พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1045 หนิวไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับ
ขณะที่เขากำลังส่ายหน้าอย่างลำพองใจ จู่ๆ รอบข้างก็มีเสียง “เปาะแปะเปาะแปะ” เหมียวอี้กวาดสายตามองหมอกสีเทาขมุกขมัวอย่างงุนงง เห็นรางๆ ว่าบนเส้นเถาไม้เริ่มปรากฏรอยปริแตกแล้ว เสียง “เปาะแปะเปาะแปะ” ดังมาไม่หยุด มาจากคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่อ่อนแอจากรอบๆ
เหมียวอี้ตกใจทันที รีบเก็บของในมือ แล้วถือทวนขึ้นมาระแวดระวังรอบๆ ไม่รู้ด้วยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
โครม! เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น! คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์สาดซัด
เถาไม้ที่อยู่โดยรอบพลันพังทลายเป็นวางกว้าง ผนังเถาไม้ก้อนใหญ่ที่กระแทกเข้ามาโดนเหมียวอี้ใช้ทวนตีจนแตกละเอียด
พอได้ลงมือครั้งนี้ เหมียวอี้ถึงได้พบว่าผนังเถาไม้พวกนี้ไม่มีอานุภาพการโจมตีเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เหมือนจะสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ที่คอยสนับสนุนไปแล้ว
สูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ที่คอยสนับสนุนไปแล้วจริงๆ ชิงอวี้หลางตายไปแล้ว เมื่อไร้การควบคุมจากชิงอวี้หลาง ก็ย่อมสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์สนับสนุน พลังอิทธิฤทธิ์ที่ปะทะกันของยอดฝีมือบงกชทองข้างนอกสะเทือนเข้ามาไม่หยุด วัตถุที่ใหญ่ขนาดนี้ไม่สามารถทนรับแรงดึงของตัวเองเมื่ออยู่ภายใต้แรงกระเพื่อมมหาศาลได้
คนส่วนใหญ่ที่อยู่นอกโลกแห่งเถาไม้ต่างก็มองมาทางนี้ เห็นเพียงทะเลเถาไม้ผืนใหญ่โดนคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่อ่อนแอและสับสนวุ่นวายกระเพื่อมเข้ามา ทุกคนได้แต่มองดูโลกแห่งเถาไม้พังทลายลง ไม่นานก็พังตกลงมาและกระจายไปในอวกาศ มีทั้งชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ มีทั้งแตกละเอียด
รอบข้างเริ่มกว้างโล่งขึ้นทีละนิด เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวา มองดูโลกแห่งเถาไม้ที่เมื่อครู่นี้ยังปกคลุมตัวเองอยู่ค่อยๆ ลอยไปไกล ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลเริ่มปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็พบว่ามีสายตามากมายกำลังจับจ้องตนอยู่
อิ๋งเหย้ ผู้บัญชาการใหญ่อิ๋งรีบใช้สายกวาดมองรอบๆ แต่มองไม่เห็นคนของชิงอวี้หลางแล้ว อย่าว่าแต่ชิงอวี้หลาง แม้แต่เงาของลูกน้องตัวเองเขาก็ไม่เห็นเลยสักคน จินตนาการได้ไม่ยากว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร
อย่าบอกนะว่า…ตายกันหมดแล้ว? อิ๋งเหย้าสะเทือนใจอย่างแรง เดินถอยไปข้างหลังอย่างโซเซเล็กน้อย ใบหน้าซีดเผือด เขารีบหยิบระฆังดาราออกมา อยากจะติดต่อกับชิงอวี้หลาง แต่กลับไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าเลย เขากลัวว่าจะเป็นจริงอย่างที่คิด…จึงเก็บระฆังดาราเอาไว้ ไม่อยากรับความจริงนี้ ไม่กล้ายืนยันให้แน่ใจ ทำได้เพียงเฝ้ารอสิ่งที่เหนือความคาดหมายในใจ เรียกได้ว่าแยกเขี้ยวยิงฟันมองเหมียวอี้
คนอื่นๆ ที่อยู่ตรงจุดหมายสุดท้ายก็รีบกวาดสายตาไปรอบๆ เช่นกัน เมื่อไม่เห็นพวกชิงอวี้หลาง แต่ละคนจึงมองไปที่เหมียวอี้อย่างประหลาดใจ
“อย่าบอกนะว่าเจ้าเวรที่มันมาเฝ้าอยู่หน้า ‘ประตูบ้าน’ โดนกำจัดไปแล้ว?” มีบางคนพึมพำ คนที่ยืนอยู่ข้างอิ๋งเหย้าต่างก็หันกลับมามองที่อิ๋งเหย้า เพราะพวกเขารู้ว่าพวกชิงอวี้หลางเป็นคนของอิ๋งเหย้า ตอนที่ผู้บัญชาการใหญ่ซีเหมินทะเลาะกับอิ๋งเหย้าก่อนจะโดนเกาก้วนลงโทษ ทุกคนล้วนได้เห็นหมดแล้ว
โค่วเหวินหวงกระตุกมุมปากอย่างแรง เหมือนจะรู้สึกได้รางๆ ว่าตัวเองแกว่งเท้าหาเสี้ยน
โค่วเหวินหลานดีใจเหนือความคาดหมายอีกครั้ง จ้องเหมียวอี้พลางยิ้มกว้างเห็นฟัน พบว่าลูกน้องคนนี้สร้างความประหลาดใจให้ตนครั้งแล้วครั้งเล่า อย่าบอกนะว่ากำจัดนักพรตบงกชทองขั้นแปดทิ้งไปแล้วจริงๆ?
แต่เมื่อได้เห็นสภาพเหมียวอี้ที่ใบหน้าเปื้อนเลือด เกราะรบเปื้อนเลือด ในใจก็รู้สึกเป็นทุกข์ แน่ใจได้เลยว่าเมื่อครู่นี้เหมียวอี้เพิ่งผ่านศึกนองเลือดมา!
“เจ้าหก นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีลูกร้องคนสนิทที่ห้าวหาญขนาดนี้ ดูท่าแล้ว หลายปีมานี้เจ้าคงจะสิ้นเปลืองกำลังความคิดไปมากตอนที่อยู่ข้างนอก!” โค่วเหวินชิงถ่ายทอดเสียงกล่าวอย่างตกตะลึง
โค่วเหวินหลานยังไม่ทันได้ตอบ โค่วเหวินหวงก็ถ่ายทอดเสียงบอกเขาแล้วว่า “เจ้าหก ลองถามดูหน่อยว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นฆ่าลูกน้องของอิ๋งเหย้าไปแล้วใช่มั้ย ถ้าใช่ ก็ถามหน่อยว่าได้นักโทษมาเท่าไร”
โค่วเหวินหลานเอียงหน้า เหลทอบมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง รู้ว่าเขามีเจตนาแอบแฝงอะไร จึงไม่แยแส
“ทำไมเจ้ามีท่าทีแบบนี้?” โค่วเหวินหวงโมโหทันที
โค่วเหวินหลานยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน แค่ไม่คอบคำถาม ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเขา
โค่วเหวินชิงมองดูปฏิกิริยาของทั้งสองคน นางได้แต่แอบส่ายหน้าเงียบๆ
เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักก็มองเหมียวอี้อีกหลายครั้ง เหมียวอี้ดึงดูดสายตาของเขาอีกครั้ง
พวกโฉวตั้งไห่ยังไล่สังหารอยู่บนท้องฟ้า เมื่อมองเห็นเหตุการณ์ทางนี้ชัดเจนแล้ว ก็รีบใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองตรงจุดหมายสุดท้ายที่กลุ่มคนมารวมตัวกัน ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ และไม่เห็นพวกชิงอวี้หลางกลับไปด้วย แต่ละคนตกใจไม่หาย ชิงอวี้หลางตายด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต๋องั้นเหรอ?
“น้องหนิว ช่วยข้าด้วย!” จู่ๆ บนฟ้าก็มีเสียงตะโกนเรียกอย่างเศร้าโศก
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทางด้านนี้ได้ดึงดูดความสนใจของมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานแล้วเช่นกัน สวีถังหรานราวกับมองเห็นเทพผู้ช่วยชีวิต ราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ได้ กำลังร้องห่มร้องไห้เหมือนผีสางเพื่อขอความช่วยเหลืออยู่ตรงนั้น
ทั้งสองมีสภาพน่ารันทดมากจริงๆ เกราะหัวของทั้งคู่โดนโจมตีพังไปแล้ว ผมเผ้ายุ่งสยายและทั้งตัวมีรอยเลือด มู่หรงซิงหัวยกแขนข้างหนึ่งไม่ไหวแล้ว ใช้มือข้างเดียวถือทวนขี่เดรัจฉานสับปลับเร่งหลบหนี ส่วนสวีถังหรานก็ยิ่งสะบักสะบอม ยกแขนข้างหนึ่งไม่ไหวแล้วเช่นกัน ดาบผลึกแดงในมือก็ไม่มีแล้ว กำลังถือดาบยาวสีทองที่เคยใช้ก่อนหน้านี้ด้วยมือข้างเดียว
ที่จริงไม่ใช่แค่ดาบยาวผลึกแดงที่โค่วเหวินหลานให้ที่หายไป ผลประโยชน์ที่เก็บเกี่ยวได้ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีแล้วเช่นกัน จึงนำอาวุธที่เพิ่งได้ออกมารับมือด้วยความจนใจ สัตว์พาหนะของเขาก็ตายแล้วเช่นกัน ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ข้างหลังมู่หรงซิงหัว ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อครู่นี้มู่หรงซิงหัวเสียงชีวิตมาช่วย เขาก็คงตายไปแล้ว
ตอนนี้ทั้งสองขี่สัตว์พาหนะตัวเดียวกัน กำลังถูกคนหกคนไล่สังหารจนหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่ว เรียกได้ว่าอยู่ในสถานการณ์เฉียดตาย
เดิมทีทั้งสองคิดว่าตัวเองจะต้องตายแล้วแน่ๆ กำลังดิ้นรนครั้งสุดท้าย แต่ใครจะคิดว่าจะได้มองเห็นเหมียวอี้อีก เรียกได้ว่าพอจะมองเห็นความหวังบ้างแล้ว
สวีถังหรานที่ตะโกนขอความความช่วยเหลือสุดชีวิตหวาดกลัวมาก เป็นเพราะเหมียวอี้อยู่ใกล้จุดหมายสุดท้ายที่สุด ทั้งยังไม่มีใครมาสกัดกั้นด้วย มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นสวีถังหราน ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาจะต้องกลับไปก่อนแน่นอน
ที่จริงแล้วในสายตาของคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงจุดหมายสุดท้าย ก็มีคนไม่น้อยที่เดาว่าเหมียวอี้จะกลับมา ถึงอย่างไรโฉวตั้งไห่ก็พูดไว้แล้วตอนที่โยนของให้เหมียวอี้ บอกให้เขานำของกลับมาให้ผู้บัญชาการใหญ่ก่อน เหตุผลนี้ไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าดีขนาดไหน สามารถปลีกตัวออกจากอันตรายได้อย่างสง่าผ่าเผย
ใครจะคิดว่าพอได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เหมียวอี้ก็หันขวับทันที โบกทวนชี้พร้อมตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “บังอาจ!”
ทั้งตัวพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าไปหามู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานที่กำลังหนีเอาชีวิตรอดอย่างฉุกละหุก
ไม่รู้ว่าการกระทำนี้ทำให้คนมากมายตั้งเท่าไรงุนงง โค่วเหวินหวงกำลังตาค้าง โค่วเหวินหลานเม้มริมฝีปาก ส่วนโค่วเหวินชิงก็กล่าวเสียงดังฟังชัดขณะตกตะลึงว่า “ลูกผู้ชายตัวจริง!”
เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันได้หน้าตำหนักแปลกใจเล็กน้อย แววตาวูบไหวและไปหยุดอยู่ที่ตัวเหมียวอี้ นับว่าจ้องมองเหมียวอี้อย่างเป็นทางการแล้ว
เมื่อเห็นเหมียวอี้มาช่วยเหลือ มู่หรงซิงหัวที่ผมดำสยายประหน้าและมีเลือดไหลตรงมุมปากก็ยิ้มอย่างสดใส มีความมั่นใจแล้ว ไม่ได้มั่นใจว่าจะรอดชีวิต แต่มั่นใจในตัวผู้ชายบนโลกนี้ ใช่ว่าผู้ชายทุกคนจะเป็นพวกไร้คุณธรรมน้ำมิตรเสียทั้งหมด ไม่อย่างนั้นการเกิดมาเป็นผู้หญิงอยู่ในโลกนี้คงจะเศร้าวังเวงเกินไป!
นางไม่สนใจอะไรแล้ว สู้ตายแม้อาจจะโดนคนดักสังหาร เลี้ยวสัตว์พาหนะเปลี่ยนทิศทาง พุ่งไปทางเหมียวอี้ด้วยความเร็วสูงเพื่อรวมตัวกัน เดรัจฉานสับปลับที่ได้รับบาดเจ็บเรียกได้ว่าแสดงความเร็วจนถึงขีดสุด
เป็นอย่างที่คาดไว้ ทางซ้ายและขวามีสัตว์พาหนะสองตัวพุ่งเข้ามาโจมตีทั้งสองด้วยความเร็ว คนหนึ่งกวาดดาบฟันไปทางมู่หรงซิงหัว อีกคนถือทวนแทงเข้ามาอย่างดุดัน
“ฆ่า!” มู่หรงซิงหัวตะโกนจนเสียงแตก ใช้มือข้างเดียวโบกทวนฟาดเข้าไป
ปั้ง! ถึงแม้ดาบที่กวาดเข้ามาจะกระเด็นออกไปแล้ว แต่ทวนในมือของมู่หรงซิงหัวก็สะเทือนจนกระเด็นเช่นกัน ถึงแม้ศัตรูจะมีวรยุทธ์ไม่ต่างกับนางเท่าไร แต่ถึงอย่างไรนางก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส กอปรกับแขนอีกข้างไร้เรี่ยวแรง ทนรับการโจมตีอย่างสุดกำลังของฝ่ายตรงข้ามไม่ไหว
สวีถังหรานที่นั่งอยู่ข้างหลังนางตกใจจนขวัญกระเจิง พยายามควงดาบฟาดทวนที่แทงเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
แกร๊ง! เกิดเสียงดังสะเทือน ถึงแม้ทวนที่อีกฝ่ายแทงเข้ามาจะโดนฟาดจนเบี่ยงไปเล็กน้อย ถึงหลีกเลี่ยงจุดสำคัญได้แล้ว แต่กลับโดนแทงใต้ชายโครงเขาทวนหนึ่ง ทวนในมือสะเทือนจนกระเด็นไปแล้วเช่นกัน
เขากระอักเลือดใส่ศีรษะมู่หรงซิงหัว โชคดีที่มู่หรงซิงหัวยื่นแขนไปคว้าเขาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงจะโดนทวนปาดกระเด็นออกไปแน่ๆ
มีความโชคดีอยู่ในความโชคร้าย ทั้งสองขี่สัตว์พาหนะตัวเดียวตีฝ่าการขนาบโจมตีจากสองฝั่งออกไปได้แล้ว
แต่สัตว์พาหนะสองตัวข้างหลังยังไล่ตามมาปล่อย โชคดีที่ตอนนี้เสียงตะโกนของเหมียวอี้ดังมาจากไกลๆ “หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่ อย่าหนีนะ!”
เสียงตะโกนนี้ ทำให้สองคนที่ไล่ตามหลังมารีบหยุดชะงัก ไม่กล้าไล่ตามไปข้างหน้าต่อแล้ว สี่คนที่ร่วมมือกันไล่โจมตีตามมาข้างหลังก็รีบหยุดเช่นกัน มองเหมียวอี้ที่พุ่งเข้ามาอย่างระแวงสงสัยนิดหน่อย คนโหดคนนี้ตีฝ่าไปจนถึงด่านสุดท้ายแล้ว แต่แทนที่จะกลับดันย้อนมาอีกเหรอ?
เหมียวอี้พุ่งเข้ามารับหน้า พอหยุดตรงหน้าหน้าสัตว์พาหนะของมู่หรงซิงหัว ก็ตะโกนบอกว่า “ไปนั่งข้างหลัง! เดี๋ยวข้าควบคุมสัตว์พาหนะเอง!”
มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานดีใจมาก ไม่ได้คิดอะไรมาก ทั้งสองขยับไปข้างหลังเพื่อเว้นที่ว่างให้เขาทนัที ขณะเดียวกันมู่หรงซิงหัวก็ส่งต่อเดรัจฉานสับปลับให้เหมียวอี้ควบคุม
เหมียวอี้เหาะลงมาเหยียบ แล้วควบคุมเดรัจฉานสับปลับให้บินสองรอบเพื่อทดสอบการเชื่อฟังของมัน
“น้องหนิวมาได้ทันเวลา ถ้ามาช้ากว่านี้นิดเดียว ข้าคงตายไปแล้ว!” สวีถังหรานร้องไห้อย่างดีใจปนเศร้าโศก จากนั้นก็อุทานตามอย่างตกใจทันที “น้องหนิว เจ้าจะทำอะไรน่ะ?”
มู่หรงซิงหัวก็ตกใจจนหน้าถอดสีเช่นกัน ทีแรกนางกับสวีถังหรานนึกว่าเหมียวอี้จะกลับไป คาดไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเลี้ยวสัตว์พาหนะ ถือทวนเฉียงไว้ในมือ ควบขี่สัตว์พาหนะเร่งไล่ล่าหกคนที่ไล่สังหารพวกเขาก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันก็ตะโกนทิ้งท้ายอย่างดุดันว่า “ไอ้พวกคนทรามมันบังอาจกำเริบเสิบสาน หนิวไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับ!”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พอเห็นมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานโดนรังแกจนยับเยินขนาดนี้ ไฟโกรธในใจเขาก็ลุกโชนจนควบคุมไม่อยู่ทันที นิสัยบางอย่างมันฝังอยู่ในกระดูกแล้ว
มีเดรัจฉานสับปลับช่วยเพิ่มความน่าเกรงขาม ไล่ตามหกคนนั้นไปอย่างรวดเร็ว
หกคนนั้นหยุดลอยอยู่บนท้องฟ้า เดิมคิดว่าแค่เลิกไล่สังหารสองคนนั้นก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว แต่พอได้เห็นสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาก็ตกใจมาก คนที่เป็นหัวหน้าโบกมือพร้อมตะโกนว่า “คนนี้ห้าวหาญเกินใคร ใช้กำลังสู้ไม่ได้ อย่าเพิ่งแสดงฝีมือ หนี!”
ทั้งหกคนขี่สัตว์พาหนะเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง แล้วเหาะหนีเอาชีวิตรอดทันที
“อย่าหนีนะ! รีบมาสู้ตายกับข้าสักตั้ง!” เหมียวอี้เลือดเลอะเต็มหน้า โบกทวนคำรามขณะไล่ตามอยู่ข้างหลัง
หกคนที่หนีอยู่ข้างหน้าหันกลับมามองเป็นระยะ นักพรตบงกชทองขั้นสามคนหนึ่งกล้าไล่สังหารกลุ่มนักพรตบงกชทองขั้นห้า แบบนี้ต้องมีความมั่นใจขนาดไหนกัน คนมีฝีมือมักกล้าหาญไงล่ะ! ดังนั้นแล้ว…ผีที่ไหนจะไปสนใจเขา การหนีอย่างบ้าคลั่งต่อไปต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญ
“อย่าหนีนะ!” สวีถังหรานก็แหกปากตะโกนเช่นกัน ก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายหลบหนีการไล่สังหารมาตลอด ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายไล่คนอื่นแล้ว การได้ระบายความโมโหแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าสะใจขนาดนี้
มู่หรงซิงหัวที่นั่งอยู่ข้างหลังมองเหมียวอี้ที่กำลังเกรี้ยวกราดดุดันแวบหนึ่ง นางมองเขาด้วยแววตาล้ำลึก
ณ จุดหมายสุดท้าย ใครบางคนทำกำลังสีหน้าบิดเบี้ยว เริ่มข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เพราะหกคนที่กำลังหนีคือลูกน้องของเขา
คนไม่น้อยที่อยู่ตรงนั้นส่งเสียงหัวเราะออกมา ก็อย่างที่บอกไว้ นักพรตบงกชทองขั้นสามคนหนึ่งไล่สังหารกลุ่มนักพรตบงกชทองขั้นห้า ขี่สัตว์พาหนะตัวเดียวไล่ล่าจนคนอีกกลุ่มหนีอย่างสะบักสะบอม นี่มันแปลกประหลาดขนาดไหนกัน มีคนมากมายเดาะลิ้นชมด้วยความทึ่ง
…………………………