกราะรบกลับไปเงียบๆ
มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานสบตากันโดยจิตใต้สำนึก จะมอบให้จริงๆ เหรอ? ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเขา เกรงว่าคงไม่มอบของราคาแพงแบบนี้ให้แน่
บางทีอาจจะเป็นเพราะสภาพจิตใจต่างกัน มู่หรงซิงหัวมองไปที่เหมียวอี้อีกครั้ง ในใจแอบถอนหายใจ เป็นผู้ชายเหมือนกัน ทำไมมีความแตกต่างกันขนาดนี้!
“หวงเสี้ยวเทียน ข้าพูดคำไหนคำนั้น เจ้าเป็นอิสระแล้ว!” จู่ๆ เหมียวอี้ก็ตะโกนบอกหวงเสี้ยวเทียน
“เหอะๆ!” ตาแก่หวงหัวเราะเห็นฟัน แล้วกุมหมัดกล่าวว่า “ขอให้ผู้บัญชาการทั้งสามเดินทางปลอดภัย ประสบความสำเร็จ! เมื่อถึงเวลานั้นตาแก่คนนี้ค่อยไปดื่มสุราที่ดาวเทียนหยวนสักจอก”
“ขอให้เป็นมงคลตามปากเจ้า!” เหมียวอี้พยักหน้าแรงๆ “ลาก่อน!”
พูดจบก็เรียกเดรัจฉานสับปลับออกมา แล้วตัวเองก็พุ่งขึ้นฟ้า เดรัจฉานสับปลับคำรามแล้วไล่ตามขึ้นไป แล้วพาเขาแบกฝ่าชั้นบรรยากาศออกไป
มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานก็ตามไปติดๆ ตอนมามู่หรงซิงหัวเป็นหัวหน้า แต่ตอนไปสถานการณ์กลับเปลี่ยนผัน ทั้งสองให้เหมียวอี้เป็นหัวหน้าไปโดยปริยาย คนบางคนเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำมาตั้งแต่กำเนิด
ปานเยว่กงและภรรยาที่ยืนอยู่ข้างล่างกุมหมัดคารวะพร้อมหวงเสี้ยวเทียน คอยส่งจากที่ไกลๆ
จนกระทั่งเงาคนหายไปจากท้องฟ้าอันกว้างใหญ่แล้ว ทั้งสามถึงได้วางมือลง จากนั้นก็มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา
“พี่โหย่วไฉ วันนี้ท่านกับฮูหยินมีแผนจะทำอะไรต่อ?” หวงเสี้ยวเทียนถาม
ปานเยว่กงตอบว่า “ขี้คร้านจะเพ่นพ่านไปทั่ว อยู่รอฟังข่าวที่นี่ต่อเสียเลย เจ้าล่ะ?”
หวงเสี้ยวเทียนบอกว่า “ก็ได้ ตามสะดวกพวกท่านแล้วกัน” ขณะที่พูดก็กางแขนสองข้างพร้อมบิดเอว “ในที่สุดก็เป็นอิสระแล้ว จะหลับให้สบายสักหน่อย” พูดจบก็หันตัวเดินเข้าถ้ำไป
ที่จริงเขาคือคนที่ไร้ความกดดันที่สุด ไม่ว่าพวกเหมียวอี้จะแพ้หรือจะชนะ ก็ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเขาเท่าไร แต่เขาหวังว่าพวกเหมียวอี้จะรอดชีวิตกลับไป ไม่แน่ว่าสวีถังหรานอาจจะรักษาสัญญา ช่วยหาร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ให้เขาสักร้านก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นทั้งชีวิตนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องกินเรื่องอยู่แล้ว…
“ฮูหยิน นายท่านผู้คุมมาแล้ว”
“อ้อ!” ปี้เยว่ฮูหยินที่นอนตะแคงอยู่บนเตียงที่ปูด้วยพรมพลิกตัวลงมา แล้วรีบเดินไปที่ปากถ้ำ ถามว่า “เป็นท่านไหน?”
ไม่ได้มีเจตนาอื่น แค่อยากจะเห็นว่าผู้คุมที่รับผิดชอบเรื่องนี้คือใคร ในเมื่อมาแล้ว ได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน
โค่วเหวินหลานชี้ไปบนท้องฟ้าไกลๆ ชี้ตรงตำแหน่งทางเข้าประตูดวงดาวของน่านฟ้าขาลติง ตรงนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งล้อมอยู่ เหมือนกำลังสอบถามอะไรสักอย่าง “คนที่สวมหมวกอยู่ในกลุ่มนั้น”
โดนคนบังจึงมองเห็นไม่ชัด ขณะที่ปี้เยว่ฮูหยินกำลังหันซ้ายหันขวา กลุ่มคนบนท้องฟ้าก็พลันสลายตัว คนกลุ่มนั้นพลันถลันวูบลงมาบนพื้น
ผู้ที่นำหน้ามาใบหน้าขาวหมดจด รูปหน้าเรียวยาว คลุมผ้าสีดำที่ไหล่ สวมหมวกสูงสีดำ สีหน้าเย็นเยียบน่ากลัว เดินก้าวยาวไปยังตำหนักที่ขุดสร้างไว้ชั่วคราว กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังสาวเท้าเดินตาม
“คนคนนี้เป็นใคร?” ปี้เยว่ฮูหยินถ่ายทอดเสียงถาม
“ทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์ ชื่อเกาก้วนขอรับ” โค่วเหวินหลานตอบ
ปี้เยว่ฮูหยินได้ยินแล้วร้องอ๋อ นางเคยได้ยินสามีตัวเองเอ่ยถึงเหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนคนนี้ ทูตซ้ายและทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์ ถึงแม้จะไม่มีอำนาจเป็นกำลังพล แต่ขอบเขตอำนาจกลับมีไม่น้อย สามารถลาดตระเวนตรวจสอบแทนตำหนักสวรรค์ไปทั่วทิศ ถ้าเจอคนที่ทำผิดกฎสวรรค์ สามารถประหารก่อนแล้วค่อยรายงานขึ้นไป!
ทูตขวาตรวจการเกาก้วนที่เดินก้าวยาวมาถึงหน้าตำหนัก จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้า แล้วพลิกป้ายคำสั่งออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วยื่นให้คนที่อยู่ข้างหลัง พร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “ถึงเวลาแล้ว ยุติเรื่องเถอะ สามารถจบการทดสอบได้แล้ว! คนที่ยังไม่มาเมื่อครอบกำหนดเวลา ต้องรับโทษตามกฎ!”
ที่บอกว่า ‘คนที่ยังไม่มาเมื่อครอบกำหนดเวลา’ ก็หมายถึงคนที่ไม่ได้กลับมาภายในสิบวันที่การทดสอบจบลง คนประเภทนี้อาจจะตายไปแล้ว ถ้าตายแล้วก็ย่อมไม่ต้องซักถามเอาความต่อ แต่ถ้ายังไม่ตายก็แสดงว่ามัวหลบซ่อนเพราะหวาดกลัว คนประเภทนี้ย่อมไม่มีอะไรให้ต้องเกรงใจอยู่แล้ว
“รับทราบ!” ผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหันตัวโบกมือ มีคนไปเตรียมตัวบนที่ราบหน้าตำหนักทันที
“คนคนนั้นคือพ่อบ้านทที่รับผิดชอบการทดสอบครั้งนี้ ชื่อจุยหย่วน” โค่วเหวินหลานแนะนำคนที่กำลังออกคำสั่งให้ปี้เยว่ฮูหยินรู้จักอีก
ปี้เยว่ฮูหยินเอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง พบว่าเจ้าคนนี้เปลี่ยนนิสัยไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เวลาทำงานก็เอาอกเอาใจมาก ผู้ใต้บังคับบัญชาแบบนี้ถูกใจนางมาก
เกาก้วนเดินขึ้นบันไดหน้าตำหนักไปแล้ว ชุดคลุมสะบัดปลิวตามสายลมขณะหันตัวมาหาทุกคน หลังจากผู้ติดตามทางซ้ายและขวาย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางข้างหลัง เกาก้วนก็นั่งลงช้าๆ แล้วกวาดสายตาเย็นเยียบมองกลุ่มคนที่มาดูเอาสนุก
บนที่ราบด้านล่างตำหนัก จานกลมโลหะใบหนึ่งถูดจัดวางไว้แล้ว พอจุยหย่วนก้าวขึ้นมาร่ายอิทธิฤทธิ์เปิดใช้งานเครื่องมือชิ้นนี้ บนนั้นก็ปรากฏจุดสีขาวจำนวนมากมายทันที เป็นตราอิทธิฤทธิ์ที่เหมียวอี้และคนอื่นๆ ประทับไว้บนเครื่องมือชิ้นนี้ก่อนจะเข้าสู่สนามทดสอบ ตอนนี้สามารถตรวจจับทิศทางการเคลื่อนไหวขอเหมียวอี้และคนอื่นๆ ได้
เมื่อตรวจนับจำนวนจุดสีขาวแล้ว จุยหย่วนก็หันตัวมากุมหมัดคารวะรายงาน “นายท่าน ยังเหลือผู้รอดชีวิตอีกห้าร้อยแปดคนขอรับ!”
ทุกคนได้ยินแล้วพึมพำในใจ ผู้บัญชาการเข้าไปเกือบพันคน ตายไปแล้วสี่ร้อยกว่าคน การจับนักโทษหลบหนีนี้ ไม่รู้ว่าห้าร้อยกว่าคนที่ยังรอดชีวิตจะกลับมาได้อย่างราบรื่นสักกี่คน
เกาก้วนที่นั่งอยู่เบื้องสูงพยักหน้าเบาๆ
จุยหย่วนพลิกฝ่ามือถือป้ายคำสั่งที่เพิ่งได้รับ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์โบนไปบนท้องฟ้า ทำให้ป้ายคำสั่งระเบิดแสงสีรุ้งออกมาทันที กลายเป็นเงามายามังกรรำขนาดยักษ์ตัวหนึ่งอย่างรวดเร็ว มันกำลังบินวนอยู่บนท้องฟ้า บินวนเป็นรูปตัวอักษร ‘คำสั่ง’ ซ้ำๆ เปล่งแสงระยิบระยับ ตัวอักษรใหญ่มาก คาดว่าต่อให้อยู่ไกลมากก็ยังมองเห็น
บทบาทของมันก็ไม่ซับซ้อนเลย คนที่กลับมาจากการทดสอบ เมื่อมองเห็นไกลๆ ก็จะรู้ว่าควรไปรายงานผลการปฏิบัติงานตรงไหน
เมื่อมีคำสั่งนี้ออกมา ก็หมายความว่าการทดสอบหนึ่งร้อยปีจบลงแล้วจริงๆ
และแทบจะชั่วพริบตาเดียวกับที่ป้ายคำสั่งปรากฏออกมา สายตาของทุกคนก็มองไปทางท้องฟ้าไกลๆ อย่างรวดเร็ว แต่ละคนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง เห็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าระเบิดเป็นฝุ่นควันออกมา มีหญิงชายสามคนพุ่งออกมาจากในนั้น ขี่สัตว์เทพเหาะออกมา เรียกได้ว่าหลบหนีออกมาแบบไม่คิดชีวิต
สงสัยจะมีคนซุ่มรออยู่แถวๆ นี้นานแล้ว แค่รอให้การทดสอบจบลง เห็นสภาพที่สามคนนั้นหนีไม่คิดชีวิต เหมือนตระหนักได้ถึงอันตรายบางอย่างแล้ว
คนที่อยู่ในเหตุการณ์มองอย่างใจจดใจจ่อ หนึ่งในนั้นปรบมือโห่ร้อง “ดีๆ!”
ปี้เยว่ฮูหยินหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นคนคนนั้นทำท่าทางตื่นเต้นดีใจไม่หยุด ไม่ต้องเดาแล้ว คนที่หนีมาจะต้องเป็นคนของเขาแน่นอน
จู่ๆ ก็เห็นคนคนนั้นน้ำเสียงเปลี่ยน ร้องบอกอย่างร้อนใจว่า “เร็วๆๆๆ!”
สถานการณ์พลิกผัน ในชั่วพริบตาเดียวก็มีคนแปดคนพุ่งออกมาจากกาวเคราะห์อีกแห่งหนึ่ง ขี่สัตว์เทพเหมือนกัน กำลังเร่งไลล่าสามคนนั้น ทว่าระยะห่างก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าอยากจะตามให้ทันก็เหมือนจะสายไปหน่อย
แต่ที่แปลกประหลาดก็คือ จู่ๆ ก็มีเงาสีเขียวกลุ่มหนึ่งระเบิดบนท้องฟ้า ราวกับเป็นดอกไม้ที่เบ่งบาน กิ่งก้านสาขานับไม่ถ้วนแผ่ขยายออกมา ม้วนเข้ามาขวางสามคนที่หนีกลับมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน สามคนที่สวมเกราะรบตกใจมาก ชั่วพริบตาเดียวก็ตกอยู่ในวงล้อมกิ่งก้านสาขานับไม่ถ้วนนั้นแล้ว
เสียงต่อสู้สะเทือนเลือนลั่นที่มาพร้อมคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ดังขึ้นทันที เห็นเพียงแสงไฟสว่างวาบอยู่ท่ามกลางเถาวัลย์นับไม่ถ้วน เห็นได้ชัดว่าคนที่ล้อมอยู่ในนั้นใช้ไฟโจมตี จนกระทั่งโจมตีจนเกิดรูไหม้และพุ่งตัวออกมา ทว่าสุดท้ายก็ถูกถ่วงความเร็วลงเล็กน้อย โดนแปดคนนั้นล้อมเอาไว้คาที่ แล้วทั้งสองฝ่ายก็พุ่งเข้าเข่นฆ่ากันทันที
ในบรรดาแปดคนนั้น ชายสวมเกราะรบที่เป็นหัวหน้าดูหล่อเหลาไม่ธรรมดา ใบหน้างดงามดุจหยกบนหมวก ปากแดงราวกับทาเครื่องประทินโฉม ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปด ควบขี่สัตว์คลั่งเกล็ดมังกร ในมือถือทวนยาว บุกเดี่ยวมาขวางหน้าสามคนที่พุ่งฝ่าวงล้อมออกมา คนคนนี้เหมือนเป็นปีศาจแมงมุม ข้างหลังระเบิดกิ่งก้านสาขาออกมนับไม่ถ้วน ราวกับมีแขนเป็นพันเป็นหมื่นคอยช่วยเหลือ สู้แบบหนึ่งต่อสามอย่างสบายๆ ดักให้ทั้งสามกลับมาม้วนกลิ้งพัวพันอยู่ในรังเถาวัลย์
ส่วนเจ็ดคนที่อยู่ข้างหลังเขาก็ขี่สัตว์เทพมาคุมเชิงอย่างไร้กังวล แต่ก็ไม่ได้ลงมือ
เป็นอย่างที่คาดไว้ ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว ในรังเถาไม้ขนาดใหญ่ที่กลิ้งม้วนก็สังหารติดต่อกันจนมีเสียงกรีดร้องสามครั้ง ผ่านไปไม่นาน เถาไม้ที่เลื้อยและถักทอออกมาราวกับรังนกก็กดกลับมาอีก มันบางตาลงอย่างรวดเร็ว หดกลับเข้าไปในร่างกายของหนุ่มรูปงามคนนั้นภายในชั่วพริบตาเดียว
ตอนนี้ทุกคนถึงได้เข้าใจ ว่าคนคนนี้คงจะเป็นปีศาจต้นไม้
ในตอนนี้ไม่เห็นคนอีกสามคนแล้ว เห็นเพียงเขาคนเดียวที่ขี่สัตว์เทพเหาะวนบนท้องฟ้า ราวกับกำลังแสดงอานุภาพ
“ดี! ชิงอวี้หลาง กลับไปข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม!”
ท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่บนพื้น จู่ๆ ก็มีชายสวมเสื้อแพรคนหนึ่งกางแขนตะโกนร้องอย่างตื่นเต้นดีใจ
คนที่โห่ร้องดีใจคนแรก เดิมทีหน้าม่อยคอตก ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็พลันมองมาทันที ชี้มาทางนี้พร้อมตะโกนอย่างเดือดดาล “อิ้งเหยา ที่แท้ก็เป็นคนของเจ้านี่เอง การทดสอบจบลงแล้ว เหตุใดมาปล้นฆ่าคนของข้าที่นี่”
ชายเสื้อแพรที่ชื่ออิ้งเหยายิ้มบางๆ แล้วตอบกลับเสียงเรียบว่า “ข้าจะไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เหมือนการทดสอบจะไม่ได้กำหนดกฎนี้ไว้นะ”
คนคนนั้นโมโหแล้ว พุ่งฝ่าฝูงชนออกมา แล้วกุมหมัดคารวะต่อเกาก้วนที่นั่งอยู่เบื้องสูง “นายท่านผู้คุมคอยนั่งรักษาการณ์อยู่ที่นี่ เหตุใดจึงนิ่งดูดาย!”
คำพูดนี้ทำให้คนไม่น้อยได้ยินแล้วแอบทอดถอนใจ การทดสอบได้กำหนดหมายเหตุไว้บนกติกาตั้งนานแล้ว ถามแค่ผลลัพธ์ ดูแค่คะแนน ที่เหลือก็ต่างคนต่างอาศัยวิธีการของตัวเอง ถ้ามัวแต่จำกัดนั่นจำกัดนี่ แล้วตระกูลที่มีอำนาจนาจใหญ่โตพวกนั้นจะอาศัยอะไรมาช่วงชิงอันดับดีๆ ล่ะ เดิมทีกฎก็ถูกตั้งขึ้นโดยผู้ที่แข็งแกร่งกว่าอยู่แล้ว มิหนำซ้ำ…ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือตำหนักสวรรค์ไม่แยแสที่จะสิ้นเปลืองกำลังอำนาจของแต่ละตระกูล เรื่องบางอย่างก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว ทำไมต้องเปิดโปงหาเรื่องใส่ตัวด้วยล่ะ
ในเมื่อมีคนถามแล้ว เกาก้วนเองก็ไม่อาจนิ่งดูดาย ถามว่า “ใครกันมาโวยวายอยู่ข้างล่าง?”
คนคนนั้นกุมหมัดตอบว่า “ซีเหมินจวิ้นคำนับนายท่านผู้คุม!”
โค่วเหวินหลานเห็นปี้เยว่ฮูหยินมองมาด้วยแววตาสอบถาม จึงถ่ายทอดเสียงตอบทันทีว่า “หลานชายของจอมพลซีเหมิน”
ปี้เยว่ฮูหยินเข้าใจทันที ล้วนเป็นคนที่มีประวัติภูมิหลังทั้งนั้น มิน่าล่ะถึงกล้าโวยวายต่อหน้าทูตขวาตรวจการ
หลังจากเกาก้วนได้ฟัง ก็เอียงศีรษะเล็กน้อย “ไปถามซิว่าเรื่องเป็นอย่างไร”
ข้างๆ มีคนถลันตัวเข้าไปทันที มาถามอยู่ข้างกายชิงอวี้หลาง ตอนที่กลับมาอีกครั้ง ก็รายงานว่า “ชิงอวี้หลางนั่นบอกว่า ก่อนหน้านี้สามคนนั้นเพิ่งแย่งนักโทษที่พวกเขาจับได้ไป ตอนนี้ก็แค่แย่งกลับมาเท่านั้นเอง ใครจะคิดว่าพวกเขาจะสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เขาจำเป็นต้องปกป้องตัวเองโดยการฆ่าพวกเขาทิ้ง”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา อิ้งเหยาที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนก็หลุดหัวเราะ มองไปทางชิงอวี้หลางด้วยสีหน้าชื่นชม ช่างเป็นหน้าเป็นตาให้ตนจริงๆ!
“เหลวไหล!” ซีเหมินจวิ้นเดือดแล้ว “อาศัยความสามารถของพวกเขา คนของข้าจะไปแย่งของของพวกเขาได้ยังไง!”
เมื่อเห็นชายคนนี้ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี เกาก้วนก็สีหน้าขรึมลงเล็กน้อย “ใครก็ได้! มาเอาตัวคนที่แหกปากไปเฆี่ยนยี่สิบที แล้วไล่ออกจากประตูดวงดาวไป!”
มีคนหลายคนถลันเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซีเหมินจวิ้นที่โดนคุมตัวตะโกนเสียงดังทันที “ข้าไม่ยอม! เกาก้วน เจ้ามันตั้งใจลำเอียง ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอม!”
“เฆี่ยนหนึ่งร้อยที!” เกาก้วนกล่าวเสียงหนักแน่น เปลี่ยนความคิดแล้ว
…………………………