พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1033 นิสัยการกินน่าเกลียดเกินไป
ซีเหมินจวิ้นที่ถูกควบคุมตัวกำลังดิ้นรนไม่หยุด เหมือนจะยอมทุ่มสุดตัวแล้ว
แต่ทุกคนก็สามารถจินตนาการได้ ลูกน้องตายหมดเกลี้ยง ทั้งยังจับนักโทษหลบหนีกลับมาไม่ได้สักคน อานาคตในตระกูลซีเหมินแทบจะจบเห่แล้ว ซีเหมินจวิ้นคนที่ใจเย็นไม่ไหวแบบนี้จะไม่บ้าได้อย่างไร
เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ยืนอยู่ข้างบันไดตำหนักสะเทือนใจกับฉากนี้เป็นพิเศษ เข้าใจความรู้สึกของซีเหมินจวิ้นเป็นอย่างดี ตอนนั้นเขาก็ทุ่มสุดตัวเหมือนกัน เขาพุ่งไปฆ่าคนที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของโค่วเหวินหลาน ภาพในอดีตยังติดตาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ในใจเรียกได้ว่าทอดถอนใจไม่หาย
แต่พ่อบ้านจุยหย่วนนับว่าตามีแวว รีบถ่ายทอดเสียงบอกคนที่ควบคุมตัว คนที่ควบคุมตัวจึงรีบลงมือ ฉวยโอกาสระงับตอนที่ซีเหมินจวิ้นกำลังจะแหกปากคำราม ทำให้เขาไม่สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนโวยวายได้อีก เมื่ออยู่บนฟ้าโดยไม่ร่ายอิทธิฤทธิ์ ก็เป็นเรื่องยากที่เสียงจะดังออกมาได้
ก็ช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นซีเหมินจวิ้นทำท่าทางบ้าระห่ำขนาดนี้ ถ้าปล่อยให้พูดทุกอย่างออกมาหมด ถ้ายั่วให้เกาก้วนโมโหจริงๆ เกาก้วนก็สามารถสั่งประหารได้โดยตรง ต้องทราบไว้ว่าตราบใดที่เกาก้วนได้รับคำสั่งให้มาทำงานข้างนอก ก็แปลว่ามีอำนาจในการประหารก่อนแล้วค่อยรายงานความผิด
ถ้าทำให้หลานชายของจอมพลซีเหมินถูกประหารจริงๆ ถึงตอนนั้นสีหน้าของทุกคนคงดูไม่ได้ จุยหย่วนเป็นคนของเกาก้วน รู้จักแยกแยะความสำคัญ ไม่มีทางให้เกาก้วนวางตัวลำบาก
ผ่านไปไม่นาน ซีเหมินจวิ้นที่ถูกคุมตัวไปก็โดนเฆี่ยนจนร้องโอดโอย การลงโทษประเภท ‘แส้พิชิตมังกร’ แบบนี้ เหมียวอี้เคยลิ้มลองรสชาติมาก่อนตอนอยู่พิภพเล็ก บนแส้เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลม แค่โดนเฆี่ยนทีเดียวก็ทรมานจนอยากตายแล้ว
โชคดีที่จุยหย่วนแอบกำชับไว้ ไม่อย่างนั้นถ้าโดนเฆี่ยนหนึ่งร้อยครั้งก็สามารถคร่าชีวิตของซีเหมินจวิ้นได้ สามารถเฆี่ยนจนเขายับเยิน
แต่ถึงแม้แต่เป็นเช่นนี้ สิบชีวิตของซีเหมินจวิ้นก็หายไปแล้วเก้าส่วน แขนขาทั้งสี่โดนเฆี่ยนจนหายไปแล้ว เนื้อที่แผ่นหลังโดนฟาดจนหายไปหมด ฟาดจนกระดูกสันหลังแตกละเอียด สามารถมองเห็นอวัยวะภายใน เป็นลมสลบไป จากนั้นก็โดนลากออกไปแบบนั้น นำไปส่งออกนอกประตูดวงดาวของน่านฟ้าขาลติงโดยตรง เป็นตายอย่างไรไม่รู้
เมื่อมีบทเรียนให้เห็นเป็นตัวอย่าง คนอื่นๆ ก็ทำตัวว่านอนสอนง่ายทันที
บนท้องฟ้า ชิงอวี้หลางสวมเกราะรบผลึกแดงขั้นสูงทั้งตัว นำคนขี่สัตว์เทพวนไปรอบๆ แสดงออกชัดเจนว่าต้องการจะรอดักทุกคนที่รอดชีวิตกลับมา ส่วนตัวเขาเองกลับสามารถมารายงานผลการปฏิบัติงานได้ทุกเมื่อ แบบนี้อาละวาดเกินไปแล้ว อิ้งเหยาย่อมหน้าชื่นตาบาน นี่คือการกุมชัยชนะไว้ในมือ ไม่ให้ดีใจคงไม่ได้
“มารดาเจ้าเถอะ! แบบนี้ก็ได้เหรอ?” โฉวตั้งไห่ที่ดักซุ่มอยู่ไกลๆ บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง เมื่อเห็นฉากนี้แล้วต้องสบถออกมา หันกลับมาบอกทางซ้ายและขวาว่า “หลายปีมานี้ ถ้าขี้ขลาดก็หิวตาย ถ้าใจกล้าก็พุงแตกตายจริงๆ ด้วย ไอ้หมอนี่มันเป็นใครกัน?”
คนทางซ้ายทางขวาค่อนข้างกลุ้มใจ นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าชิงอวี้หลางจะกำเริบเสิบสานขนาดนี้ มาเฝ้าเล่นงานตรง ‘ประตูบ้าน’ เสียเลย
ต่งเฟิงตอบว่า “ข้าว่าเขาทำแบบนี้อาจจะไม่ได้เปรียบก็ได้ คนที่กลับมารายงานผลการปฏิบัติงาน สุดท้ายก็ยังต้องใช้กลยุทธ์จากไกลมาใกล้ ต้องผ่านด่านพวกเราก่อนจึงจะถึงคราวให้เขาตักตวงผลประโยชน์ เมื่อครู่นี้เป็นแค่กรณีพิเศษ”
“พูดได้ถูกต้อง” สื่อเทียนเจวี๋ยพยักหน้า “การี่เขาทำแบบนี้ เกรงว่าจะเป็นการเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองก่อน แบบนี้สิถึงจะสอดคล้องกับความจริง ถ้าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลขึ้นมา จะได้ปลีกตัวออกไปได้ทันที ถึงตอนนั้นยังสามารถทำให้เจ้านายเห็นว่าเขาพยายามเต็มที่แล้ว แต่ว่าสู้ไม่ไหวจริงๆ แบบนี้จะสามารถรายงานผลการปฏิบัติงานได้เสมอ มีทั้งศักดิ์ศรีหน้าตาและแก่นแท้ เจ้าหมอนี่ช่างเจ่าเล่ห์”
โฉวตั้งไห่พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “ข้าย่อมเข้าใจความคิดเจ่าเล่ห์ของปีศาจตนนี้อยู่แล้ว แต่การที่เขาทำแบบนี้ ทหารเล็กๆ ที่ไหนยังจะกล้าโผล่หัวออกมาล่ะ พวกเจ้าดูสิ ตัวอักษร ‘คำสั่ง’ ในตอนจบก็มีออกมาแล้ว ตอนนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อย คาดว่าคงพากันหลบไม่กล้าออกมาเสี่ยงอันตราย”
“ผู้บัญชาการโฉว อดทนรอไว้ก่อนเถอะ ขนาดหนึ่งร้อยปียังผ่านมาได้แล้ว ยังจะกลัวสิบวันนี้อีกเหรอ? เมื่อครอบกำหนดเวลาสิบวัน ทุกคนก็จะโผล่ออกมาหมด” หนานอี้เปียวกล่าว
โฉวตั้งไห่หันกลับมา “ที่กลัวก็คือกลัวว่าตอนหลังจะโผล่ออกมาหมดนี่แหละ ถึงตอนนั้นถ้ากรูกันเข้ามาที่จุดรวมตัวจากทุกทิศทุกทาง พวกเราจะดักได้สักกี่คน? ส่วนใหญ่จะกลายเป็นปลาลอดแหกันหมด! พอเป็นแบบนี้ คงยากที่จะครองอันดับหนึ่งได้อย่างมั่นคง คนอื่นๆ จะจับได้เท่าไรก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ทุกคนได้ยินแล้วพูดไม่ออก
อีกแห่งหนึ่ง ฝานอวี้เฟยที่เอวบางอกอิ่ม ผมยาวปลิวพลิ้วไหวทว่าแบกดาบไว้บนบ่าด้วยท่าทางเผด็จการไร้ที่เปรียบ ตอนนี้นางกลับด่าแม่ “มารดาเจ้าเถอะ ไอ้หนุ่มหน้าขาวนั่นเป็นใคร กำลังเล่นบ้าอะไร เขาเฝ้าอยู่ที่ประตูแบบนี้ จะไม่เป็นการทำให้คนอื่นตกใจจนไม่กล้าโผล่ออกมาหรอกเหรอ?”
นางไม่ได้รู้จักชิงอวี้หลาง ที่จริงทุกคนล้วนต่างที่มา ท้องฟ้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ มีคนมากมายที่ทั้งชีวิตนี้อาจจะไม่ได้เจอหน้ากันเลยสักครั้ง อย่างมากก็เคยเห็นกันครั้งเดียวตอนรวมตัวในปีแรกๆ กับบางคนที่เพิ่งรู้จักกัน อย่างมากก็เคยปะทะกันในเวลาร้อยปีของการทดสอบ ดังนั้นการที่พวกเขาไม่ค่อยรู้จักกันก็เป็นเรื่องปกติมาก ยกตัวอย่างเช่นโฉวตั้งไห่ เขาเองก็ไม่รู้จักนางกับชิงอวี้หลางเหมือนกัน
“ชิงอวี้หลางเล่นบ้าอะไร!” ฮุ่ยชิงเหยียนที่หลบอยู่อีกแห่งอดไม่ได้ที่จะโผล่หัวออกมา พอนางเห็นว่ามีคนหลายคนกำลังมาทางนี้ แต่กลับเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางหนีอย่างกะทันหัน ทำเอาการเตรียมตัวดักล่าครั้งนี้สูญเปล่า เห็นได้ชัดว่าถูกชิงอวี้หลางทำให้ตกใจหนีไปแล้ว
ไม่หนีไม่ได้หรอก พลังของชิงอวี้หลางไม่ได้แย่เลยจริงๆ คนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ตรงจุดรวมตัวต่างก็นำระฆังดาราออกมาเขย่า
เรื่องที่ได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่แต่ละคนย่อมต้องเตือนลูกน้องของตัวเองให้ระวังตัว โค่วเหวินหลานเองก็หยิบระฆังดารามาเขย่าเช่นกัน เตือนเหมียวอี้ให้ระวังตัวเอาไว้ อย่าบุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือ เขาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงนี้ให้ฟัง
ปี้เยว่ฮูหยินมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นคนพวกนี้เขย่าระฆัง นางก็รู้สึกขำนิดหน่อย นี่เป็นการรวมตัวกันโกงจริงๆ ดูจากสภาพการณ์นี้ ถ้าไม่รอให้ถึงวันสุดท้าย การทดสอบนี้ก็คงจะไม่จบลง
เกาก้วนที่นั่งอยู่เบื้องสูงสีหน้าเครียดขรึมเล็กน้อย พวกชิงอวี้หลางกำลังใช้สายตากวาดมองรอบข้าง ในใจรู้สึกหงุดหงิดเหมือนกัน เรื่องบางเรื่องไม่สะดวกจะเปิดเผยให้ชัดเจน แต่ละตระกูลกำลังเข่นฆ่ากันแบบนั้น ทุกคนรู้อยู่ในใจก็พอแล้ว แต่ชิงอวี้หลางดันมีนิสัยการกินที่น่าเกลียด[1]เกินไป เปิดโปงเรื่องที่คนของตำหนักสวรรค์เข่นฆ่ากันเองต่อหน้าเขาแบบนี้ จะให้เขาทนความรู้สึกได้อย่างไร!
กติกาของการทดสอบก็ไม่ได้บอกว่าทำแบบนี้ไม่ได้ ชิงอวี้หลางก็แค่อาศัยช่องโหว่นี้ ตอนนี้ทำเอาเกาก้วนไม่รู้ว่าควรจะห้ามหรือไม่ห้ามดี…
พวกเหมียวอี้ที่ยังอยู่ตรงจุดไกลๆ บนท้องฟ้า หลังจากได้รับคำเตือนจากโค่วเหวินหลานแล้ว ทั้งสามหยุดเดินทางกะทันหัน หลังจากบอกเรื่องนี้ต่อๆ กันแล้ว สวีถังหรานก็อุทานอย่างตกใจ “เล่นบ้าอะไรกัน มาขวางที่ประตูแบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ? น้องหนิว ทำยังไงดีล่ะ?”
มู่หรงซิงหัวขมวดคิ้วมุ่น ฝ่ายพวกเขานับว่าคำนวนเวลามาดีแล้ว ได้ข้อสรุปว่ากลับไปให้ถึงก่อนครบกำหนดเวลาก็พอ จุดประสงค์ก็คือให้คนอื่นๆ ที่เข่นฆ่ากันเองสิ้นเปลืองพลังไปก่อน รอจนกระทั่งแรงขัดขวางบางตาลงแล้ว พวกเขาจะได้พุ่งเข้าเส้นชัยด่านสุดท้ายด้วยอึดใจเดียวได้สะดวก ตอนนี้หมดกัน กลุ่มคนล้วนสะสมพลังรออยู่ตรงนั้น ทั้งยังมีห้าร้อยกว่าคน ถึงตอนนั้นแรงขัดขวางก็อาจจะมากเกินไปหน่อย จะให้กลุ่มเล็กๆ ที่เหลือกันแค่สามคนทนความรู้สึกได้อย่างไร แบบนี้ยังจะกลับไปได้เหรอ?
หลังจากเหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ยิ้มพร้อมบอกว่า “จะทำยังไงได้ล่ะ? นี่คือเรื่องดี ทุกคนล้วนกำลังรออยู่ตรงนั้น รอจนกระทั่งถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย ทุกคนจะไม่โผล่ออกมาก็คงไม่ได้ พวกเจ้าลองคิดดูสิ เมื่อถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย คนห้าร้อยกว่าคนพุ่งกลับมาจากทั่วสารทิศพร้อมกันก่อนจะครบกำหนดเวลา ชิงอวี้หลางคนเดียวจะขวางไหวได้อย่างไร ต่อให้มีอวี้หลางอะไรนั่นสิบคนก็ขวางไม่ไหว คนส่วนใหญ่จะสามารถฝ่าวงล้อมไปได้ทันเวลา”
ทั้งสองได้ยินแล้วพยักหน้าเห็นด้วย แต่สวีถังหรานก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างกังวล “อาศัยแค่พวกเราสามคนจะฝ่ากลับไปได้เหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “คนเกือบห้าร้อยคนฝ่าวงล้อม พวกเราสามคนคงไม่ได้ดวงซวยขนาดนั้นหรอกมั้ง? ต่อให้มีคนมาขัดขวาง แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะมาขวางแค่พวกเราสามคนนี่นา? ถึงตอนนั้นข้าจะพุ่งไปคนแรก จะคอยเบิกทางอยู่ข้างหน้า พวกเจ้าสองคนตามติดข้าอยู่ทางซ้ายขวาแล้วกัน พวกเราใช้ความเร็วสูงสุดพุ่งให้ถึงจุดหมายในอึดใจเดียวก็สิ้นเรื่องแล้ว ไม่ต้องกังวลเกินไปหรอก คนเยอะกลับเป็นเรื่องดี คลำหาปลาในน้ำโคลน”
มู่หรงซิงหัวรู้สึกงง บุกนำเป็นหนังหน้าไฟย่อมอันตรายที่สุดอยู่แล้ว นางนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเต็มใจเป็นฝ่ายอาสาทำงานที่อันตรายที่สุด แต่พอนึกถึงเรื่องที่เหมียวอี้เสี่ยงอันตรายไปพบปานเยว่กงที่ป่าลืมทุกข์คนเดียว นางก็เข้าใจแล้ว เพิ่งเข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่าลักษณะยิ่งใหญ่! นางจึงตอบอย่างสงบนิ่งว่า “ตรงนี้ข้าวรยุทธ์สูงสุด ให้ข้าบุกนำหน้าดีกว่า!”
สวีถังหรานที่หดหัวอยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วแปลกใจ เหมือนจะไม่รู้จักนางแล้วจริง ตอนแรกผู้หญิงคนนี้ทรยศฝ่ายนี้เพื่อหลบเลี่ยงอันตราย ตอนนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นฝ่ายเสนอตัวอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายที่สุด?
เหมียวอี้เองก็มองประเมินนางศีรษะจดเท้าอย่างเหนือความคาดหมายเช่นกัน
“ทำไมล่ะ? เป็นเพราะข้าเป็นเมียน้อยของเฉาว่านเสียง ก็เลยดูถูกข้าเหรอ?” มู่หรงซิงหัวถามพร้อมรอยยิ้ม
เหมียวอี้พยักหน้า “ก็ดูถูกเจ้าจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นเมียน้อยของเฉาว่านเสียงหรอก ต่อให้เจ้าเป็นเมียน้อยข้า ข้าก็ดูถูกอยู่ดี เพราะต่อให้เจ้าวรยุทธ์สูงแต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ถ้าให้เจ้าเป็นหนังหน้าไฟ แล้วไม่สามารถสังหารเบิกทางได้ตลอดทาง ถ้าเชื่องช้านิดเดียวก็จะทำให้ชีวิตของอีกสองคนที่เหลือก็จะลำบากไปด้วย แค่แค่คิดเพื่อชีวิตของข้า ถึงตอนนั้นพวกเจ้าสองคนแค่ต้องระวังหลังให้ข้า ตามติดอยู่ข้างหลังข้า…ไม่ต้องเถียงต่อแล้ว ข้าตัดสินใจแบบนี้แล้วกัน!” เขายกมือห้าม ตัดสินใจเรื่องราวแบบนี้แล้ว
มู่หรงซิงหัวยิ้มบางๆ “ในเมื่อเจ้ามั่นใจขนาดนี้ งั้นก็เชื่อเจ้าก็แล้วกัน”
จากนั้นทั้งสามก็เดินทางต่อไป
ทว่าตามสถานการณ์ที่พลิกผัน เรื่องบางเรื่องก็เกิดการเปลี่ยนแปลง โค่วเหวินหลานเจอกับโจทย์ยากเข้าแล้ว
ขณะที่กลุ่มคนกำลังรออย่างเสียเวลาเปล่า ไม่รู้ว่าโค่วเหวินหวงฝ่าฝูงชนมาอยู่ข้างกายเขาตั้งแต่ตอนไหน ถ่ายทอดเสียงถามเขาว่า “น้องหก ลูกน้องเจ้ายังเหลืออีกกี่คน?”
โค่วเหวินหลานงงไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถามแบบนี้ จึงถ่ายทอดเสียงตอบว่า “สามคน ทำไมเหรอ?”
“ในมือจับนักโทษหลบหนีได้กี่คน?” โค่วเหวินหวงถามอีก
ตอนนี้โค่วเหวินหลานเงียบแล้ว ลังเลนิดหน่อยว่าควรจะบอกหรือไม่ควรจะบอกดี
โค่วเหวินหวงจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “เป็นอะไรไป? หรือว่าป้องกันแม้แต่พี่น้องของตระกูลตัวเอง? ข้าไม่ได้อยากจะทำให้เจ้าสูญเสียกำลังพลหรอก แค่อยากจะให้คนของข้าปกป้องคนของเจ้าสักหน่อย”
โค่วเหวินหลานได้ยินแล้วอึ้ง นั่นเป็นเรื่องดีจริงๆ ตอบทันทีว่า “จับได้สี่คน”
“สี่คน?” โค่วเหวินหวงตกตะลึงทันที ต้องทราบไว้ว่าคนหนึ่งร้อยคนไม่ได้ถูกจับได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ทั้งยังไม่ได้โง่อยู่รอให้เจ้าจับอีกด้วย จึงถามว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าส่งลูกน้องไปแค่สี่คนไม่ใช่เหรอ?”
โค่วเหวินหลานยิ้มพร้อมตอบว่า “ที่น้องชายอยู่ข้างนอกหลายปีมานี้ ก็ไม่ใช่ว่าไร้ความสามารถหรอกนะ ใช้ความคิดไปมากมายเพื่อวางแผนและจัดการ” นี่ก็คือจุดที่เขาภูมิใจในตัวเอง ขอเพียงพวกหนิวโหย่วเต๋อสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ถึงตอนนั้นก็ถึงคราวที่พ่อแม่ของเขาก็จะได้พูดคำนี้ต่อหน้าตระกูลโค่วแล้ว เมื่อมีผลงานแล้วพ่อแม่ก็ย่อมหาเหตุผลมาถกเถียงเพื่อเขาได้
หลังจากตำหนักสวรรค์ได้ปกครองใต้หล้า คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ออกรบมานานแล้ว ผลงานที่มีนิดหน่อยก็เป็นสิ่งที่แสดงถึงความสามารถ ที่เขาเอาชนะเซี่ยโห้วหลงเฉิงครั้งก่อนก็นับว่าเป็นเรื่องหนึ่งแล้ว ตอนนี้เขาส่งลูกน้องไปรับมือกับการทดสอบที่ตำหนักสวรรค์ประกาศอย่างกะทันหันอีก ถึงตอนนั้นใครยังจะกล้าบอกอีกว่าเขาไร้ความสามารถ?
ใครจะคิดว่าโค่วเหวินหวงจะพยักหน้าเบาๆ “ติดต่อกับคนของเจ้าสิ ให้พวกเขามารวมตัวกับคนของข้าหลังจากมาถึงแล้ว มีคนเพิ่มก็มีกำลังเพิ่ม ให้คนของเจ้าส่งนักโทษที่จับได้มาไว้ในมือคนของข้า จะได้ไม่ต้องตกไปอยู่ในมือคนอื่น”
…………………………………………
[1] นิสัยการกินน่าเกลียด อุปมาถึงคนละโมบโลภมาก