พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1034 ตัดสินใจเลือก
ประโยคสุดท้ายต่างหากที่เป็นจุดสำคัญ โค่วเหวินหลานที่กำลังดีใจเพราะได้ฟังคำพูดประโยคแรกๆ ตอนนี้ใบหน้าเหมือนโดนตะคริวกินในชั่วพริบตาเดียว เหมือนรู้สึกเหลือเชื่อนิดหน่อย ไฟโกรธลุกพรึ่บในใจทันที…มอบนักโทษหลบหนีให้เจ้างั้นเหรอ ก็เท่ากับมอบคะแนนให้เจ้าน่ะสิ ถึงตอนนั้นคนของข้ายังต้องร่วมกำลังกับเจ้าเพื่อช่วยเจ้าเข่นฆ่าอีก แบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ?
“พี่สาม น้องชายก็ลำบากเหมือนกัน!” โค่วเหวินหลานแสดงเจตนาปฏิเสธอย่างอ้อมๆ ฐานะในตระกูลเทียบพี่ใหญ่ท่านนี้ไม่ติด ไม่กล้าเถียงกลบตรงๆ
โค่วเหวินหวงจึงอธิบายด้วยเสียงราบเรียบว่า “เจ้าหก เจ้าเองก็เห็นสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว อิงตามสถานการณ์แบบนี้ เป็นไปได้สูงว่าตรงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย คนหลายร้อยคนจะรวมตัวกันพุ่งกลับมา ต่อให้คนของข้าเก่งกว่านี้ แต่ก็ดักขวางได้ไม่กี่คน ต่อดักขวางได้แล้ว ก็ไม่แน่ว่าบนตัวของคนที่ดักได้จะมีนักโทษหลบหนี ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถ้าไม่นำคะแนนของเจ้ากับข้ามารวมกัน ต่อให้ข้ากับเจ้าจะจับคนได้เยอะกว่านี้ แต่ถ้าช่วงชิงอันดับดีๆ ไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ ควรจะรวบรวมนักโทษที่จับได้มาไว้ในมือเพื่อชิงอันดับดีๆ ให้ตระกูลโค่ว น้องหก ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคำนึงถึงผลได้ผลเสียส่วนตัว ในฐานะที่เป็นคนของตระกูลโค่ว ก็ต้องคำนึงถึงชื่อเสียงของตระกูลโค่วสิ! และแน่นอน ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียเปรียบเหมือนกัน คุณูปการส่วนของเจ้า ข้าย่อมบอกคนในตระกูลอยู่แล้ว”
นั่นมันเหมือนกันเหรอ? ถึงตอนนั้นต่อให้มีผลงาน แต่อีกฝ่ายก็จะบอกว่าอาศัยบารมีเจ้าอยู่ดี! ในใจโค่วเหวินหลานถึงขั้นเดือดดาล จึงเอ่ยปฏิเสธอย่างอ้อมๆ โดยถามว่า “ทำไมพี่ใหญ่ไม่ให้คนของท่านส่งนักโทษหลบหนีมาให้คนของข้าล่ะ?”
โค่วเหวินหวงสีหน้าเครียดเล็กน้อย ถามกลับว่า “ลูกน้องข้ายังเหลืออีกเก้าคน คนของเจ้ามีพลังแข็งแกร่งกว่าคนของข้ารึไงล่ะ? ลูกน้องข้าจับนักโทษหลบหนีได้สิบเอ็ดคน ถ้าส่งนักโทษทั้งหมดไปให้ลูกน้องของเจ้า อาศัยความสามารถของพวกเขาจะรักษาไว้ได้เหรอ? เก็บนักโทษไว้ในมือใครมั่นคงปลอดภัยกว่า เจ้าก็รู้ชัดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? เจ้าหก นี่ไม่ใช่เวลามาเห็นแก่ตัวนะ!”
แล้วเจ้าไม่เห็นแก่ตัวรึไงล่ะ? โค่วเหวินหลานอยากจะถามเขามาก แต่เขารู้ว่าคำพูดของโค่วเหวินหวงก็มีเหตุผลในระดับหนึ่ง ถ้ายืนอยาในมุมของตระกูลตระกูล ที่โค่วเหวินหวงพูดก็ไม่ผิด เพียงแต่เขารู้สึกไม่ยอม เขาทุ่มเทกำลังและทรัพย์สินเพื่อการต่อสู้ครั้งนี้ ถ้าให้ยอมแพ้แบบนี้เขารู้สึกไม่ยอมจริงๆ
ภายใต้การจ้องเขม็งอย่างเย็นเยียบของโค่วเหวินหวง โค่วเหวินหลานลังเลแล้วลังเลอีก แต่สุดท้ายก็ยังแข็งใจบอกว่า “พี่สาม น้องชายลำบากแค่ไหนท่านเองก็รู้ ท่านให้โอกาสน้องชายได้ประสบความสำเร็จสักครั้งเถอะ!”
ในดวงตาโค่วเหวินหวงฉายแววขุ่นเคือง ทว่าในเมื่อน้องหกพูดจาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเขากดดันอีกก็จะดูทำเกินไปหน่อย มิหนำซ้ำ ถ้าอีกฝ่ายดึงดันว่าจะไม่ให้ เขาเองก็ไม่มีทางบังคับให้อีกฝ่ายมอบให้ได้ ถึงได้ทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันหน้าเดินออกไป
โค่วเหวินหลานหันกลับมามองแวบหนึ่ง สีหน้าค่อนข้างสับสน รู้ว่าครั้งนี้ได้ล่วงเกินพี่สามแล้ว เขาเองก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่เขารู้สึกไม่ยอมจริงๆ!
ผ่านไปครู่เดียว โค่วเหวินชิงก็ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวอยู่ข้างเขาตอนไหน ถ่ายทอดเสียงบอกโค่วเหวินหลานที่กำลังหดหู่กลุ้มใจว่า “เจ้าหก เป็นอะไรไป? เจ้าพูดอะไรกับพี่สามไป ทำไมเขาเดินออกไปแบบไม่สบอารมณ์ล่ะ เจ้าเองก็เหมือนจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไร เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
โค่วเหวินหลานยิ้มขื่นขม แล้วเล่าเรื่องให้ฟังคร่าวๆ
โค่วเหวินชิงฟังจบแล้วขมวดคิ้วมุ่น “พี่สามนี่ก็จริงๆ เลย จะเอ่ยปากขอแบบนี้ไปทำไม นี่ไม่ใช่จงใจจะทำให้เจ้าลำบากใจหรอกเหรอ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พี่ชายควรพูด หวังให้เขาดูแลไม่ได้ก็ว่าแย่แล้ว ยังคิดจะมาเอาเปรียบเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีก อย่าไปสนใจเขา เขาไม่กินเจ้าหรอกน่า?”
“เฮ้อ!” โค่วเหวินหลานถอนหายใจยาว จิตใจค่อนข้างเซื่องซึม
ที่จริงแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่สาวน้องสาวร่วมรุ่นถือว่าไม่เลว และสาเหตุที่เขาเป็นคนตุ้งติ้ง ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับพี่สาวน้องสาวพวกนี้เป็นอย่างมาก
ในรุ่นของเขา พี่ชายคนโตโค่วเหวินป๋าย พี่หญิงรองโค่วเหวินหง พี่ชายสามโค่วเหวินหวง พี่หญิงสี่โค่วเหวินลู่ พี่หญิงห้าโค่วเหวินชิง ส่วนเขาก็คือเจ้าหก น้องหญิงเจ็ดโค่วเหวินจื่อ
ในบรรดาพี่น้องเจ็ดคน มีผู้ชายเพียงสามคน นอกนั้นล้วนเป็นผู้หญิงหมด ในบรรดาผู้ชายทั้งหมดเขาอายุน้อยสุด
พี่ใหญ่กับพี่รองเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน
พี่ชายสาม พี่หญิงสี่ พี่หญิงห้าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน หรือพูดได้อีกอย่างว่า โค่วเหวินหวงกับโค่วเหวินชิงเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่ดูเหมือนโค่วเหวินชิงจะสนิทกับโค่วเหวินหลานมากกว่า
โค่วเหวินหลานยังมีน้องสาวแท้ๆ อีกหนึ่งคน นั่นก็คือน้องหญิงเจ็ดโค่วเหวินจื่อ
ไม่ช้าก็เร็วที่ลูกสาวในตระกูลโค่วจะต้องแต่งงานออกไป สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นคนของตระกูลอื่นอยู่ดี ด้วยเหตุผลนี้ ไม่ว่าลูกสาวจะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน ก็ล้วนไม่ต้องรับผิดชอบงานของตระกูลโค่ว ส่วนพี่ใหญ่กับพี่สามก็เริ่มเข้าสู่การฝึกอบรมของตระกูลโค่วตั้งนานแล้ว รอจนกระทั่งเขาเกิดมา ทั้งสองฝ่ายก็อายุห่างกันเกินไปแล้ว อีกฝ่ายไม่มาเล่นกับเขา มีเพียงกลุ่มผู้หญิงในตระกูลที่ไม่มีงานสำคัญต้องทำที่มาเล่นเป็นเพื่อนเขาได้ คลุกคลีอยู่กับวงผู้หญิงมาเนิ่นนานตั้งแต่เด็ก ภายใต้ผลลัพธ์ที่ธาตุหยินพุ่งพรวดและธาตุหยางอ่อนแอ ก็ทำให้เขามีสภาพเป็นอย่างทุกวันนี้
ส่วนระหว่างโค่วเหวินป๋าย โค่วเหวินหวงและเขา มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้กลายเป็นเป้าหมายที่ตระกูลเน้นฝึกอบรม แต่ละรุ่นจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะถูกเน้นฝึกอบรม จะเลือกแค่คนที่โดดเด่นที่สุด ถ้าได้รับการยืนยันขั้นสุดท้ายแล้ว ทรัพยากรของตระกูลก็จะไปรวมอยู่ที่ตัวคนนั้นคนเดียว ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่โหดร้ายหรือว่าไร้เหตุผลผิดมนุษย์ แต่เพราะสถานการณ์บีบบังคับ ต้องทราบไว้ว่าเมื่ออยู่ในตระกูลที่มีฐานะอย่างพวกเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไปแข่งขันกับตระกูลเล็กๆ พวกนั้น คนที่แข่งขันด้วยล้วนอยู่ในระดับเดียวกัน การแข่งขันกันในระดับนี้ไม่ใช่ว่าใช้ทรัพยากรเล็กน้อยแล้วจะทำสำเร็จ ต่างก็ต้องใช้จ่ายก้อนใหญ่ ต่อให้ตระกูลร่ำรวยกว่านี้ก็แจกจ่ายไม่ไหว ต้องรวบรวมกำลังที่ได้เปรียบถึงจะสามารถตีเสมอได้
และแน่นอน ต่อให้ไม่ได้กลายเป็นคนที่ตระกูลเน้นฝึกอบรม แต่เขาก็ไม่หิวตายอยู่ดี ยังคงได้รับทรัพยากรฝึกตนที่จำเป็น ต่อให้ได้รับการแบ่งสรรเล็กน้อย แต่ก็ยังนับว่าเยอะกว่าคนส่วนใหญ่ในแดนฝึกตน ถึงอย่างไรก็ยังเป็นลูกหลานของตระกูลนี้
เมื่อเทียบกันแล้ว ต่อให้โค่วเหวินหลานจะขัดสนแค่ไหน แต่ก็ยังนับว่าดีกว่าคนอื่น เนื่องจากลูกหลานของตระกูลโค่วมีไม่เยอะ ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยโห้วหลงเฉิง แบบนั้นจัดอยู่ในประเภทน่าอนาถ ตระกูลเซี่ยโห้วมีลูกหลานเยอะเกินไป ในปีนั้นตระกูลเซี่ยโห้วเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในใต้หล้า ตอนที่ราชันสวรรค์เพิ่งขึ้นบัลลังก์ ใต้หล้าเพิ่งจะสงบลง แต่ก็ยังไม่สงบสักเท่าไร เพื่อที่จะอาศัยอิทธิพลของตระกูลเซี่ยโห้วมาคุมใต้หล้า ราชันสวรรค์ถึงได้แต่งงานและรับลูกสาวของตระกูลเซี่ยโห้วมาเป็นราชินี
เพียงแต่เมื่อวิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายม้วยย่างสุนัข หลังจากราชันสวรรค์ควบคุมใต้หล้าได้อย่างมั่นคงแล้ว ก็เริ่มลงมือกับคนของตระกูลเซี่ยโห้วอีก จงใจควบคุมอำนาจอิทธิพลของตระกูลเซี่ยโห้ว พอเป็นแบบนี้ การที่ตระกูลเซี่ยโห้วมีลูกหลานเยอะ ก็กลับกลายเป็นภาระของตระกูลด้วยซ้ำ ความกดดันของการแข่งขันภายในก็เยอะยิ่งกว่า นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาเซี่ยโห้วหลงเฉิงทำตัวยากจน จึงด่าโค่วเหวินหลานว่ามีคนป้อนนมให้ดื่ม ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้ร่ำรวยเท่าโค่วเหวินหลานนั่นเอง
ที่กล่าวมาคือเรื่องนอกประเด็น กลับสู่ประเด็นหลักต่อ เป็นเพราะมีความสัมพันธ์อันดีกับพี่สาวน้องสาว โค่วเหวินชิงถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เพราะนางถูกโค่วเหวินหลานฝากฝังไหว้วาน
โค่วเหวินชิงกำลังปลอบใจอยู่ตรงนี้ โค่วเหวินหลานพลันขมวดคิ้ว หิ้วระฆังดาราขึ้นมา หลังจากสื่อสารกันแล้ว สีหน้าเขาก็แย่มาก จากนั้นก็เก็บระฆังดาราอย่างเงียบๆ
“เป็นอะไรไป?” โค่วเหวินชิงถาม
“พี่สามฟ้องเรื่องนี้กับที่บ้านแล้ว พ่อข้าส่งข่าวมา” โค่วเหวินหลานยิ้มอย่างน่าสงาร
โค่วเหวินชิงชะงัก แล้วถามว่า “อาสามว่ายังไงบ้าง?”
พ่อของโค่วเหวินหลานก็ไม่ได้กดดันเดาเช่นกัน หลังจากถามถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องจนรู้ชัด ก็ถามเขาเพียงว่า เจ้าแน่ใจนะว่าคนของเจ้าจะรอดมาจนถึงด่านสุดท้าย? ถ้าแน่ใจ ก็ไม่ต้องสนใจโค่วเหวินหวง แต่ถ้าไม่มั่นใจ แล้วการที่เจ้านิ่งดูดายส่งผลต่อคะแนนรวมของตระกูลโค่ว ทำให้ตระกูลโค่วเสียหน้า เจ้าก็จะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา ผลที่เจ้าเห็นแก่ตัวและไม่สนใจผลประโยชน์ของตระกูล นั่นคือสิ่งที่เจ้ารับผิดชอบไม่ไหว!
บิดาของเขาบอกเอาไว้สองทางเลือก
ถ้าตอนนี้ให้ความร่วมมือกับโค่วเหวินหวง ถ้าเจ้ายอมเสียสละ ตระกูลก็ยังให้โอกาสเจ้าได้อีกครั้ง ยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ไว้ให้เจ้าได้ ตระกูลจะย้ายเจ้าจากดาวเทียนหยวนไปในขอบเขตอำนาจของตระกูลโค่ว
ส่วนทางเลือกที่สองเจ้าก็จัดการเองตามเห็นสมควร ถ้าคนของเจ้ากลับมาไม่ได้ ถ้านำคะแนนที่เจ้าต้องการกลับมาไม่ได้ นอกจากเจ้าจะรักษาตำแหน่งปัจจุบันไว้ไม่ได้แล้ว เจ้ายังตัดทางหนีทีไล่สุดท้ายของตัวเองไปด้วยอย่างสิ้นเชิง จะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาทุกอย่าง จะไปทางไหน จะเลือกอะไร เจ้าก็พิจารณาเอาเอง!
เมื่อได้ยินดังนั้น โค่วเหวินชิงที่เงียบไปพักหนึ่งก็ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าหก เจ้ามั่นใจในคนของเจ้าหรือเปล่า?”
“คนของข้าเหลืออยู่สามคน คนที่วรยุทธ์สูงสุดในนั้นมีแค่บงกชทองขั้นห้า ส่วนคนที่วรยุทธ์สูงสุดคนนี้ก็เคยทรยศข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง” ความหมายแฝงในคำพูดของโค่วเหวินหลานก็คือถามกลับ เจ้าคิดว่าข้ามั่นใจหรือเปล่า?
“เอ่อคือ…” โค่วเหวินชิงได้ฟังแล้วลังเล ถามหยั่งเชิงอีกว่า “เจ้าหก ถ้าเจ้ากับพี่สามร่วมมือกัน อย่างน้อยก็ยังเหลือทางหนีทีไล่ ไม่ถึงขั้นอับจนหนทาง อาสามหวังดีกับเจ้า ไม่ทำร้ายเจ้า…ข้าเองก็รู้สึกว่าเจ้าควรไตร่ตรองดูให้ดี”
โค่วเหวินหลานห่อเหี่ยวใจ เขาไม่อยากรับปากเลยจริงๆ ทว่าไม่มีมีทางเลือก ไม่สามารถปฏิเสธได้ ไม่อย่างนั้นจะรับผลที่ตามมาไม่ไหว ถ้าพวกหนิวโหย่วเต๋อไม่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้ เช่นนั้นเขาก็จะไม่มีแม้แต่โอกาสแข่งขันในตระกูล ตอนนี้มีทางหนีทีไล่แล้ว
เพียงแต่ในใจเจ็บปวดรวดดร้าว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทุ่มกำลังทรัพย์มาเดิมพันสักครั้ง อยากจะได้โอกาสประสบความสำเร็จเร็วๆ ผลคือกลายเป็นช่วยคนอื่นทำผลงาน โอกาสประสบความสำเร็จครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไร จะให้เขายอมรับได้อย่างไร
ทุกครั้งเวลาเห็นคนอื่นๆ ในตระกูลมีเรื่องอะไรก็สามารถขอทรัพยากรสนับสนุนจากตระกูลได้ แต่เขากลับขอได้จากพ่อแม่เท่านั้น รู้สึกไม่ยอมจริงๆ!
ท่ามกลางสายตาเห็นอกเห็นใจของโค่วเหวินชิง นที่สุดโค่วเหวินหลานก็หันตัวมาช้าๆ เป็นฝ่ายไปหาโค่วเหวินหวงเอง เป็นเพราะคิดโดยใช้สติปัญญา โอกาสที่พวกหนิวโหย่วเต๋อจะกลับมาได้อย่างราบรื่นมีน้อยเกินไป เขาจำเป็นต้องยอมแพ้ให้กับความจริง
พอมองไปที่โค่วเหวินหวงอีกครั้ง โค่วเหวินหวงก็ไม่ได้พูดอะไรเกินไปหรือชักสีหน้าใส่ กลับพูดปลอบใจสองสามคำ บอกว่าเข้าใจความรู้สึกของเขา
หลังจากโค่วเหวินหลานก้มหน้า ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้ต่อหน้าพี่สาม เวลาที่ติดต่อค่อนข้างนาน ฝ่ายเหมียวอี้ย่อมมีคำถามมากมายกับการตัดสินใจของเขา
หลังจากติดต่อแล้ว โค่วเหวินหวงก็พยักหน้า แสดงออกว่าคุยเรียบร้อยแล้ว
โค่วเหวินหวงสีหน้ากระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ได้นักโทษหลบหนีเพิ่มสี่คนในรวดเดียว นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ รวมแล้วมีนักโทษหลบหนีแค่หนึ่งร้อยคน สิ่งนี้ทำให้ความหวังในการได้อันดับเพิ่มขึ้นเยอะมาก ถ้าได้อันดับหนึ่งในการทสอบของตำหนักสวรรค์กลับไป แต่คิดก็รู้ถึงผลลัพธ์แล้ว!
เขาตบบ่าโค่วเหวินหลาน แล้วตัวเองก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับลูกน้อง ให้ลูกน้องเตรียมตัวสนับสนุนให้ทันเวลา
จนกระทั่งโฉวตั้งไห่ได้รับข่าวและหันกลับมาบอกสถานการณ์ให้คนทางซ้ายและขวาฟัง ต่งเฟิงก็กล่าวอย่างดีใจมากว่า “ได้นักโทษเพิ่มสี่คนในรวดเดียว ในมือพวกเราก็จะมีสิบห้าคนแล้ว หนึ่งในเจ็ดส่วนอยู่ในมือพวกเราแล้ว! แถมยังมีคนมาช่วยอีกสามคน ความมั่นใจที่จะได้อันดับหนึ่งเพิ่มขึ้นแล้ว”
โฉวตั้งไห่ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็เพราะแบบนี้แหละ เบื้องหลังผู้บัญชาการใหญ่มีแรงช่วยเหลือสุดกำลังขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ที่หนึ่งขึ้นมา พวกเราก็ไม่มีทางรายงานผลงานได้แล้ว!”
ทุกคนได้ยินแล้วเงียบไป
“เป็นเรื่องดีนะ! มีคนมาช่วยเพิ่มตั้งเก้าคน ความหวังที่พวกเราจะได้กลับไปอย่างราบรื่นเพิ่มขึ้นแล้ว!”
สามคนที่กำลังขี่เดรัจฉานสับปลับอยู่บนฟ้า หลังจากได้ยินข่าวจากปากเหมียวอี้แล้ว สวีถังหรานก็เรียกได้ว่าโห่ร้องด้วยความดีใจ
“ดีอะไรล่ะ?” เหมียวอี้กลอกตามองเขา แล้วบอกว่า “เจ้าฟังให้ชัดนะ ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ใช่แค่ให้พวกเรามอบนักโทษให้คนอื่น ทั้งยังให้พวกเราช่วยให้กลุ่มอื่นได้ที่หนึ่งด้วย!”
“นั่นก็ความหมาย พวกเราไม่สามารถกลับไปเฉยๆ ได้ แบบนี้จะไม่อันตรายยิ่งกว่าเดิมเหรอ?” มู่หรงซิงหัวถามอย่างลังเล
สวีถังหรานยิ้มไม่ออกทันที
…………………………